เมนู

อรรถกถาอินทริยภานาสูตร



อินทริยภาวนาสูตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
ในพระสูตรนั้น คำว่า ใน ชังกลา1 คือในจังหวัดมีชื่ออย่างนั้น.
คำว่า ที่ป่าไผ่ ได้แก่ ต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่อเวฬุ (คือต้นไผ่). มีชัฎป่าใหญ่ที่ต้น
เวฬุเหล่านั้นปกคลุมแล้ว ประทับอยู่ในราวป่านั้น. คำว่า ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ
ไม่ยินเสียงด้วยโสต
ท่านกล่าวอธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดง
อย่างนี้ว่า ไม่พึงดูรูปด้วยตา ไม่พึงฟังเสียงด้วยหู. พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อ
จะทรงแสดงการอบรมอินทรีย์ที่ไม่เหมือนในศาสนาของพระองค์จึงได้ทรงทำ
อาลัยด้วยบทนี้ว่า ในวินัยของพระอริยเจ้าเป็นอย่างอื่น. ท่านพระอานนที่
คิดว่า พระศาสดาทรงแสดงอาลัย เอาละเราจะขอให้ทรงกระทำถ้อยคำเกี่ยวกับ
การอบรมอินทรีย์ แก่หมู่ภิกษุในบริษัทนี้แล้ว เมื่อจะทูลขอร้องพระศาสดา
จึงได้กล่าวคำเป็นต้นว่า เอตสฺส ภควา. ลำดับนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
จะทรงแสดงการอบรมอินทรีย์แก่ท่าน จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ถ้าอย่างนั้น
อานนท์. ในพระสูตรนั้น คำว่า นี้คืออุเบกขา คือ ชื่อว่าวิปัสสนูเปกขา
นี้ใด วิปัสสนูเปกขานี้สงบระงับ วิปัสสนูเปกขานี้ประณีต อธิบายว่า ไม่ทำให้
เดือนร้อน. ภิกษุนี้ ไม่ให้จิตพอใจในอารมณ์ที่น่าปรารถนาในรูปารมณ์ ในจักษุ
ทวาร ไม่พอใจในอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา และพอใจไม่พอใจในอารมณ์
กลาง ๆ ไม่ให้เพื่อกำหนัด เพื่อประทุษร้าย หรือเพื่อหลงใหลแก่จิตนั้น
กำหนดเอาแล้ว ตั้งวิปัสสนาในความเป็นกลาง. คำว่า ผู้มีดวงตา คือมีจักษุ
สมบูรณ์ มีดวงเนตรหมดจด. จริงอยู่ ผู้ที่เจ็บตาจะลืมหรือหลับตาไปข้างบน
1. บาลี กชฺชงฺคา

ไม่ได้. เพราะฉะนั้นจึงไม่ถือเอาคนนั้น. คำว่า อีสกโปเณ คือ ชูขึ้นตั้ง
อยู่เหมือนงอนรถ.
ในคำว่า เป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งน่าเกลียดว่าไม่น่าเกลียด
เป็นต้น ด้วยการแผ่เมตตาหรือด้วยการเอาธาตุมาเทียบเคียงกัน ในสิ่ง
ที่น่าเกลียด ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญว่าไม่น่าเกลียดได้. ด้วยการแผ่ความ
ไม่งาม หรือด้วยการน้อมเข้าไปด้วยความเป็นของไม่เที่ยง ในสิ่งที่ไม่น่าเกลียด
ก็จะเป็นผู้มีความสำคัญ ว่าน่าเกลียดได้. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้แล. เมื่อเว้นสิ่ง
ทั้งสองส่วนนั้นได้เด็ดขาดอย่างยิ่งแล้ว เป็นผู้วางตัวเป็นกลาง ใคร่เพื่อจะอยู่
ทำอะไร. เมื่อสิ่งน่าปรารถนา และสิ่งไม่น่าปรารถนามาสู่คลอง ก็จะกลาย
เป็นผู้ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย. สมจริงดังพระพุทธดำรัสที่ตรัสว่า
ภิกษุผู้มีความสำคัญ ในสิ่งที่น่าเกลียดว่าไม่น่าเกลียดอย่างไร คือ ภิกษุ
ย่อมแผ่เมตตา หรือน้อมเข้าไปโดยเป็นธาตุในวัตถุที่ไม่น่าปรารถนา ภิกษุย่อม
เป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งที่น่าเกลียดว่า ไม่น่าเกลียดอย่างนี้ . ภิกษุมีความสำคัญ
ในสิ่งที่ไม่น่าเกลียดว่าน่าเกลียดอย่างไร คือ ภิกษุแผ่ไปด้วยอสุภ หรือน้อมนำ
เข้าไปโดยความไม่เที่ยง ในวัตถุที่น่าปรารถนา ภิกษุย่อมมีความสำคัญในสิ่งที่ไม่
น่าเกลียดว่า น่าเกลียดอย่างนี้. ภิกษุเป็นผู้มีความสำคัญทั้งในสิ่งที่น่าเกลียด
และไม่น่าเกลียดว่า ไม่น่าเกลียดอย่างไร คือภิกษุย่อมแผ่เมตตาไป หรือน้อม
เข้าไปโดยความเป็นธาตุ ทั้งในวัตถุที่ไม่น่าปรารถนาและน่าปรารถนา อย่างนี้
ชื่อว่าเป็นผู้มีความสำคัญ ในสิ่งที่น่าเกลียด และไม่น่าเกลียดว่า ไม่น่าเกลียด.
อย่างไร ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้มีความมีสำคัญ ในสิ่งที่ไม่น่าเกลียดและน่าเกลียดว่า
น่าเกลียด คือภิกษุแผ่อสุภไปหรือน้อมนำไปโดยความเป็นของไม่เที่ยง ในวัตถุ
ที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนาอย่างนี้ชื่อว่า เป็นผู้มีความสำคัญ ในสิ่งไม่
น่าเกลียดและน่าเกลียดว่าน่าเกลียด. อย่างไรชื่อว่าภิกษุเป็นผู้วางเฉย มีสติสัม-

ปชัญญะ เว้นสิ่งที่น่าเกลียด ไม่น่าเกลียด และสิ่งทั้งสองอย่างนั้น ได้อย่างเด็ดขาด
เป็นอย่างยิ่ง. คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยตาไม่ยินดี ไม่ยินร้าย เป็น
ผู้เฉย ๆ มีสติสัมปชัญญะ ฯลฯ รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ ก็ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
เป็นผู้เฉย ๆ มีสติสัมปชัญญะ อย่างนี้ชื่อว่า เป็นผู้เว้น สิ่งน่าเกลียดไม่น่าเกลียด
และสิ่งทั้งสองอย่างนั้นได้เด็ดขาดอย่างยิ่ง เป็นผู้เฉย ๆ มีสติสัมปชัญญะอยู่.
ก็แหละความเศร้าหมองคือความพอใจ ไม่พอใจทั้งพอใจและไม่พอใจ
ย่อมใช้ได้ในนัยแรก ในบรรดานัยทั้ง 3 เหล่านี้ ความไม่เศร้าหมองก็ย่อมใช้ได้.
ในนัยที่ 2 สังกิเลสย่อมใช้ได้. ในนัยที่ 3 ความเศร้าหมองย่อมใช้ได้. มีคำที่-
ท่านกล่าวไว้อีกว่า ความเศร้าหมองที่หนึ่งย่อมใช้ได้ ความเศร้าหมองและ
ความไม่เศร้าหมองที่สองก็ใช้ได้ ความไม่เศร้าหมองที่สาม เท่านั้นจึงใช้ได้.
คำที่เหลือในที่ทั้งปวงตื้นทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาอินทริยภาวนาสูตรที่ 10
จบวรรคที่ 5
จบอรรถกถาอปุริปัณณาสกสูตรในอรรถกถาปัชฌิมนิกาย ชื่อปปัญจสูทนี
จบทวิปัณณาสกสุตตันตสังคหัฏฐกถา อันประดับด้วย 5 วรรค


ก็แลมัชฌิมนิกายที่เรียกว่า ชื่อว่ามหาวิปัสสนานี้ มีความงามสาม
อย่างคือ ชื่อว่ามีความงามในเบื้องต้น เพราะความที่ทรงเริ่มว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราจะแสดงบรรยายรากเง่าของธรรมทั้งปวงแก่ท่านทั้งหลาย ในท่าม
กลาง ชื่อว่ามีความงามในท่ามกลาง เพราะคำว่า สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ
คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ ชื่อว่างามในที่สุด
เพราะคำว่า พระอริยะ ผู้มีอินทรีย์ที่อบรมแล้ว อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
แล้วนี้ใด มัชฌิมนิกายนั้น เป็นอันจบสมบูรณ์ด้วยอำนาจการขยายความแล้ว.

คำลงท้าย


แล้วก็ด้วยถ้อยคำมีประมาณเท่านี้ ข้าพเจ้า อันพระคุณท่านพุทธมิตร
เถระ. ผู้มีความรู้ดี เคยอยู่ด้วยกันมาที่ท่ามยูรสูตร ขอร้องแล้ว ได้เริ่มทำ
อรรถกถาชื่อปปัญจสูทนี แห่งมัชฌิมนิกายอันประเสริฐ สำหรับกำจัดวาทะของ
ผู้อื่น ก็แลปปัญจสูทนีนั้น ถือเอาสาระจากมหาอรรถกถาจบลงแล้ว.
ก็อรรถกถาชื่อว่า ปปัญจสูทนีนั่น จบลงแล้วด้วยภาณวารทั้งหลาย
แห่งบาลีประมาณ 107. แม้วิสุทธิมรรคอันมีประมาณ 59 อันข้าพเจ้ารจนา
คัมภีร์ไว้ ก็เพื่อประโยชน์แห่งการประกาศเนื้อความ โดยภาณวารทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้น อรรถกถานี้พร้อมทั้งวิสุทธิมรรคนั้น ด้วยนัยแห่งการนับคาถา
พึงรู้ว่ามี 166 คาถา ว่าโดยภาณวารมีประมาณ 166 ภาณวาร ด้วยประการ
ฉะนี้. ข้าพเจ้าถือเอาสาระในมูลอรรถกถา อันประกาศลัทธิแห่งพระเถระผู้อยู่
ในมหาวิหารรจนาอรรถกถานี้ ได้เข้าไปก่อบุญใดไว้ ด้วยบุญนั้น ขอชาวโลก
จงมีสุขทุกเมื่อเถิด.
อรรถกถามัชฌิมนิกาย ชื่อปปัญจสูทนีนี้ อันพระเถระ ผู้ประดับ
ประดาด้วยความเชื่อ ความรู้และความเพียรที่หมดจดอย่างยิ่ง ผู้อันเหตุให้
เกิดขึ้นพร้อมแห่งคุณ มีศีล อาจาระ ความซื่อตรง และความอ่อนโยนเป็นต้น
ให้เกิดขึ้นพร้อมแล้ว ผู้สามารถหยั่งลงในรกชัฏ คือลัทธิของคนและลัทธิของ
ผู้อื่น ผู้ประกอบด้วยความรู้แจ่มแจ้งและความเฉลียวฉลาด ผู้มีประภาพแห่ง
ความรู้ที่ไม่มีอะไรหรือใครมาขัดขวางได้ ในศาสนาของพระศาสดา พร้อมทั้ง
อรรถกถาที่แตกต่างด้วยการเล่าเรียนปิฎกสาม เป็นนักไวยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่
ผู้ประกอบด้วยความเพริดพริ้ง แห่งคำพูดที่เปล่งมาไพเราะหวาน ให้เกิดความสุข