เมนู

5. ปรินิพพานสูตร



ว่าด้วยพระพุทธเจ้าปรินิพพาน



[620] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่สาลวัน แห่ง
มัลกษัตริย์ทั้งหลาย อันเป็นทางกรุงกุสินารา ระหว่างแห่งสาลพฤกษ์ทั้งคู่
ในสมัยจะเสด็จปรินิพพาน.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เอาเถิด บัดนี้ เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมี
ความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงให้ถึงพร้อมด้วยความ
ไม่ประมาทเถิด ดังนี้ นี้เป็นวาจาครั้งสุดท้ายของพระตถาคต.
[621] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าปฐมฌาน ออกจาก
ปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากททุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุติยฌาน ออกจากจตุตถาฌานแล้ว ทรงเข้า
อากาสานัญจายตนฌาน ออกจากอากาสานัญจายตนฌานแล้ว ทรงเข้าวิญญา-
ณัญจายตนฌาน ออกจากวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญาย
ตนฌาน ออกจากอากิญจัญญายตนฌานแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌาน ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
สมาบัติ ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญาย-
ตนฌาน ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตน
ฌาน ออกจากอากิญจัญญายตนฌานแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน
ออกจากวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน ออกจาก
อากาสานัญจายตนฌานแล้ว ทรงเข้าจตตุถฌาน ออกจากจุตตถฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าททุติยฌาน ออกจากททุติยฌาน

แล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจาก
ทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน
พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับนั้น.
[622] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหม
ได้กล่าวคาถานี้พร้อมกับกาลเป็นที่ปรินิพพานว่า
สัตว์ทุกหมู่เหล่า จักทอดทิ้งร่างกาย
ไว้ในโลก พระตถาคตผู้ศาสดา ผู้หาบุคคล
เปรียบมิได้ในโลก ถึงแล้วซึ่งกำลังพระ-
ญาณเป็นพระสัมพุทธะเช่นนี้ ยังปรินิพพาน
แล้ว.

[623] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่
ของทวยเทพได้กล่าวคาถานี้ พร้อมกับกาลเป็นที่ปรินิพพานว่า
สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ มี
ความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความเข้าไปสงบ
สังขารเหล่านั้นเป็นสุข.

[624] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านพระอานนท์
ได้กล่าวคาถานี้พร้อมกับกาลเป็นที่ปรินิพพานว่า
เมื่อพระสัมพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วย
อาการอันประเสริฐทั้งปวงปรินิพพานแล้ว
ความสยดสยอง (และ) ความชูชันแห่งขน
ได้มีแล้วในกาลนั้น.

[625] เมือพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านพระอนุรุทธะ
ได้กล่าวคาถานี้ พร้อมกับกาลเป็นที่ปรินิพพานว่า
ลมอัสสาสปัสสาสะ (หายใจเข้า
ออก) มิได้มีแล้วแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้มีจิตตั้งมั่นคงที่ พระผู้มีพระภาคเจ้ามี
จักษุไม่ทรงหวั่นไหว ทรงปรารถสันติ
ปรินิพพานแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้ามีจิต
ไม่หดหู่ ทรงอดกลั้นเวทนาเสียได้ ความ
พ้นแห่งจิตได้มีแล้ว เหมือนความดับแห่ง
ประทีป ฉะนั้น .

จบปรินิพพานสูตร
จบพรหมปัญจกะ


อรรถกถาปรินิพพานสูตร



ในปรินิพพานสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อุปวตฺตเน มลฺลานํ สาลวเน ความว่า สาลโนทยาน
อยู่ฝั่งโน้มแห่งแม่น้ำ ชื่อว่าหิรัญญวดี เหมือนทางไปถูปารามทางประตูราช
มาตุวิหารแต่ฝั่งแม่น้ำกัทธัมพะ. สาลวโนทยานนั้น อยู่ในกรุงกุสินารา เหมือน
ถูปารามแห่งอนุราธบุรี. แถวต้นสาละจากสาลวโนทยานมุ่งไปทางทิศปราจีน
ออกทางทิศอุดร เหมือนทางที่ไปสู่พระนครโดยประตูด้านทิศทักษิณ จาก
ถูปารามตรงไปทางด้านปราจินทิศ ออกทางทิศอุดรฉะนั้น. เพราะฉะนั้น สาล-