เมนู

อรรถกถาอัคคิกสูตร


ในอัคคิกสูตรที่ 8 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อคฺคิกภารทฺวาโช ได้แก่ พราหมณ์แม้นี้ ก็ชื่อว่าภารทวาชะ
เหมือนกัน แต่โดยที่เขาบำเรอไฟ พระสังคีติกาจารย์จึงดังชื่อเขาอย่างนั้น.
บทว่า สนฺนิหิโต ได้แก่. อันเขาปรุงอย่างดี. บทว่า อฏฺฐาสิ ความว่า
เพราะเหตุไร จึงยืนอยู่ในที่นั้น. เล่ากันมาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจ
ดูโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นพราหมณ์นี้ ทรงพระดำริว่า พราหมณ์นี้ถือ
ข้าวปายาสอันเลิศเห็นปานนี้เอาไปเผาไฟ ด้วยตั้งใจจะให้มหาพรหมบริโภค
ย่อมกระทำสิ่งที่ไร้ผล ก้าวลงสู่ทางอบาย เมื่อไม่ละลัทธินี้ ก็จักทำอบายให้เต็ม
จำเราจักไปทำลายทิฎฐิของเขาด้วยธรรมเทศนาแล้วให้บรรพชา ให้มรรค 4
ผล 4 แก่เขา เพราะฉะนั้น ในเวลาเช้า จึงเสด็จเข้ากรุงราชคฤห์ ได้ประทับ
ยืนอยู่ ณ ที่นั้น.
บทว่า ตีหิ วิชฺชาหิ ได้แก่ ด้วยเวท 3. บทว่า ชาติมา ความว่า
ประกอบด้วยชาติที่บริสุทธิ์ 7 ชั่วโคตร. บทว่า สุตวา พหู ความว่า ฟัง
คัมภีร์ต่างๆ เป็นอันมาก. บทว่า โสมํ ภุญฺเชยฺย ความว่า พราหมณ์กล่าวว่า
พราหมณ์นั้นได้วิชชา 3 ควรบริโภคข้าวปายาสนี้ แต่ข้าวปายาสนี้ไม่ควรแก่
พระองค์.
บทว่า เวทิ ความว่า รู้ คือแทงตลอดด้วยบุพเพนิวาสญาณ. บทว่า
สคฺคาปายํ ได้แก่ เห็นทั้งสวรรค์ทั้งอบายด้วยทิพยจักษุ. บทว่า ชาติกฺขยํ
ได้แก่พระอรหัต. บทว่า อภิญฺญาโวสิโต ความว่า ผู้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว

เพราะรู้ยิ่ง. บทว่า พฺราหฺมโณ ภวํ ความว่า พราหมณ์ขีณาสพผู้สมบูรณ์
ด้วยชาติเช่นพระโคดมผู้เจริญนั้น ตั้งแต่อเวจีจนถึงภวัคคพรหมไม่มี พระองค์
ผู้เจริญนี่แหละเป็นพราหมณ์.
ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว พราหมณ์ได้บรรจุข้าวปายาสเต็มถาดทอง
แล้วน้อมเข้าไปถวายพระทศพล. พระศาสดาทรงแสดงอุบัติเหตุเกิด ทรงห้าม
โภชนะเสีย จึงตรัสคำเป็นต้นว่า คาถาภิคีตํ เม ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า คาถาภิคีตํ ได้แก่ ขับกล่อมด้วยคาถาทั้งหลาย. บทว่า อโภชเนยฺยํ
ได้แก่ไม่ควรบริโภค. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า พราหมณ์ ท่านไม่อาจให้อาหาร
เพียงทัพพีหนึ่งแก่เรา ผู้ดำรงอยู่ด้วยภิกขาจารวัตรตลอดกาลเท่านี้ แต่บัดนี้
เราประกาศพระพุทธคุณทั้งปวงแก่ท่าน เหมือนคนหว่านงาลงบนเสื่อลำแพน
ดังนั้นโภชนะนี้เหมือนได้มาเพราะขับกล่อม ฉะนั้น เราไม่ควรบริโภคโภชะที่
ได้มาด้วยการขับกล่อม. บทว่า สมฺปสฺสตํ พฺรหฺมณ เนส ธมฺโม ความว่า
พราหมณ์ ผู้ที่พิจารณาเห็นอรรถและธรรม ไม่มีธรรมเนียมนี้ว่า ควรบริโภค
โภชนะเห็นปานนี้ แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงรังเกียจสุธาโภชนะที่ได้ด้วย
การขับกล่อม คือพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงขจัดออกซึ่งโภชนะที่ได้มา
เพราะขับกล่อม. บทว่า สมฺปสฺสตํ พฺราหฺมณ เนส ธมฺโม ความว่า
พราหมณ์ เมื่อธรรมมีอยู่ เมื่อบุคคลพิจารณาธรรม ดังอยู่ในธรรม เลี้ยงชีพอยู่
นี้เป็นความพระพฤติ คือนี้เป็นการเลี้ยงชีพว่า ควรขจัดโภชนะเห็นปานนี้เสีย
แล้วบริโภคโภชนะที่ได้มาโดยธรรมเท่านั้น.
ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่า เมื่อก่อนเราไม่รู้ถึงคุณหรือโทษของพระ-
สมณโคดม แต่บัดนี้เรารู้คุณของพระสมณโคดมนั้นแล้ว จึงปรารถนาจะโปรย
ทรัพย์ประมาณ 80 โกฏิ ในเรือนของเราลงในพระศาสนา ก็พระสมณโคดมนี้
จะตรัสว่า ปัจจัยที่เราถวาย เป็นอกัปปิยะ พระสมณโคดมคงไม่ทรงตำหนิเรา

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงส่งพระสัพพัญญุตญาณพิจารณาวารจิตของ
พราหมณ์นั้น ทรงพระดำริว่า พราหมณ์นี้กำหนดปัจจัยที่ตนให้แม้ทั้งหมด
ว่าเป็นอกัปปิยะ ความจริง กถาเกิดขึ้นเพราะปรารภโภชนะใด โภชนะนั้นแล
ไม่มี กถานอกนั้นนไม่มีโทษ ดังนี้ เมื่อจะทรงแสดงประตูแห่งการถวายปัจจัย 4
แก่พราหมณ์ จึงตรัสคำมีอาทิว่า อญฺเญน จ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า กุกฺกุจฺจํ วูปสนฺตํ ความว่า สงบความรำคาญเสียได้ด้วยอำนาจความ
คนองมือเป็นต้น. คำว่า อนฺเนน ปาเนน นี้เป็นเพียงเทศนา. ก็ความนี้
พึงทราบดังต่อไปนี้ ท่านจงบำรุงด้วยปัจจัยเหล่าอื่นมีจีวรเป็นต้น ที่ท่านกำหนด
ว่าจักบริจาค ข้อนั้นเป็นเขตของผู้มุ่งบุญ. ชื่อว่าคำสอนของพระตถาคตนี้
เป็นอันท่านผู้มุ่งบุญคือปรารถนาบุญตกแต่งแล้ว เหมือนพืชแม้น้อยที่หว่านลง
ในนาดี ย่อมให้ผลมาก ดังนี้แล.
จบอรรถกถาอัคคิกสูตรที่ 8

9. สุนทริกสูตร



ว่าด้วยการบูชาไฟ



[658] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสุนทริกา
ในโกศลชนบท.
ก็โดยสมัยนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ บูชาไฟ บำเรอการ
บูชาไฟ อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสุนทริกา.