เมนู

อรรถกถาสุทธิกสูตร



ในสุทธิสูตรที่ 7 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สุทฺธกภารทฺวาโช ได้แก่ พราหมณ์แม้นี้ก็ชื่อว่าภารทวาชะ
เหมือนกัน แต่เพราะเขาถามปัญหาที่หมดจด พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวอย่าง
นั้น. บทว่า สีลวาปิ ตโป กรํ ความว่าแม้เขาสมบูรณ์ด้วยศีล ก็ยังบำเพ็ญ-
ตบะอยู่ ในบทว่า วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน นี้ บทว่า วิชฺชา ได้แก่เวท 3.
บทว่า จรณํ ได้แก่ธรรมเนียมของตระกูล. ด้วยคำว่า โส สุชฺฌติ น อญฺญา
อิตรา ปชา
ท่านกล่าวว่า พราหมณ์นั้นได้วิชชา 3 ย่อมบริสุทธิ์ แต่หมู่สัตว์
ที่นับว่าไม่มีความรู้ ย่อมไม่บริสุทธิ์. บทว่า พหุมฺปิ ปลปํ ชปฺปํ ความ
ว่า กล่าวถ้อยคำแม้มาก อธิบายว่า กล่าวแม้ตั้งพันคำว่า พราหมณ์เท่านั้น
บริสุทธิ์ . บทว่า ตนฺโตกสมฺพุ ความว่า เป็นผู้เน่าด้วยความเน่าคือกิเลส
ในภายใน. บทว่า สงฺกิลิฏฺโฐ ความว่า ประกอบด้วยกายกรรมเป็นต้นที่
เศร้าหมอง.
จบอรรถกถาสุทธิกสูตรที่ 7

8. อัคคิกสูตร



ว่าด้วยผู้ถึงพร้อมด้วยไตรวิชชา



[652] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน
อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนคหาชคฤห์
ก็โดยสมัยนั้นแล อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ปรุงข้าวปายาสด้วยเนยใส
ด้วยคิดว่า เราจักบูชาไฟ จักบำเรอการบูชาไฟ.
[653] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตร
และจีวรเสด็จเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาตในเวลาเช้า เสด็จไปบิณฑบาต
ในกรุงราชคฤห์ตามลำดับตรอก เสด็จเข้าไปยังที่อยู่ของอัคคิกภารทวาชพราหมณ์
ครั้นแล้วได้ประทับยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[654] อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ
ยืนเพื่อบิณฑบาต ครั้นแล้วได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
พราหมณ์ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยไตร-
วิชชา มีชาติ ฟังคัมภีร์เป็นอันมาก ถึง
พร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ พราหมณ์
นั้นควรบริโภคปายาสนี้.

[655] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
พรามหมณ์ผู้กล่าวถ้อยคำแม้มาก เป็น
ผู้เน่าและเศร้าหมองในภายใน อันความ
โกหกแวดล้อมแล้ว ย่อมไม่ชื่อว่าเป็น
พราหมณ์เพราะชาติ ผู้ใดรู้บุพเพนิวาส
และเห็นทั้งสวรรค์ทั้งอบาย อนึ่ง ถึงความ