เมนู

8. สีสุปจาลาสูตร



ว่าด้วยมารรบกวนสีสุปจาลาภิกษุ



[545] สาวัตถีนิทาน.
ครั้งนั้น เวลาเช้า สีสุปจาลาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร
เข้าไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในกรุงสาวัตถีแล้ว เวลา
ปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตแล้วเข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่า
อันธวัน จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง.
[546] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเข้าไปหาสีสุปจาลาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก
ครั้นแล้วได้กล่าวกะสีสุปจาลาภิกษุณีว่า ดูก่อนภิกษุณี ท่านชอบใจทิฐิของ
ใครหนอ.
สีสุปจาลาภิกษุณีตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เราไม่ชอบใจทิฐิของ
ใครเลย.
[547] มารผู้มีบาปกล่าวว่า
ท่านจงใจเป็นคนโล้น ปรากฏ
ตัวเหมือนสมณะ แต่ไฉนท่านไม่ชอบใจ
ทิฐิ ท่านประพฤติเรื่องนี้ เพราะความ
งมงายหรือ.

[548] สีสุปจาลาภิกษุณีกล่าวว่า
คนเจ้าทิฐิ ภายนอกพระศาสนา
นี้ ย่อมจมอยู่ในทิฐิทั้งหลาย เราไม่
ชอบใจธรรมของพวกเขา พวกเขาเป็น

คนไม่ฉลาดต่อธรรม ยังมีพระพุทธเจ้า
ผู้เสด็จอุบัติในศากยสกุล หาบุคคลอื่น
เปรียบมิได้ ทรงครอบงำส่วนทั้งปวง
ทรงบรรเทาเสียซึ่งมาร ไม่ปราชัยในที่
ทุกสถาน ทรงพ้นแล้วในส่วนทั้งปวง
เป็นผู้อันตัณหาและทิฐิอาศัยไม่ได้ มี
พระจักษุทรงเห็นธรรมทั้งปวง ทรงบรรลุ
ธรรมเป็นที่สิ้นกรรมทุกอย่าง ทรงน้อม
ไปในธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา
เราชอบใจคำสอนของพระองค์ท่าน.

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า สีสุปจาลาภิกษุณีรู้จักเรา
ดังนี้ จงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง.

อรรถกถาสีสุปจาลาสูตร



ในสีสุปจาลาสูตรที่ 8 มีวินิจฉัยต่อไปนี้ :-
บทว่า สุมณี วิย ทิสฺสติ ความว่า ท่านปรากฏตัวเหมือนสมณะ.
บทว่า กิมิว จริสิ โมมูหา ความว่า เพราะเหตุไรท่านจึงประพฤติเหมือน
คนงมงาย. บทว่า อิโต พหิทฺธา ความว่า ภายนอกพระศาสนานี้ . บทว่า
ปาสณฺฑา ความว่า เจ้าลัทธิย่อมเหวี่ยงบ่วง คือทิฐิลงในจิตของสัตว์ทั้งหลาย.
แต่พระศาสนาย่อมปลดเปลื้องบ่วงทั้งหลาย ฉะนั้น จึงไม่กล่าวว่าเจ้าลัทธิ
เจ้าลัทธิมีภายนอกพระศาสนานี้ทั้งนั้น. บทว่า สํสีทนฺติ ได้แก่ จน คือติด.
บัดนี้ สีสุปจาลาภิกษุณีเมื่อกล่าวแก้ปัญหาที่ว่า ท่านบวชอุทิศใคร
จึงกล่าวว่า อตฺถิ สกฺยกุเล ชาโต เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
สพฺพาภิภู ความว่า ครอบงำส่วนทั้งหมด มีขันธ์ อายตนะ ธาตุ ภพ กำเนิด
ละคติเป็นต้น ชื่อว่า มารนุทะ เพราะบรรเทา คือขับไล่มรณมารเป็นต้น
บทว่า สพฺพตฺถมปราชิโต ความว่า ไม่แพ้ในกิเลสทั้งมวลมีราคะเป็นต้น
หรือในการรบมาร. บทว่า สพฺพตฺถ มุจฺโต ความว่า น้อมไปในธรรม
ทั้งปวงมีขันธ์เป็นต้น. บท อสฺสิโต ความว่า อันตัณหานิสัยและทิฏฐินิสัย
ไม่อาศัยแล้ว. บทว่า สพฺพกมฺมกฺขยํ ปตฺโต ความว่า บรรลุพระอรหัต
กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งกรรมทั้งปวง. บทว่า อุปธิสงฺขเย ความว่า
ทรงน้อมเป็นอารมณ์ในพระนิพพาน กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ.
จบอรรถกถาสีสุปจาลาสูตรที่ 8