เมนู

10. ทุติยโกกาลิกสูตร



ว่าด้วยโกกาลิกภิกษุตกปทุมนรก



[598] สาวัตถีนิทาน.
ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระโกกาลิกภิกษุนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบทูลคำนี้
กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระเจ้าข้า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก
ตกอยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก.
[599] เมื่อพระโกกาลิกภิกษุกล่าวเช่นนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้
โกกาลิก เธอจงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุ
ชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก.
แม้ครั้งที่สองแล พระโกกาลิกภิกษุก็ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าว่า
พระเจ้าข้า บุคคลผู้มีวาจาควรเชื่อได้ควรไว้ใจได้ของข้าพระองค์จะมี
อยู่ก็จริง ถึงเช่นนั้นแล พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะก็ยังเป็นผู้ปรารถนา
ลามก ตกอยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาลามก.
แม้ครั้งที่สองแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุ
ว่า

โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้
โกกาลิก เธอจงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุ
ชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก.
แม้ครั้งที่สามแล พระโกกาลิกภิกษุก็ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ฯลฯ ตกอยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก
แม้ครั้งที่สามแล พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสตำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
ฯลฯ ภิกษุชื่อว่าสารีบุจรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก.
[600] ลำดับนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุลุกจากอาสนะถวายอภิวาท
พระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณหลีกไปแล้ว.
ก็เมื่อพระโกกาลิกภิกษุหลีกไปแล้วไม่นาน ย่อมทั้งหลายขนาดเมล็ด
พันธุ์ผักกาดได้ผุดขึ้นทั่วกายของเธอ ย่อมเหล่านั้นได้โตขึ้นเป็นขนาดถั่วเขียว
แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดถั่วดำ แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดเมล็ดพุดทรา แล้วก็โตขึ้น
เป็นขนาดลูกพุดทรา แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะชามป้อม แล้วก็โตขึ้นเป็น
ขนาดผลมะตูมอ่อน แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะตูม ต่อจากนั้นก็แตกทั่ว แล้ว
หนองและเลือดหลั่งไหลออกแล้ว.
ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุได้การทำกาละแล้ว เพราะอาพาธอัน
นั้นเอง ครั้นกระทำกาลแล้วก็เข้าถึงปทุมนรก1 เพราะจิตอาฆาตในพระสารี
บุตรและพระโมคคัลลานะ.
[601] ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงแล้ว
มีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง.
1.ปทุนนรก เป็นส่วนหนึ่งแห่งมหานรกอเวจี ผู้ที่เกิดในมหานรกอเวจีส่วนนี้จะต้อง
หมกไหม้อยู่สิ้นกาลปทุมหนึ่ง ปทุมนั้นเป็นสังขยาซึ่งมีจำนวนสูญ 124 สูญ

ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้ทูลคำนี้
กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระเจ้าข้า พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว และเข้าถึงแล้วซึ่ง
ปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ.
ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้ แล้วครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นแล.
[602] ครั้นล่วงราตรีนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้ง
หลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ท้าวสหัมบดีพรหมเมื่อราตรีล่วงปฐมยาม
ไปแล้ว มีรัศมีงามยิ่งนัก ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปหาเราถึงที่อยู่
ครั้นแล้วไหว้เราแล้วได้ยืนอยู่ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วแล ได้กล่าวคำนี้กะเราว่า พระเจ้าข้า พระโกกาลิกภิกษุได้การทำกาละแล้ว
เข้าถึงแล้วซึ่งปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมค-
คัลลานะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้ว
ไหว้เรากระทำประทักษิณ แล้วหายไปในที่นั้นเอง.
[603] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเช่นนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูล
คำนี้กะพระผู้มีภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า ประมาณแห่งอายุในปทุมนรกนาน
เท่าไรหนอ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ประมาณแห่งอายุในปทุมนรก
นานแล การที่จะนับว่าเท่านี้ปี หรือว่าเท่านี้ร้อยปี หรือว่าเท่านี้พันปี หรือ
ว่าเท่านี้แสนปี ไม่ใช่การทำได้ง่าย.

ภิกษุนั้นทูลถามว่า พระเจ้าข้า พระองค์อาจที่จะทรงอุปมาได้หรือ.
[604] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เราอาจอยู่ แล้ว
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เปรียบเหมือนเกวียนบรรทุกงาแห่งชาวโกศลซึ่งบรรทุกงา
ได้ 20 ขารี1 บุรุษพึงเก็บงาขึ้นจากเกวียนนั้นโดยล่วงร้อยปี ๆ ต่อเมล็ดหนึ่ง ๆ.
ดูก่อนภิกษุ เกวียนบรรทุกงาแห่งชาวโกศลซึ่งบรรทุกงาได้ 20 ขารี
นั้นพึงถึงความสิ้นไปหมดไป เพราะความเพียรนี้เร็วกว่า ส่วนอัพพุทนรกหนึ่ง
ยังไม่ถึงความสิ้นหมดไปเลย.
ดูก่อนภิกษุ 20 อัพพุทนรกเป็นหนึ่งนิรัพพุทนรก 20 นิรัพพุทนรก
เป็นหนึ่งอพพนรก 20 อพพนรกเป็นหนึ่งกฏฏนรก ดูก่อนภิกษุ 20 อฏฏนรก
เป็นหนึ่งอหหนรก 20 อหหนรกเป็นหนึ่งกุมุทนรก 20 กุมุทนรกเป็นหนึ่ง
โสคันธิกนรก ดูก่อนภิกษุ 20 โสคันธิกนรกเป็นหนึ่งอุปปลกนรก 20 อุปป-
ลกนรกเป็นหนึ่งปุณฑริกนรก 20 ปุณฑริกนรกเป็นหนึ่งปทุมนรก ดูก่อนภิกษุ
ก็ภิกษุโกกาลิกเข้าถึงปทุมนรกแล้วแล เพราะจิตอาฆาตในภิกษุ ชื่อว่าสารีบุตร
และโมคคัลลานะ.
[605] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์
ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ชนพาลเมื่อกล่าวคำเป็นทุพภาษิต
ชื่อว่าย่อมตัดตนด้วยศัสตราใด ก็ศัสตรา
นั้นย่อมเกิดในปากของบุรุษผู้เกิดแล้ว ผู้
ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกติ หรือติผู้ที่ควร

* 20 ขารีเท่า 1 เกวียน คือ 4 แล่งโดยแล่งที่เป็นของชาวมคธ เป็นหนึ่งแล่งใน
แคว้นโกศล 4 แล่งโดยนั้นเป็นหนึ่งอาฬหก 4 อาฬหกเป็นหนึ่งทะนาน 4 ทะนานเป็นหมื่น
มาณิกา 4 มาณิกาเป็นหนึ่งขารี 20 ขารีเป็นหนึ่งเกวียน

ได้รับความสรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าสั่งสมโทษ
ด้วยปากเพราะโทษนั้น เขาย่อมไม่ประสบ
ความสุข.
ความปราชัยด้วยทรัพย์ในเพราะ
การพนันทั้งหลาย พร้อมด้วยสิ่งของของ
ตนทั้งหมดก็ดี พร้อมด้วยตนก็ดี ก็เป็น
โทษเพียงเล็กน้อย.
บุคคลใดทำใจให้ประทุษร้ายในท่าน
ผู้ปฏิบัติดีทั้หลาย ความประทุษร้ายแห่ง
ใจของบุคคลนั้นเป็นโทษใหญ่กว่า.
บุคคลตั้งวาจาและใจอันลามกไว้
เป็นผู้มักติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมเข้าถึง
นรกซึ่งมีปริมาณแห่งอายุถึงแสนสามสิบ
หกนิรัพพุทะ กับห้าอัพพุทะ.

จบทุติยโกกาลิกสูตร
จบปฐมวรรคที่ 1

อรรถกถาทุติยโกกาลิกสูตร



ในทุติยโกกาลิกสูตรที่ 10 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โกกาลิโก ภิกฺขุ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า
ถามว่า โกกาลิกนี้เป็นใคร และเหตุไรจึงเข้าไปเฝ้า. ตอบว่า ได้ยินว่า ผู้นี้
เป็นบุตรโกกาลิกเศรษฐี ในโกกาลิกนคร โกกาลิกรัฐ บวชแล้วอาศัยอยู่ใน
วิหารที่บิดาสร้างไว้ มีชื่อว่า จูฬโกกาลิก มิใช่เป็นศิษย์ของพระเทวทัต.
ฝ่ายรูปที่เป็นศิษย์ของพระเทวทัตนั้นเป็นบุตรพราหมณ์ มีชื่อว่า มหาโกกาลิก.
ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี พระอัครสาวกทั้งสองพร้อม
ด้วยภิกษุประมาณ 500 รูป จาริกไปในชนบท เมื่อไกล้ถึงวันเข้าพรรษา
ประสงค์จะอยู่อย่างสงบ จึงส่งภิกษุเหล่านั้นไป ตนเองถือบาตรจีวร ถึงนคร
นั้นในชนบท ได้ไปสู่วิหารนั้น. แลในที่นั้น โกกาลิกภิกษุได้แสดงวัตรแก่
พระอัครสาวกทั้งสอง พระอัครสาวกทั้งสองชื่นชมกับพระโกกาลิกนั้นกล่าวว่า
อาวุโส พวกเราจักอยู่ในที่นี้ตลอดไตรมาส ท่านอย่าได้บอกแก่ใคร ๆ แล้วถือ
ปฏิญญาอยู่. ครั้นอยู่จำพรรษาปวารณาในวันปวารณาแล้ว พระอัครสาวก
ทั้งสองจึงบอกลาภิกษุโกกาลิกว่า อาวุโส เราจะไปละ. ภิกษุโกกาลิกกล่าวว่า
อาวุโส พวกท่านอยู่ในวันนี้วันเดียว พรุ่งนี้ก็จักไป ดังนี้แล้ว วันรุ่งขึ้น
จึงเข้าเมือง บอกพวกมนุษย์ว่า อาวุโส พระอัครสาวกมาอยู่ในที่นี้ พวกท่าน
ไม่รู้. ไม่มีใครถวายปัจจัยสี่เลย. พวกชาวเมืองกล่าวว่า ท่านขอรับ พระเถระ
อยู่ที่ไหน ทำไมจึงไม่บอกพวกเรา. ภิกษุโกกาลิกกล่าวว่า อาวุโส บอกแล้ว
จะมีประโยชน์อะไร พวกท่านไม่เห็นภิกษุ 2 รูปที่นั่งบนเถระอาสน์หรือ
นั่นแหละพระอัครสาวก. พวกมนุษย์รีบประชุมกัน รวบรวมเนยใสน้ำอ้อย
เป็นต้นและผ้าจีวร.