เมนู

อรรถกถากามทสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในกามทสูตรที่ 6 ต่อไป :-
บทว่า ทุกฺกรํ ความว่า ได้ยินว่า เทพบุตรองค์นี้ เคยเป็นพระ-
โยคาวจร ข่มกิเลสทั้งหลาย ด้วยความพากเพียร เพราะเป็นผู้มีกิเลสหนา
กระทำสมณธรรม ก็ยังไม่บรรลุอริยภูมิ เพราะมีอุปนิสัยในปางก่อนน้อย
กระทำกาละ [ตาย] แล้วไปบังเกิดในเทวโลก ไปยังสำนักพระตถาคตมา
ด้วยหวังจะทูลบอกว่า. สมณธรรมทำได้ยาก จึงทูลอย่างนี้. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ทุกฺกรํ ความว่า ขึ้นชื่อว่า การกระทำสมณธรรมให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว
ตลอด 10 ปีบ้าง ฯลฯ 60 ปีบ้าง ชื่อว่ากระทำได้ยาก. บทว่า เสกฺขา ได้แก่
พระเสขะ 7. บทว่า สีลสมาหิตา แปลว่า ตั้งมั่นเข้าประกอบแล้วด้วยศีล.
บทว่า ฐิตตฺตา แปลว่า สภาวะที่ตั้งมั่นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรง
แก้ปัญหาที่เทพบุตรทูลถามอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงตั้งปัญหาให้สูงขึ้น
ไปอีก จึงตรัสว่า อนคาริยุเปตสฺส เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
อนคาริยุเปตสฺส ได้แก่ ผู้เข้าถึงความไม่มีเรือน คือปราศจากเรือน. จริงอยู่
ภิกษุอยู่บนปราสาทแม้ 7 ชั้น เมื่อถูกพระภิกษุผู้แก่กว่ามาบอกว่า เสนาสนะ
นี้ตกถึงผม ดังนี้ ย่อมถือเอาบาตรจีวรออกไปโดยดี เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกว่า ผู้เข้าถึงความไม่มีเรือน. บทว่า ตุฏฺฐิ ได้แก่
ความสันโดษด้วยปัจจัย 4. บทว่า ภาวนาย ได้แก่ ในการอบรมความสงบ
แห่งจิต.
บทว่า เต เฉตฺวา มจฺจุโน ชาลํ ความว่า พระอริยะเหล่าใด
ยินดีแล้วในความสงบแห่งอินทรีย์ ทั้งกลางวันและกลางคืน พระอริยะเหล่านั้น

ย่อมตั้งมั่นจิตที่ตั้งมั่นได้ยาก. พระอริยะเหล่าใด มีจิตตั้งมั่นแล้ว พระอริยะ
เหล่านั้น ทำความสันโดษในปัจจัย 4 ให้บริบูรณ์ ย่อมไม่ลำบาก พระอริยะ
เหล่าใดสันโดษแล้ว พระอริยเหล่านั้น ทำศีลให้บริบูรณ์ ย่อมไม่ลำบาก
พระอริยเหล่าใดตั้งมั่นในศีล พระอริยะเหล่านั้น คือพระเสขะ 7 ตัดข่ายคือ
กิเลส ที่เรียกว่า ข่ายมัจจุไป. คำทั้งหมดว่า ทุคฺคโม นี้ ท่านอธิบายว่า
เทพบุตรทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระอริยะเหล่าใด ยินดีในอินทรีย์
อันสงบ พระอริยะเหล่านั้น ย่อมตั้งมั่นจิตที่ตั้งมั่นได้ยาก พระอริยะเหล่าใด
ตั้งมั่นในศีล พระอริยะเหล่านั้นตัดข่ายมัจจุไปได้ ก็บุคคลนี้จักไปได้อย่างไร
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทางนี้เป็นทางที่ไปได้ยาก เป็นทางที่ไม่เรียบ
มิใช่หรือ ดังนี้ ในข้อนั้น อริยมรรคไม่เป็นทางที่ไปได้ยาก ไม่เป็นทางที่
ไม่เรียบ ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น อันตรายเป็นอันมาก ย่อมมีแก่บุคคลนั้น
เพราะปฏิปทาเป็นบุพภาคส่วนเบื้องต้น เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสอย่างนั้น. บทว่า อวํสิรา ได้แก่ เป็นผู้บ่ายศีรษะลง เพราะศีรษะ
คือญาณ ย่อมตกไป และเพราะไม่อาจยกขึ้นสู่อริยมรรคได้ ชนเหล่านั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกว่า ตกไปในทางอันไม่เรียบ. บทว่า อริยานํ
สโม มคฺโค
ความว่า ทางนั้นนั่นแล ย่อมเป็นทางเรียบของพระอริยะทั้งหลาย.
บทว่า วิสเม สมา ความว่า แท้จริง พระอริยะทั้งหลายเป็นผู้เรียบอย่าง
เดียว ในหมู่สัตว์ที่ไม่เรียบ.
จบอรรถกถามทสูตรที่ 6

7.ปัญจาลจัณฑสูตร



[236] ปัญจาลจัณฑเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
บุคคลผู้มีปัญญามาก ได้พบโอกาส
ช่องทางในที่คับแคบหนอ ผู้ใดได้รู้ฌาน
เป็นผู้ตื่น ผู้นั้นเป็นผู้องอาจในการเร้น
เป็นมุนี.

[237] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนปัญจาลจัณเทวบุตร ชนเหล่า
ใด แม้อยู่ในที่คับแคบ แต่กลับได้ซึ่งสติ
เพื่อการบรรลุธรรม คือพระนิพพาน
ชนเหล่านั้น ชื่อว่า ตั้งมั่นดีแล้วโดยชอบ.


อรรถกถาปัญจาลจัณฑสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในปัญจาลจัณฑสูตรที่ 7 ต่อไป :-
ในบทว่า สมฺพาเธ ที่คับแคบมี 2 ได้แก่ ที่คับแคบ คือ นิวรณ์ ที่
คับแคบ คือ กามคุณ. ในที่คับแคบทั้งสองนั้น ในพระสูตรนี้ ท่านประสงค์
เอาที่คับแคบ คือ นิวรณ์. คำว่า โอกาโส นี้เป็นชื่อของฌาน. บทว่า
ปฏิลีนนิสโภ แปลว่า เป็นผู้หลีกออกได้ประเสริฐสุด. ผู้ละมานะได้แล้ว