เมนู

อรรถกถาปิณฑปาตปาริสุทธิสูตร


บิณฑปาทปาริสุทธิสูตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
ในบทเหล่านั้น คำว่า จากการหลีกเร้น คือจากผลสมาบัติ. คำว่า
ผ่องใสแล้วนี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจโอภาส. จริงอยู่ภิกษุที่ออกจากผลสมาบัติ
มีโอภาสที่ประสาททั้ง 5 ทั้งอยู่ผ่องใสผิวพรรณก็หมดจด เพราะฉะนั้น ท่าน
จึงกล่าวอย่างนั้น. คำว่า ด้วยสุญญตวิหาร คือด้วยธรรมเครื่องอยู่ คือ
ผลสมาบัติที่มีความว่างเปล่าเป็นอารมณ์. คำว่า มหาปุริสวิหาร ได้แก่
ธรรมเครื่องอยู่ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกผู้ใหญ่ของ
พระตถาคตเจ้าผู้เป็นมหาบุรุษ. ในคำเป็นต้น ว่า เยน จาหํ มคฺเคน ได้แก่
ทางที่เริ่มตั้งแต่วัดไปจนถึงเสาเขื่อนแห่งบ้าน นี้ชื่อว่าทางเข้า. ประเทศที่เข้าไป
ภายในหมู่บ้านเที่ยวไปตามลำดับเรือนจนถึงออกทางประเมือง นี้ชื่อว่าประเทศ
ที่พึงเที่ยวไป. ตั้งแต่นอกเสาเขื่อนมาจนถึงวัด นี้ชื่อว่าทางกลับ. คำว่า
หรือแม้ความกระทบกระทั่งทางใจ ความว่า อะไร ๆ ที่เกิดจากกิเลส
เหตุให้กระทบกระทั่งจิต มีหรือไม่มี. คำว่า ผู้ศึกษาเนื่อง ๆ ทั้งกลางวัน
และกลางคืน
คือผู้ตามศึกษาอยู่ตลอดวันและตลอดคืน.
ในคำเป็นต้นว่า เราละกามคุณ 5 แล้วหรือหนอแล ความว่า
การพิจารณาของภิกษุรูปหนึ่งก็แตกต่างกันไป. การพิจารณาของภิกษุอื่น ๆ
ก็ไม่เหมือนกัน. อย่างไร. จริงอยู่ ภิกษุรูปหนึ่ง กลับมาจากบิณฑบาต
ในปัจฉาภัตเก็บบาตรจีวรมานั่งในโอกาสอันเงียบสงัด แล้วพิจารณาอยู่ว่า เรา
ได้ละกามคุณ 5 แล้วหรือหนอแล. เธอทราบว่ายังละไม่ได้ จึงประคองความเพียร

ถอนราคะที่เกี่ยวกับกามคุณทั้ง 5 ด้วยอนาคามิมรรค ออกจากนั้นแล้วก็พิจารณา
ผลถัดจากมรรค พิจารณามรรคถัดจากผลอยู่ รู้ดีว่า ละได้แล้ว. แม้ในนีวรณ์
เป็นต้น ก็นัยเดียวกันนี้แหละ. แต่การละนีวรณ์เหล่านี้ เป็นต้น ย่อมมีด้วย
อรหัตมรรค. การพิจารณาต่างๆของภิกษุรูปหนึ่ง ย่อมมีด้วยวิธีนี้. สำหรับ
ในการพิจารณาเหล่านี้ ภิกษุรูปอื่นย่อมพิจารณาหลักสำหรับ พิจารณาอย่างหนึ่ง
ภิกษุรูปอื่นก็อีกอย่างหนึ่ง ดังกล่าวมานี้. การพิจารณาต่าง ๆ ของภิกษุต่างรูป
กัน ย่อมมีด้วยประการฉะนี้. คำที่เหลือทุกแห่งตื้นแล.
จบอรรถกถาปิณฑปาตปาริสุทธิสูตร ที่ 9

10. อินทริยภาวหาสูตร



[853] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังคลา
ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ายังที่ประทับ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการทัก
ทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
[854] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามดังนี้ว่า
อุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า
อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ.
พ. อุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด.
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดง
การเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยิน
เสียงด้วยโสต.
พ. อุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของ
ปาราสิริยพราหมณ์ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอด
ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน
คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ.
[855] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า อุตตรมาณพ
ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นิ่ง คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ จึงรับ
สั่งกะท่านพระอานนที่ว่า อานนท์ ปาราสิริยพราหมณ์ ย่อมแสดงการเจริญ