เมนู

[105] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ แม้พวกเทวดาและ
มนุษย์เหล่านั้น ย่อมเป็นผู้อันบัณฑิตพึง
สรรเสริญู พวกเทวดาและมนุษย์เหล่าใด
ย่อมไหว้ขีณาสวภิกษุนั้น ผู้พ้นแล้วอย่าง
นั้น ดูก่อนภิกษุ แม้พวกเทวดาและมนุษย์
เหล่านั้นรู้ธรรมแล้ว ละวิจิกิจจาแล้ว ก็
ย่อมเป็นผู้ล่วงแล้วซึ่งธรรมเป็นเครื่องข้อง.


อรรถกถานสันติสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในนสันติสูตรที่ 4 ต่อไป :-
บทว่า กมนียานิ แปลว่า อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ ได้แก่
อารมณ์ที่น่าปรารถนามีรูปเป็นต้น. บทว่า อปุนาคมนํ อนาคนฺตฺวา ปุริโส
มจฺจุเธยฺยํ
ได้แก่ ไม่มาถึงพระนิพพาน กล่าวคือที่เป็นที่ไม่กลับมาอีก แต่
บ่วงแห่งมัจจุ กล่าวคือ วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ 3 จริงอยู่ บุคคลผู้บรรลุพระ-
นิพพานแล้ว ย่อมไม่กลับมาอีก ฉะนั้น ท่านจึงเรียกนิพพานนั้นว่า อปุนาคมนะ
แปลว่า ที่เป็นที่ไม่กลับมาอีก. อธิบายว่า บุคคลผู้เกี่ยวข้องแล้ว ผู้ประมาท
แล้วในกามทั้งหลาย ชื่อว่า ย่อมไม่มาแล้ว คือไม่อาจเพื่อบรรลุพระนิพพาน
นั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า ฉนฺทชํ แปลว่า เกิดแต่
ฉันทะ อธิบายว่า เกิดเพราะตัณหาฉันทะ. บทว่า อฆํ แปลว่า ทุกข์ คือ
เบญจขันธ์ บทที่ 2 (ทุกข์) เป็นไวพจน์ของเบญจขันธ์นั้นนั่นแหละ. บทว่า

ฉนฺทวินยา อฆวินโย แปลว่า เพราะกำจัดฉันทะเสียจึงกำจัดเบญจขันธ์ได้
อธิบายว่า เพราะกำจัดตัณหาได้ จึงกำจัดเบญจขันธ์ได้. บทว่า อฆวินยา
ทุกฺขวินโย
แปลว่า เพราะกำจัดเบญจขันธ์ได้ จึงกำจัดทุกข์ได้ อธิบายว่า
เพราะกำจัดเบญจขันธ์ได้ วัฏทุกข์ ย่อมเป็นอันตนกำจัดได้แล้วเหมือนกัน.
บทว่า จิตฺรานิ แปลว่า อารมณ์อันงามทั้งหลาย. บทว่า สงฺกปฺปราโค แปลว่า
ความกำหนัดที่พร้อมด้วยความดำริ ในที่นี้ ท่านปฏิเสธวัตถุทั้งหลาย (วัตถุ
กาม) แล้วกล่าวว่า ความกำหนัดพร้อมด้วยความดำริอย่างนี้ว่า เป็นกิเลสกาม.
ความข้อนี้ บัณฑิตพึงให้แจ่มแจ้งด้วยปสุรสูตร. จริงอยู่ เมื่อพระเถระ (พระ-
สารีบุตร) กล่าวว่าความดำริและความกำหนัดเป็นกามของบุรุษ ปสุรปริพาชก
ก็กล่าวว่า ธรรมเหล่าใดมีอารมณ์งาม ธรรมเหล่านั้น ไม่ใช่กาม ท่านกล่าวว่า
ความดำริและความกำหนัดในโลก ว่าเป็นกาม เป็นความดำริ ถ้าเช่นนั้น แม้
ภิกษุของท่านก็พึงบริโภคกามในอกุศลวิตก ดังนี้. ลำดับนั้น พระเถระได้
กล่าวกะปสุรปริพาชกนั้นว่า หากว่า อารมณ์เหล่าใดงาม อารมณ์เหล่านั้นไม่
ใช่กามไซร้ ท่านก็ไม่ต้องกล่าวถึงความดำริและความกำหนัดว่า เป็นกามใน
โลก เมื่อบุคคลเห็นอยู่ซึ่งรูปทั้งหลายอันเป็นอารมณ์ทางใจ แม้พระศาสดาก็
ตรัสว่า กามโภคีพึงมีแก่เขา ดังนี้ เมื่อบุคคลฟังเสียงทั้งหลาย สูดอยู่ซึ่งกลิ่น
หอมทั้งหลาย ลิ้มอยู่ซึ่งรสทั้งหลาย ถูกต้องอยู่ซึ่งผัสสะทั้งหลายอันเป็นอารมณ์
ทางใจ แม้พระศาสดาก็ตรัสว่า กามโภคี พึงมีแก่เขา ดังนี้.
บทว่า อเถตฺถ ธีรา แปลว่า บุคคลผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมกำจัด
ฉันทะในอารมณ์ทั้งหลายนั้นโดยแท้ อธิบายว่า บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมกำจัด
ฉันทราคะในอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นโดยแท้. บทว่า สํโยชนํ สพฺพํ ได้
แก่ สังโยชน์แม้ทั้ง 10 อย่าง. บทว่า อกิญฺจนํ ได้แก่ เว้นจากกิเลสเครื่อง
กังวลทั้งหลายมีราคะเป็นต้น. บทว่า นานุปตนฺติ ทุกฺขา แปลว่า ทุกข์ทั้ง

หลายย่อมไม่ตกถึงบุคคลนั้น คือว่าวัฏทุกข์ทั้งหลาย ย่อมไม่ตกไปเบื้องบน
บุคคลผู้นั้น. พระเถระชื่อว่า โมฆราชผู้ฉลาดในอนุสนธิ ฟังคาถาว่า ขีณาสว
ภิกษุละบัญญัติเสียแล้ว ดังนี้ มีสติกำหนดคาถาแม้เหล่านั้นแล้วจึงคิดว่า เนื้อ
ความแห่งคาถานี้ ไม่ไปตามอนุสนธิ ดังนี้ เมื่อจะสืบต่อแห่งอนุสนธิตามที่เป็น
ไปอย่างไร จึงกล่าวคำ อย่างนี้ว่า
ก็หากว่า พวกเทวดา พวกมนุษย์
ในโลกนี้ หรือในโลกอื่นก็ดี ไม่ได้เห็น
พระขีณาสพนั้นผู้อุดมกว่านรชน ผู้ประ-
พฤติประโยชน์เพื่อพวกนรชน ผู้พ้นแล้ว
อย่างนั้น เทวดาและมนุษย์เหล่าใด ย่อม
ไหว้พระขีณาสพนั้น เทวดาและมนุษย์
เหล่านั้นย่อมเป็นผู้อันบัณฑิตพึงสรรเสริญ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธ วา หุรํ วา แปลว่า ในโลกนี้
หรือในโลกอื่น. บทว่า นรุตฺตมํ อตฺถจรํ นรานํ แปลว่า ผู้อุดมกว่านรชน
ผู้พระพฤติประโยชน์ เพื่อนรชนทั้งหลายนั้น แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระ-
เถระก็มิได้หมายเอาพระชีณาสพอื่น หมายเอาพระทศพลเท่านั้น. บทว่า เย
ตํ นมสฺสนฺติ ปสํสิยา เต
แปลว่า พวกเทวดาและมนุษย์เหล่าใด ย่อมไหว้
พระขีณาสพนั้นผู้พ้นแล้วอย่างนั้น อธิบายว่า ย่อมไหว้พระผู้มีพระภาคพระองค์
นั้น ด้วยกายหรือด้วยวาจาหรือว่า ด้วยการปฏิบัติตามโดยแท้ พวกเทวดาและ
มนุษย์เหล่านั้น พึงเป็นผู้อันบัณฑิตควรสรรเสริญหรือไม่ บทว่า ภิกษุ
เป็นคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพระโมฆราชเถระ. บทว่า อญฺญาย ธมฺมํ

แปลว่า รู้ธรรมแล้ว คือได้แก่ รู้สัจธรรมทั้ง 4. บทว่า สงฺคาตีตา เตปิ
ภวนฺติ
แปลว่า แม้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น. . . ย่อมเป็นผู้ล่วง
ธรรมเครื่องข้อง อธิบายว่า เทวดาและมนุษย์เหล่าใด ย่อมไหว้พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้านั้นด้วยกายหรือด้วยวาจา หรือว่า ด้วยการปฏิบัติตาม เทวดาและ
มนุษย์เหล่านั้นรู้สัจจธรรม 4 และละวิจิกิจฉาแล้ว ย่อมเป็นผู้ล่วงพ้นธรรมเป็น
เครื่องข้องบ้าง ย่อมเป็นผู้อันบัณฑิต พึงสรรเสริญบ้าง ดังนี้แล.
จบอรรถกถานสันติสูตรที่ 4

5. อุชฌานสัญญีสูตร



ว่าด้วยเทวดามุ่งโทษ



[106] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น เมื่อปฐมยามล่วง
ไปแล้ว พวกเทวดาผู้มีความมุ่งหมายเพ่งโทษมากด้วยกัน มีวรรณะงาม ยัง
พระวิหารเชตวัน ทั้งสิ้นให้สว่างเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจึงได้ลอยอยู่
ในอากาศ.
[107] เทวดาองค์หนึ่ง ครั้นลอยอยู่ในอากาศแล้ว ได้กล่าวคาถานี้
ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
บุคคลใดประกาศตนอันมีอยู่โดย
อาการอย่างอื่น ให้เขารู้โดยอาการอย่าง
อื่น บุคคลนั้นลวงปัจจัยเขากินด้วยความ
เป็นขโมย เหมือนความลวงกินแห่ง
พรานนก ก็บุคคลทำกรรมใด ควรพูดถึง
กรรมนั้น ไม่ทำกรรมใด ก็ไม่ควรพูดถึง
กรรมนั้น บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้จักบุคคล
นั้น ผู้ไม่ทำ มัวแต่พูดอยู่.

[108] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาทั้งหลายนี้ว่า
ใคร ๆ ไม่อาจดำเนินปฏิปทานี้ด้วย
เหตุสักว่าพูด หรือฟังส่วนเดียว บุคคลผู้
มีปัญญาทั้งหลาย ผู้มีฌาน ย่อมพ้นจาก