เมนู

3. ทีฆลักฐิสูตร



[256] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อัน
เป็นที่ประทานเหยื่อแก่กระแต กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น ทีฆลัฏฐิเทวบุตร เมื่อสิ้น
ราตรีปฐมยาม มีวรรณะอันงามยิ่งนัก ทำพระวิหารเวฬุวันให้สว่างทั่วแล้ว
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[257] ทีฆลัฏฐิเทวบุตร ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าว่า
ภิกษุพึงเป็นผู้มีปกติเพ่งพินิจฌาน
มีจิตหลุดพ้นแล้ว พึงหวังความไม่เกิดขึ้น
แห่งหทัย คือพระอรหัตผล รู้ความเกิดขึ้น
และควานเสื่อมไปแห่งโลกแล้ว มีใจดี
อันตัณหาและทิฐิไม่อิงอาศัยแล้ว มีพระ-
อรหัตผลนั้นเป็นอานิสงส์.


อรรถกถาทีฆลัฏฐิสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในทีฆลัฏฐิสูตรที่ 3 ต่อไป :-
บทว่า ทีฆลฏฺฐิ ความว่า เหล่าเทพในเทวโลก มีพฤตินัยว่า มี
ขนาดเท่ากันหมด ส่วนทีฆลัฏฐิเทพบุตรนั้น มีชื่ออย่างนี้ ก็เพราะเมื่ออยู่ใน
มนุษยโลกมีตัวสูง. เขาทำบุญทั้งหลาย แม้บังเกิดในเทวโลก ก็ปรากฏชื่อ
อย่างนั้นนั่นแหละ.
จบอรรถกถาทีฆทัฏฐิสูตรที่ 3

4. นันทนสูตร



[258] นันทนเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ข้าแต่พระโคดม ผู้มีพระปัญญา
กว้างขวาง ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์
ถึงญาณทัสสนะ อันไม่มีอะไรขวางกั้น
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า บัณฑิตทั้งหลาย
เรียกบุคคลชนิดไรว่า เป็นผู้มีศีล เรียก
บุคคลชนิดไรว่า เป็นผู้มีปัญญา บุคคล
ชนิดไรล่วงทุกข์อยู่ได้ เทวดาทั้งหลาย
บูชาบุคคลชนิดไร.

[259] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
บุคคลใด มีศีล มีปัญญา อบรม
ตนแล้ว มีจิตตั้งมั่น ยินดีในฌาน มีสติ
ปราศจากความโศกทั้งหมด ละได้ขาดสิ้น
อาสวะแล้ว ทรงไว้ซึ่งร่างกายสุดท้าย
บัณฑิตทั้งหลายเรียกบุคคลชนิดนั้นว่า
เป็นผู้มีศีล เรียกบุคคลชนิดนั้นว่า เป็นผู้
มีปัญญา บุคคลชนิดนั้นล่วงทุกข์อยู่ได้
เทวดาทั้งหลายบูชาบุคคลชนิดนั้น.