เมนู

อรรถกถานันทนสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 1 แห่ง นันทนวรรคต่อไป:-
บทว่า ตตฺร แปลว่า ในพระอารามนั้น . ศัพท์ว่า โข สักว่าเป็น
นิบาตอันสามารถทำพยัญชนะให้สละสลวย. บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ ได้แก่
ย่อมให้ภิกษุทั้งหลายซึ่งเป็นบริษัทผู้เลิศทราบ. บทว่า ภิกฺขโว เป็นบทแสดง
ถึงอาการที่เรียกภิกษุเหล่านั้นมา. บทว่า ภทนฺเต เป็นคำทูลรับพระดำรัส.
บทว่า เต ภิกฺขู ความว่า ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้มีหน้าเฉพาะซึ่งจะรับพระธรรม-
เทศนา คือ ภิกษุเหล่านั้น. บทว่า ภควโต ปจฺจสฺโสสุํ ความว่า ภิกษุ
เหล่านั้นฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เป็นผู้มีหน้าเฉพาะ คือ ฟัง
แล้วทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า เอตทโวจ ความว่า
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำเป็นอาทิว่า เรื่องนี้ได้เคยมีมาแล้ว ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตาวตึสกายิกา ได้แก่ เกิดในหมู่ของ
เทวดาชั้นดาวดึงส์ท่านเรียกเทวโลกชั้นที่สองว่า ตาวติงสกายะ (แปลว่ามีพวก
33 หรือหมู่นรเทพ 33)
อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ได้ยินว่า บัญญัติชื่อว่า ตาวติงสกายะ นี้
เกิดขึ้นในเทวโลกนั้น เพราะอาศัยเทวบุตร 33 องค์ อุบัติขึ้นในที่นั้น เพราะ
ทำกาละของชน 33 กับมฆมาณพในบ้านอจลคาม ดังนี้. ก็เพราะเทวโลก-
กามาวจร 6 ชั้น มีอยู่แม้ในจักรวาลที่เหลือ ตามที่ได้ตรัสไว้ว่า มีท้าวจาตุม-
มหาราชาหนึ่งพันองค์ มีพิภพดาวดึงส์หนึ่งพัน ดังนี้เป็นต้น ฉะนั้น พึงทราบ
นามบัญญัตินี้ของเทวโลกนั้น ดังนี้. จริงอยู่ โดยเหตุนี้นั้น บทว่า ตาวตึสกาย
จึงไม่ผิดไป.

พึงทราบวิเคราะห์ในบทว่า นนฺทนวเน นี้ว่า ป่านั้น ย่อมยังบุคคล
ทั้งหลายผู้เข้าไปแล้วๆ ให้เพลิดเพลิน ย่อมให้ยินดี เพราะเหตุนั้น ป่านั้น จึง
ชื่อว่า นันทนะ แปลว่ายังบุคคลผู้เข้าไปแล้วให้ยินดี. จริงอยู่ ครั้นเมื่อ
มรณนิมิต 5 อย่างเกิดขึ้นแล้ว พวกเทวดาทั้งหลายย่อมคร่ำครวญอยู่ว่า พวก
เราจักต้องละทิ้งสมบัติจุติไป ดังนี้.
ท้าวสักกะจอมเทพ จะให้โอวาทว่า ท่านทั้งหลายอย่าร่ำไห้เลย ขึ้น
ชื่อว่าสังขารทั้งหลายมีอันไม่แตกดับไปหามีไม่ ดังนี้ แล้วจึงให้เทวดานั้นเข้า
ไปสู่สวนนันทนวันนั้น ความเศร้าโศกเพราะมรณะของเทวดานั้นแม้จะถูกเทวดา
อื่นประคองแขนไป ก็ย่อมสงบระงับได้ เพราะเห็นสมบัติแห่งสวนนันทวัน
นั้น. ความปรีดาปราโมทย์เท่านั้น ย่อมเกิดขึ้น. ทีนั้น เมื่อเทวดาทั้งหลาย
กำลังเล่นอยู่ในสวนนันทวันนั้นนั่นแหละ (ร่างกาย) ย่อมละลายไปดุจก้อน
หิมะที่ถูกเผาด้วยความร้อน และย่อมถูกขจัดไป ดุจเปลวประทีปถูกลมพัดดับ
ไป ฉะนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง ที่ใดที่หนึ่ง ย่อมยังเทวดาผู้เข้าไปในภายในแล้ว ให้
เพลิดเพลินให้ยินดีนั่นแหละ เพราะเหตุนั้น ที่นั้นจึงชื่อว่า นันทนะ. ในที่นี้
ได้แก่ ในสวนนันทวันนั้น. บทว่า อจฺฉรา ในบทว่า อจฺฉราสงฺฆปริวุตา
นี้เป็นชื่อ เทวธิดา ผู้แวดล้อมในหมู่ของนางอัปสรนั้น. บทว่า ทิพฺเพหิ
ได้แก่ ผู้เกิดในเทวโลก. บทว่า ปญฺจหิ กามคุเณหิ ได้แก่ ด้วยเครื่อง
ผูก คือ กาม หรือส่วนแห่งกาม 5 กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส และ
โผฏฐัพพะ อันเป็นที่รักที่ชอบใจ. บทว่า สมปฺปิตา คือเข้าถึงแล้ว. คำว่า
พรั่งพร้อมนอกนี้ก็เป็นไวพจน์ของการเข้าถึงแล้วนั่นแหละ. บทว่า ปริจาริย-
มานา
ได้แก่เทวดาทั้งหลายรื่นรมย์อยู่ คือ ยังอินทรีย์ให้รื่นเริงในกามคุณ มี
รูปเป็นต้นเหล่านั้น. บทว่า ตายํ เวลายํ ได้แก่ ในเวลาที่บำเรอนั้น.

ก็กาลนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ไม่นานเทวบุตรนั้นก็อุบัติขึ้น. จริงอยู่
อัตภาพของเทวดาที่อุบัติขึ้นนั้นมีประมาณ 3 คาวุต รุ่งโรจน์อยู่ ราวกะแท่ง
ทองสีแดง เทวบุตรนั้นนุ่งห่มผ้าทิพย์ประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับอันเป็น
ทิพย์ ทัดทรงด้วยดอกไม้ทิพย์ อันนางอัปสรลูบไล้อยู่ด้วยจันทน์และจุณทั้งหลาย
อันเป็นทิพย์ ถูกปกคลุมแล้ว บดขยี้แล้ว หุ้มห่อแล้วด้วยกามคุณ 5 อันเป็น
ทิพย์ ถูกความโลภครอบงำ ไม่เห็นอยู่ซึ่งพระนิพพานอันเป็นที่สลัดออกจาก
โลก เมื่อกล่าวคาถานี้ว่า น เต สุขํ ปชานฺนติ เป็นต้น ด้วยเสียงอันดัง
แล้วก็เที่ยวไปในสวนนันทวัน เป็นเหมือนบุคคลกล่าววาจาหยาบคาย (อันมี
ใช่เป็นวาจาของสัตบุรุษ) ด้วยเหตุนั้น เทวบุตรนั้น จึงได้กล่าวคาถานี้ใน
เวลานั้น.
บทว่า เย น ปสฺสนฺติ นนฺทนํ ได้แก่ เทวดาเหล่าใดซึ่งอยู่ในที่นั้
ย่อมไม่เห็นนันทวันด้วยสามารถแห่งการเสวยเบญจกามคุณ. บทว่า นรเทวานํ
ได้แก่ นระผู้เป็นเทพ. คือบุรุษผู้เป็นเทพ. บทว่า ติทสานํ แปลว่า สามสิบ
(ไตรทศ). บทว่า ยสสฺสินํ แปลว่า ถึงพร้อมด้วยยศ คือบริวาร (บริวารยศ).
สองบทว่า อญฺญตรา เทวตา ได้แก่ เทวดาผู้เป็นพระอริยสาวิกา
องค์หนึ่ง. บทว่า ปจฺจภาสิ อธิบายว่า เทวดาผู้โง่เขลานี้ ย่อมสำคัญสัมบัติ
(ของตน) นี้ว่าเป็นของมั่งคั่งเป็นของไม่หวั่นไหว ย่อมไม่ทราบถึงความที่
สมบัตินั้น มีการแตกสลายเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้ เทวดาผู้พระอริยสาวิกา
ผู้ไม่ละความตั้งใจแสดงสภาวะ จึงได้ย้อนกล่าวด้วยคาถานี้ว่า น ตฺวํ พาเล
แปลว่า ดูก่อนท่านผู้เขลา. บทว่า ยถา อรหตํ วโจ อธิบายว่า เมื่อ
คัดค้านความต้องการของเทวดาผู้โง่เขลาอย่างนี้ว่า ท่านย่อมไม่รู้คำของ
พระอรหันต์ทั้งหลายโดยแท้จริงดังนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงคำของพระอรหันต์
ทั้งหลายจึงกล่าวคำว่า อนิจฺจา เป็นต้น.

บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา อธิบายว่า
สังขารอันเป็นไปในภูมิ 3 ทั้งหมด ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่า มีแล้วหามี
ไม่ (เกิดแล้วก็ดับไป). คำว่า อุปฺปาทวยธมฺมิโน ได้แก่ สภาวะที่เกิดขึ้น
และเสื่อมไป (มีความเกิดขึ้นและมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา). คำว่า อุปฺปชฺ-
ชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ
นี้ เป็นไวพจน์ของคำก่อน (คือ อุปฺปาทวย). อีก
อย่างหนึ่ง แปลว่า เพราะเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มี
ความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา. ก็ในที่นี้ ท่านถือเอาฐานะในลำดับนั้น
นั่นแหละด้วยศัพท์อุปปาทะและวยะ. คำว่า เตสํ วูปสโม สุโข อธิบายว่า
พระนิพพาน กล่าวคือ ความเข้าไปสงบระงับแห่งสังขารทั้งหลายเหล่านั้น เป็น
สุข. นี้เป็นคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล.
จบอรรถกถานันทนสูตรที่ 1

2. นันทิสูตร



ว่าด้วยผู้ไม่มีความยินดี



[26] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล
ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
คนมีบุตรย่อมยินดีเพราะบุตรทั้ง-
หลาย คนมีโคย่อมยินดีเพราะโคทั้งหลาย
เหมือนกันฉะนั้น เพราะอุปธิเป็นความดี
ของคน บุคคลใดไม่มีอุปธิ บุคคลนั้นไม่มี
ยินดีเลย.

[27] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
บุคคลมีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะ
บุตรทั้งหลาย บุคคลมีโค ย่อมเศร้าโศก
เพราะโคทั้งหลายเหมือนกันฉะนั้น เพราะ
อุปธิเป็นความเศร้าโศกของคน บุคคลใด
ไม่มีอุปธิ บุคคลนั้นไม่เศร้าโศกเลย.