เมนู

สรีระที่เกิดขึ้นแล้ว อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ ไม่ใช่ความสำราญ ไม่เป็นที่
ชอบใจพอจะสังหารชีวิตได้ เธอเป็นผู้กำจัดราคะ โทสะ โมหะทั้งปวงได้
หมดกิเลส เพียงดังน้ำฝาดแล้ว เป็นผู้ควรแก่ของคำนับ ควรแก่ของต้อนรับ
ควรแก่ทักขิณาทาน ควรแก่การกระทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลกอย่างหา
แห่งอื่นเปรียบมิได้.

ว่าด้วยอุปมาด้วยช้าไม่ได้ฝึก


[403] ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ถ้าช้างหลวงแก่ ที่ไม่ได้ฝึก ไม่ได้หัด
ล้มลง ก็ถึงความนับว่า ช้างหลวงแก่ ล้มตายไปอย่างมิได้ฝึก ถ้าช้างหลวง
ปูนปานกลาง ที่ไม่ได้ฝึก ไม่ได้หัด ล้มลง ก็ถึงความนับว่า ช้างหลวงปูน
ปานกลางล้มตายไปอย่างมิได้ฝึก ถ้าช้างหลวงปูนหนุ่มที่ไม่ได้ฝึก ไม่ได้หัด
ล้มลง ก็ถึงความนับว่า ช้างหลวงหนุ่ม ล้มตายไปอย่างมิได้ฝึก ฉันใด ดู
ก่อนอัคคิเวสสนะ ฉันนั้นเหมือนกันแล ถ้าภิกษุเถระยังไม่สิ้นอาสวะ ทำกาละ
ลง ก็ถึงความนับว่า ภิกษุเถระทำกาละ ตายไปอย่างไม่ได้ฝึก ถ้าภิกษุ
มัชฌิมะยังไม่สิ้นอาสวะ ทำกาละลง ก็ถึงความนับว่า ภิกษุมัชฌิมะทำกาละ
ตายไปอย่างไม่ได้ฝึก ถ้าภิกษุนวกะยังไม่สิ้นอาสวะ ทำกาละลง ก็ถึงความนับ
ว่า ภิกษุนวกะ ทำกาละ ตายไปอย่างไม่ได้ฝึก.
[404] ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ถ้าช้างหลวงแก่ที่ฝึกดี หัดดีแล้ว ล้มลง
ก็ถึงความนับว่า ช้างหลวงแก่ล้มตายไปอย่างฝึกแล้ว ถ้าช้างหลวงปูนปานกลาง
ที่ฝึกดี หัดดีแล้ว ล้มลง ก็ถึงความนับว่า ช้างหลวงปูนปานกลางล้มตายไปอย่าง
ฝึกแล้ว ถ้าช้างหลวงปูนหนุ่มที่ฝึกดี หัดดีแล้ว ล้มลง ก็ถึงความนับว่า ช้าง
หลวงปูนหนุ่มล้มตายไปอย่างฝึกแล้ว ฉันใด ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ฉันนั้น
เหมือนกันแล ถ้าภิกษุเถระสิ้นอาสวะแล้ว ทำกาละลง ก็ถึงความนับว่า ภิกษุ

เถระทำกาละตายอย่างฝึกแล้ว ถ้าภิกษุมัชฌิมะสิ้นอาสวะแล้ว ทำกาละลง ก็ถึง
ความนับว่าภิกษุมัชฌิมะทำกาละ ตายอย่างฝึกแล้ว ถ้าภิกษุนวกะสิ้นอาสวะแล้ว
ทำกาละลง ก็ถึงความนับว่า ภิกษุนวกะทำกาละ ตายอย่างฝึกแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว สมณุทเทสอจิรวตะจึง
ชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล.
จบทันตภูมิสูตรที่ 4

อรรถกถาทันตภูมิสูตร



ทันตภูมิสูตร มีบทเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อรญฺญกุฏิกายํ ได้แก่ในเสนาสนะที่เขา
สร้างไว้ เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุผู้บำเพ็ญเพียร ในที่ซึ่งเงียบสงัดแห่งหนึ่งของ
พระวิหารเวฬุวันนั้นแล. บทว่า ราชกุมาโร หมายถึงพระราชกุมารชยเสนะ
ผู้เป็นราชบุตรของพระเจ้าพิมพิสาร.
บทว่า ผุเสยฺย แปลว่า พึงได้. บทว่า เอกคฺคตํ ความว่า พระราช-
กุมารตรัสว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมได้
สมาบัติ ชื่อว่าย่อมได้ฌาน. บทว่า กิลมโถ ได้แก่ ความลำบากกาย. ความ
ลำบากนั่นแหละเรียกว่า วิเหสา บ้าง. บทว่า ยถาสเก ติฏฺเฐยฺยาสิ ความว่า
ขอพระองค์พึงดำรงอยู่ในส่วนที่ไม่รู้ ของพระองค์เถิด.
บทว่า เทเสสิ ความว่า ย่อมได้อย่างนี้ คือ ได้จิตเตกัคคตา ได้แก่
ย่อมยังสมาบัติให้เกิดอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ถึงอัปปนาสมาธิแต่อุปจารสมาธิ
แล้ว จึงกล่าวกสิณบริกรรมอย่างนี้. บทว่า ปเวทตฺวา แปลว่า ประกาศแล้ว.
บทว่า เนกฺขมฺเมน ญาตพฺพํ ความว่า พึงรู้ด้วยคุณคือบรรพชา
อันเป็นเครื่องสลัดออกจากกาม. ข้อนั้นท่านกล่าวไว้โดยอธิบายว่า ขึ้นชื่อว่า
เอกคฺคตา อันบุคคลผู้ตั้งอยู่ในคุณคือบรรพชาอันเป็นเครื่องสลัดออกจากกาม
พึงรู้. บทที่เหลือเป็นไวพจน์ของ บทว่า ญาตพฺพํ นั้นแหละ. บทว่า กาเม
ปริภุญฺชนฺโต ได้แก่ บริโภคกามแม้ทั้งสองอย่าง.
บทว่า หตฺถิทมฺมา วา อสฺสทมฺมา วา โคทมฺมา วา นี้ มี
อธิบายว่า บุคคลผู้เว้นจากความเป็นผู้มีจิตแน่วแน่ พึงเห็นเป็นเหมือนการฝึก