เมนู

อรรถกถาสีสุปจาลาสูตร



ในสีสุปจาลาสูตรที่ 8 มีวินิจฉัยต่อไปนี้ :-
บทว่า สุมณี วิย ทิสฺสติ ความว่า ท่านปรากฏตัวเหมือนสมณะ.
บทว่า กิมิว จริสิ โมมูหา ความว่า เพราะเหตุไรท่านจึงประพฤติเหมือน
คนงมงาย. บทว่า อิโต พหิทฺธา ความว่า ภายนอกพระศาสนานี้ . บทว่า
ปาสณฺฑา ความว่า เจ้าลัทธิย่อมเหวี่ยงบ่วง คือทิฐิลงในจิตของสัตว์ทั้งหลาย.
แต่พระศาสนาย่อมปลดเปลื้องบ่วงทั้งหลาย ฉะนั้น จึงไม่กล่าวว่าเจ้าลัทธิ
เจ้าลัทธิมีภายนอกพระศาสนานี้ทั้งนั้น. บทว่า สํสีทนฺติ ได้แก่ จน คือติด.
บัดนี้ สีสุปจาลาภิกษุณีเมื่อกล่าวแก้ปัญหาที่ว่า ท่านบวชอุทิศใคร
จึงกล่าวว่า อตฺถิ สกฺยกุเล ชาโต เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
สพฺพาภิภู ความว่า ครอบงำส่วนทั้งหมด มีขันธ์ อายตนะ ธาตุ ภพ กำเนิด
ละคติเป็นต้น ชื่อว่า มารนุทะ เพราะบรรเทา คือขับไล่มรณมารเป็นต้น
บทว่า สพฺพตฺถมปราชิโต ความว่า ไม่แพ้ในกิเลสทั้งมวลมีราคะเป็นต้น
หรือในการรบมาร. บทว่า สพฺพตฺถ มุจฺโต ความว่า น้อมไปในธรรม
ทั้งปวงมีขันธ์เป็นต้น. บท อสฺสิโต ความว่า อันตัณหานิสัยและทิฏฐินิสัย
ไม่อาศัยแล้ว. บทว่า สพฺพกมฺมกฺขยํ ปตฺโต ความว่า บรรลุพระอรหัต
กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งกรรมทั้งปวง. บทว่า อุปธิสงฺขเย ความว่า
ทรงน้อมเป็นอารมณ์ในพระนิพพาน กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ.
จบอรรถกถาสีสุปจาลาสูตรที่ 8

9. เสลาสูตร



ว่าด้วยมารรบกวนเสลาภิกษุณี



[549] สาวัตถีนิทาน.
ครั้งนั้น เวลาเช้า เสลาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไป
บิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในกรุงสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต
กลับจากบิณฑบาตแล้วเข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวัน
แล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง.
[550] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะไห้เสลาภิกษุณีบังเกิดความกลัว
ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้า
ไปหาเสลาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะเสลาภิกษุณีด้วยคาถาว่า
รูปนี้ ใครสร้าง ผู้สร้างรูปอยู่ที่ไหน
รูปบังเกิดในที่ไหน รูปดับไปในที่ไหน.

[551] ลำดับนั้น เสลาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าว
คาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์.
ทันใดนั้น เสลาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาป ใคร่จะ
ให้เราบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้
เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา.
ครั้นเสลาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะมาร
ผู้มีบาปด้วยคาถาว่า
รูปนี้ ไม่มีใครสร้าง อัตภาพนี้ ไม่มี
ใครก่อ รูปเกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ดับไป
เพราะเหตุดับ.