เมนู

[843] สารีบุตร ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เรา
เจริญสติปัฏฐาน 8 แล้วหรือหนอ สารีบุตร ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า
เรายังไม่ได้เจริญสติปัฏฐานเลย ภิกษุนั้นพึงพยายามเจริญสติปัฏฐาน 4
สารีบุตร แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราเจริญสติปัฏฐาน 4 แล้ว
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ศึกษาเนือง ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ในกุศลธรรมทั้งหลาย
อยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นนั่นแล.
[844] สารีบุตร ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เรา
เจริญสัมมัปปธาน 4 แล้วหรือหนอ สารีบุตร ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้
ว่าเรายังไม่ได้เจริญสัมมัปปธาน 4 เลยภิกษุนั้นพึงพยายามเจริญสัมมัปปธาน 4
สารีบุตร แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราเจริญสัมมัปปธาน 4 แล้ว
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ศึกษาเนือง ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ในกุศลธรรมทั้งหลาย
อยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นนั่นแล.
[845] ดูก่อนสารีบุตร ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า
เราเจริญอิทธิบาท 8 แล้วหรือหนอ ดูก่อนสารีบุตร ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่
รู้อย่างนี้ว่า เรายังไม่ได้เจริญอิทธิบาท 4 เลย ภิกษุนั้นพึงพยายามเจริญอิทธิ
บาท 4 ดูก่อนสารีบุตร แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราเจริญอิทธิ-
บาท 4 แล้ว ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ศึกษาเนือง ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ใน
กุศลธรรมทั้งหลาย อยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นนั่นแล.

ว่าด้วยอินทริยปัญหา


[846] ดูก่อนสารีบุตร ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า
เราเจริญอินทรีย์ 5 แล้วหรือหนอแล ดูก่อนสารีบุตร ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่
รู้อย่างนี้ว่าเรายังไม่ได้เจริญอินทรีย์ 5 เลย ภิกษุนั้นพึงพยายามเจริญอินทรีย์ 5

ดูก่อนสารีบุตร แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราเจริญอินทรีย์ 5 แล้ว
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ศึกษาเนือง ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ในกุศลธรรมทั้งหลาย
อยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นนั่นแล.
[847] ดูก่อนสารีบุตร ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า
เราเจริญพละ 5 แล้วหรือหนอ ดูก่อนสารีบุตร ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า
เรายังไม่ได้เจริญพละ 5 เลย ภิกษุนั้นพึงพยายามเจริญพละ 5 ดูก่อนสารีบุตร
แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราเจริญพละ 5 แล้ว ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้
ศึกษาเนือง ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ในกุศลธรรมทั้งหลาย อยู่ด้วยปีติและ
ปราโมทย์นั้นนั่นแล.
[848] ดูก่อนสารีบุตร ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า
เราเจริญโพชฌงค์ 7 แล้วหรือหนอ ดูก่อนสารีบุตร ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่
รู้อย่างนี้ว่า เรายังไม่ได้เจริญโพชฌงค์ 7 เลย ภิกษุนั้นพึงพยายามเจริญ
โพชฌงค์ 7 ดูก่อนสารีบุตร แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราเจริญ
โพชฌงค์ 7 แล้ว ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ศึกษาเนือง ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน
ในกุศลธรรมทั้งหลาย อยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นนั่นแล.
[849] ดูก่อนสารีบุตร ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า
เราเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐแล้วหรือหนอ ดูก่อนสารีบุตร ถ้าภิกษุ
พิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เรายังไม่ได้เจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐเลย
ภิกษุนั้น พึงพยายามเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ ดูก่อนสารีบุตร แต่ถ้า
ภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐแล้ว ภิกษุ
นั้นพึงเป็นผู้ศึกษาเนือง ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ในกุศลธรรมทั้งหลาย
อยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นนั่นแล.
[850] ดูก่อนสารีบุตร ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า
เราเจริญสมถะและวิปัสสนาแล้วหรือหนอ ดูก่อนสารีบุตร ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่

รู้อย่างนี้ว่า เรายังไม่ได้เจริญสมถะและวิปัสสนาเลย ภิกษุนั้นพึงพยายามเจริญ
สมถะและวิปัสสนา ดูก่อนสารีบุตร แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เรา
เจริญสมถะและวิปัสสนาแล้ว ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ศึกษาเนือง ๆ ทั้งกลางวันและ
กลางคืน ในกุศลธรรมทั้งหลาย อยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นนั่นแล.
[851] ดูก่อนสารีบุตร ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า
เราทำวิชชาและวิมุตติให้แจ้งแล้ว หรือหนอแล ดูก่อนสารีบุตร ถ้าภิกษุพิจารณา
อยู่ รู้อย่างนี้ว่า เรายังไม่ได้ทำวิชชาและวิมุตติให้แจ้งเลย ภิกษุนั้นพึงพยายาม
ทำวิชชาและวิมุตติให้แจ้ง ดูก่อนสารีบุตร แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า
เราทำวิชชาและวิมุตติให้แจ้งแล้ว ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ศึกษาเนือง ๆ ทั้งกลางวัน
และกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลาย อยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นนั่นแล.
[852] ดูก่อนสารีบุตร ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ผู้ทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ แล้วในอดีตกาล ทั้งหมดนั้น พิจารณาแล้ว ๆ อย่างนี้
เทียว จึงทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ผู้จักทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ในอนาคตกาล ทั้งหมดนั้น ต้องพิจารณาแล้ว ๆ
อย่างนี้เทียว จึงจักทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่า
ใดเหล่าหนึ่ง ผู้กำลังทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์อยู่ในบัดนี้ ทั้งหมดนั้น ย่อม
พิจารณาแล้ว ๆ อย่างนี้เทียว จึงทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ได้ เพราะฉะนั้นแล
พวกเธอพึงสำเหนียกว่า จักพิจารณาแล้ว ๆ ทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ ดูก่อน
สารีบุตร พวกเธอพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงชื่นชม
ยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล.
จบ ปิณฑปาตปาริสุทธิสูตร ที่ 9

อรรถกถาปิณฑปาตปาริสุทธิสูตร


บิณฑปาทปาริสุทธิสูตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
ในบทเหล่านั้น คำว่า จากการหลีกเร้น คือจากผลสมาบัติ. คำว่า
ผ่องใสแล้วนี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจโอภาส. จริงอยู่ภิกษุที่ออกจากผลสมาบัติ
มีโอภาสที่ประสาททั้ง 5 ทั้งอยู่ผ่องใสผิวพรรณก็หมดจด เพราะฉะนั้น ท่าน
จึงกล่าวอย่างนั้น. คำว่า ด้วยสุญญตวิหาร คือด้วยธรรมเครื่องอยู่ คือ
ผลสมาบัติที่มีความว่างเปล่าเป็นอารมณ์. คำว่า มหาปุริสวิหาร ได้แก่
ธรรมเครื่องอยู่ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกผู้ใหญ่ของ
พระตถาคตเจ้าผู้เป็นมหาบุรุษ. ในคำเป็นต้น ว่า เยน จาหํ มคฺเคน ได้แก่
ทางที่เริ่มตั้งแต่วัดไปจนถึงเสาเขื่อนแห่งบ้าน นี้ชื่อว่าทางเข้า. ประเทศที่เข้าไป
ภายในหมู่บ้านเที่ยวไปตามลำดับเรือนจนถึงออกทางประเมือง นี้ชื่อว่าประเทศ
ที่พึงเที่ยวไป. ตั้งแต่นอกเสาเขื่อนมาจนถึงวัด นี้ชื่อว่าทางกลับ. คำว่า
หรือแม้ความกระทบกระทั่งทางใจ ความว่า อะไร ๆ ที่เกิดจากกิเลส
เหตุให้กระทบกระทั่งจิต มีหรือไม่มี. คำว่า ผู้ศึกษาเนื่อง ๆ ทั้งกลางวัน
และกลางคืน
คือผู้ตามศึกษาอยู่ตลอดวันและตลอดคืน.
ในคำเป็นต้นว่า เราละกามคุณ 5 แล้วหรือหนอแล ความว่า
การพิจารณาของภิกษุรูปหนึ่งก็แตกต่างกันไป. การพิจารณาของภิกษุอื่น ๆ
ก็ไม่เหมือนกัน. อย่างไร. จริงอยู่ ภิกษุรูปหนึ่ง กลับมาจากบิณฑบาต
ในปัจฉาภัตเก็บบาตรจีวรมานั่งในโอกาสอันเงียบสงัด แล้วพิจารณาอยู่ว่า เรา
ได้ละกามคุณ 5 แล้วหรือหนอแล. เธอทราบว่ายังละไม่ได้ จึงประคองความเพียร