เมนู

อรรถกถาปาเถยยสูตา



พึงทราบวินิจฉัยในปาเถยยสูตรที่ 9 ต่อไป :-
บทว่า ศรัทธาย่อมรวบรวมไว้ซึ่งสะเบียง อธิบายว่า บุคคล
ยังศรัทธาให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมให้ทาน ย่อมรักษาศีล ย่อมทำอุโบสถกรรม
ด้วยเหตุนี้แหละ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ศรัทธาย่อมรวบรวมไว้ซึ่ง
สะเบียง ดังนี้. บทว่า สิริ ได้แก่ ความเป็นใหญ่. บทว่า อาสโย ได้แก่
เป็นที่อาศัย. จริงอยู่ โภคะทั้งหลายย่อมมาจากทางบกบ้าง ทางน้ำบ้าง
มุ่งหน้าเฉพาะผู้เป็นใหญ่เท่านั้น ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
สิริเป็นที่มานอนแห่งโภคทรัพย์ ดังนี้. บทว่า ปริกสฺสติ ได้แก่ ย่อม
ฉุดคร่าไป.
จบอรรถกถาปาเถยยสูตรที่ 9

10. ปัชโชตสูตร



[217] เทวดาทูลถามว่า
อะไรหนอ เป็นแสงสว่างในโลก อะไร
หนอ เป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่ในโลก อะไร
หนอ เป็นสหายในการงานของผู้เป็นอยู่
ด้วยการงาน อะไรหนอ เป็นเครื่องสืบต่อ
ชีวิตของเขา อะไรหนอบุคคลผู้เกียจคร้าน
บ้าง ไม่เกียจคร้านบ้าง ย่อมพะนอเลี้ยง
ดุจมารดาเลี้ยงดูบุตร เหล่าสัตว์มีชีวิตที่
อาศัยแผ่นดินอาศัยอะไรหนอเลี้ยงชีวิต.

[218] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก สติ
เป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่ในโลก ฝูงใดเป็น
สหายในการงานของผู้เป็นอยู่ด้วยการงาน
ไถเป็นเครื่องต่อชีวิตของเขา ฝนย่อมเลี้ยง
บุคคลผู้เกียจคร้านบ้าง ไม่เกียจคร้านบ้าง
เหมือนมารดาเลี้ยงบุตร เหล่าสัตว์มีชีวิตที่
อาศัยแผ่นดิน อาศัยฝนเลี้ยงชีวิต.