เมนู

อรรถกถาปุณโณวาทสูตร



ปุณโณวาทสูตร ขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
ในพระสูตรนั้น ความอยู่ผู้เดียว ชื่อว่า การหลีกเร้น. คำว่า ถ้า
หากว่า นั้น
ได้แก่ ตาและรูปนั้น. คำว่า เพราะความเพลินเกิด ทุกข์
จึงเกิดขึ้น
คือการรวมเอาทุกข์ในขันธ์ 5 ย่อมมีด้วยการรวมเอาความเพลิน
อันได้แก่ตัณหามาอยู่ด้วยกัน. ด้วยประการฉะนี้ ก็เป็นอันทรงทำให้วัฏฏะถึง
ที่สุดด้วยอำนาจแห่งสัจจะทั้ง 2 คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ในทวารทั้ง 6
แล้วจึงทรงแสดง. ในนัยที่ 2 ทรงทำวิวัฏฏะ ให้ถึงที่สุดด้วยอำนาจสัจจะ 2
ข้อคือ นิโรธ มรรค แล้วจึงทรงแสดง. อนุสนธิที่แยกไว้โดยเฉพาะ. คือคำว่า
และด้วยอาการอย่างนี้ ปุณณะเธอ. ครั้นทรงใส่เทศนาด้วยอำนาจวัฏฏะ
และวิวัฏฏะในพระอรหัตอย่างนี้ก่อนแล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงให้ท่าน
ปุณณเถระเปล่งสีหนาทในฐานทั้ง 7 จึงได้ตรัสคำว่า และด้วยอาการอย่าง
นี้ เธอ ดังนี้เป็นต้น. คำว่า ดุ คือดุร้าย ร้ายกาจ. คำว่า หยาบคาย
คือหยาบช้า. คำว่า ย่อมด่า คือย่อมด่าด้วยเรื่องสำหรับด่า 10 อย่าง. คำว่า
ย่อมตะคอก คือย่อมขู่ตะคอกว่า แกนี่เป็นสมณะได้อย่างไร ข้าจะเล่นงาน
แกอย่างนี้และอย่างนี้. คำว่า อย่างนี้ในกรณีนี้ คือสิ่งอย่างนี้ ในกรณีนี้
จะมีแก่ข้าพระพุทธเจ้า. คำว่า ด้วยกระบอง คือด้วยกระบองยาว 4 ศอก
หรือด้วยท่อนไม้และไม้ค้อน. คำว่า ด้วยศัสตรา คือด้วยอาวุธที่มีคมข้างเดียว
เป็นต้น. คำว่า แสวงหาเครื่องประหารคือศัสตรา คือ แสวงหาศัสตรา
เครื่องคร่าชีวิต. ข้อนี้พระเถระกล่าวหมายถึงพวกภิกษุที่ฟังเรื่องไม่งามในวัตถุ
แห่งปาราชิกข้อที่ 3 เกิดความสะอิดสะเอียนร่างกาย แล้วแสวงหาเครื่องคร่า

ชีวิตคือศัสตรา. คำว่า ข่มใจ ในคำว่า ด้วยความข่มใจและความเข้า
ไปสงบ
นี้ เป็นชื่อแห่งการสำรวมอินทรีย์เป็นต้น. จริงอยู่ ความสำรวม
อินทรีย์ในคำว่า ข่มแล้วด้วยสัจจะเข้าถึงการข่มใจ ถึงที่สุดพระเวท
อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
นี้ ท่านกล่าวว่าเป็นความข่มใจ. ปัญญาในคำว่า
หากยังมีอะไรที่ยิ่งกว่า สัจจะ ทมะ จาคะ ขันติในกรณีนี้ นี้ ท่าน
กล่าวว่าเป็นความข่มใจ. อุโบสถกรรมในคำว่า ด้วยทาน ด้วยทมะ ด้วย
สัญญมะ ด้วยการกล่าวคำจริง นี้ ท่านกล่าวว่า เป็นความข่มใจ แต่
ในพระสูตรนี้ พึงทราบว่า ความอดทน คือความข่มใจ. คำว่า ความเข้า-
ไประงับ
เป็นคำใช้แทน คำว่า ความข่มใจ นั้นเอง.
คำว่า ครั้งนั้นแล ท่านปุณณะ ความว่า อยากทราบว่าก็ท่านปุณณะ
นี้เป็นใคร และทำไมจึงอยากไปในที่นั้น. ท่านรูปนี้ ก็คือชาวเมืองสุนาปรันตะ
นั่นแหละ. ก็ท่านกำหนดว่า ในกรุงสาวัตถี อยู่ไม่สบาย จึงอยากจะไปเมือง
สุนาปรันตะนั้น . ต่อไปนี้ เป็นลำดับถ้อยคำในเรื่องนั้น.
เล่ามาว่า ในแคว้นสุนาปรันตะ มีสองพี่น้องในหมู่บ้านพ่อค้าแห่งหนึ่ง
ในสองพี่น้องนั้น บางทีพี่ชายก็นำเกวียน 500 เล่ม ไปชนบทแล้วก็บรรทุก
สินค้ามา. บางทีก็น้องชาย. ส่วนในอันนี้ พี่ชายให้น้องชายอยู่เฝ้าบ้าน
แล้วตัวเองก็นำเอาเกวียน 500 เล่ม เที่ยวไปตามหัวเมือง มาถึงกรุงสาวัตถี
โดยลำดับ พักกองเกวียนอยู่ใกล้ ๆ พระเชตวัน กินอาหารมื้อเช้าแล้ว อันผู้
ติดตามล้อมแล้วนั่งพักผ่อนตามสบาย.
ก็แลสมัยนั้น ชาวกรุงสาวัตถี กินอาหารมื้อเช้าแล้ว อธิษฐานองค์
อุโปสถสวมเสื้อสะอาด ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น โน้มน้อมโอนเงื้อมไป
ยังที่ซึ่งมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ แล้วพากันออกไปทาง
ประตูทิศใต้ไปสู่พระเชตวัน. เมื่อเขาเห็นคนเหล่านั้น จึงถามชายคนหนึ่งว่า

พวกนี้ไปไหนกัน. นี่นาย คุณไม่รู้อะไรเลยหรือ แก้วคือพระพุทธะ พระธรรม
พระสงฆ์ เกิดขึ้นแล้วในโลก เพราะเหตุนี้ มหาชนนี้ จึงพากันไปฟังธรรม.
กถาในสำนักของพระศาสดา. คำว่า พุทธะ ของชายคนนั้น ทำลายผิวหนัง
เป็นต้น เข้าไปจรดเยื่อกระดูก ตั้งอยู่. ต่อมา เขามีบริวารของตนแวดล้อม
ได้ไปสู่วิหารกับบริษัทนั้น ยืนอยู่ท้ายสุดของบริษัทฟังธรรมของพระศาสดาที่
กำลังแสดงธรรมอยู่ด้วยพระสูตรเสียงที่ไพเราะ แล้วเกิดความคิดอยากจะบวช
ขึ้นมา. เมื่อบริษัทที่พระตถาคตเจ้าทรงทราบเวลาแล้วส่งไปแล้ว ก็เข้าเฝ้า
พระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทูลอาราธนาเสวยพระกระยาหารในวันพรุ่ง ในวัน
ที่สองให้สร้างปะรำ แต่งตั้งอาสนะ ถวายมหาทานแต่พระสงฆ์มีองค์พระพุทธ-
เจ้าเป็นพระประมุขในที่สุดภัตกิจ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาเสด็จกลับ
รับประทานอาหารเช้าแล้วอธิฐานองค์อุโบสถ แล้วให้เรียกเจ้าหน้าที่คุมของมา
บอกทุกสิ่งทุกอย่างว่า ของเท่านี้ได้จำหน่ายไปแล้ว ได้มอบหมายทุกสิ่งทุกอย่าง
ว่า จงให้สมบัตินี้แก่น้องชายฉัน แล้วก็บวชในสำนักพระศาสดา ตั้งหน้าตั้งตา
ทำกัมมัฏฐาน. ครั้งนั้น เมื่อท่านเอาใจใส่ทำกัมมัฏฐานอยู่กัมมัฏฐานก็ไม่ปรากฏ
ต่อมาท่านจึงคิดว่า ชนบทนี้ไม่สะดวกแก่เรา อย่างไรเสี่ย เราต้องรับกัมมัฏฐาน
ในสำนักพระศาสดาแล้วไปสู่ถิ่นเดิมของเรา จึงเมื่อท่านเที่ยวบิณฑบาตใน
ตอนเช้าแล้วออกจากการหลีกเร้นในตอนบ่ายแล้ว ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ขอให้ทรงบอกกัมมัฏฐาน ได้เปล่งสีหนาท 7 อย่างแล้วจึงหลีกไป. เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล ท่านพระปุณณะ ฯลฯ อยู่ ดังนี้.
ก็ท่านปุณณะนี้ อยู่ที่ไหน. ท่านอยู่ในที่ แห่ง. ตอนแรกท่านเข้าสู่
แคว้นสุนาปรันตะแล้วเข้าไปสู่อัมพหัฏฐบรรพ เข้าสู่หมู่บ้านพ่อค้าเพื่อ
บิณฑบาต ทีนั้นน้องชายจำท่านได้ จึงถวายอาหาร แล้วเรียนท่านว่า ท่าน

ครับ ท่านไม่ต้องไปที่อื่น นิมนต์อยู่ที่นี้แหละ ให้ท่านรับคำแล้วก็นิมนต์ให้
อยู่ในที่นั้นนั่นแหละ.
ต่อจากนั้น ท่านได้ไปสู่วัดสมุทรคิรี. ในที่นั้นมีที่สำหรับ เดินจงกรม
ที่เขาตัดเอาแผ่นหินที่เสียบเหล็กไว้ตรงปลายมาทำ. ไม่มีใครเดินเหยียบแผ่นหิน
นั้นได้. ในที่นั้น คลื่นทะเลซัดมากระทบแผ่นหินที่เสียบเหล็กตรงปลายเกิด
เสียงดังมาก. พระเถระคิดว่าจงเป็นที่อยู่สำราญสำหรับผู้เอาใจใส่ทำกัมมัฏฐาน
เถิด แล้วก็อธิษฐานทำให้ทะเลสงบเสียง.
ต่อจากนั้นท่านได้ไปยังมาตุลคิรี. ในที่นั้นมีพวกนกชุกชุม เสียงอึกทึก
ทั้งคืนทั้งวัน. พระเถระคิดว่า ที่นี้ไม่สำราญ ต่อจากนั้นก็ไปวัดมกุฬการาม.
วัดนั้นอยู่ไม่ไกล ไม่ใกล้หมู่บ้านพ่อค้ามากนัก ไปมาสะดวกเงียบ ไม่มีเสียง.
พระเถระคิดว่า ที่นี้สำราญ จึงให้สร้างที่พักกลางคืนและกลางวันพร้อมกับที่
จงกรม เป็นต้นแล้ว ก็เข้าจำพรรษาในที่นั้น. ท่านอยู่ในที่แห่ง ดังกล่าวมานี้.
ต่อมาอีกวันหนึ่ง ภายในพรรษานั่งเอง มีพ่อค้า 500 คน ตั้งใจ
ว่า พวกเราจะไปทะเลอื่น จึงเอาสินค้าบรรทุกลงเรือ ในวันลงเรือ น้องชาย
ของพระเถระเลี้ยงพระเถระแล้วรับสิกขาบทในสำนักพระเถระไหว้เสร็จแล้ว เมื่อ
จะไปได้เรียนท่านว่า ท่านขอรับ ขึ้นชื่อว่าทะเลหลวงมีอันตรายมากมายเหลือ
จะประมาณได้ ขอให้ท่านช่วยสอดส่องพวกกระผมด้วย แล้วก็ลงเรือ. เรือก็
แล่นไปด้วยความเร็วสูงจนถึงเกาะหนึ่ง. พวกคนคิดว่า พวกเราจะกินอาหารเช้า
แล้วก็พากัน ขึ้นเกาะ. บนเกาะนั้นอะไร ๆ อย่างอื่น หามีไม่ มีแต่ป่าจันทน์ทั้ง
นั้น. ตอนนั้น คนหนึ่งเอามีดฟันต้นไม้ ก็รู้ว่าเป็นจันทน์แดง จึงกล่าวว่านี่
แน่ะ. พวกเราไปสู่ทะเลอื่นเพื่อประโยชน์แก่ลาภ ขึ้นชื่อว่าลาภที่ยิ่งกว่านี้ไม่มี
อีกแล้ว ไม้ท่อนขนาดยาว 4 นิ้ว ก็ราคาตั้งแสนแล้ว เราเอาแต่ของที่ควรแก่
ของที่จะต้องเอาไปแล้ว ก็เอาไม้จันทน์บรรทุกให้เต็ม. พวกเขาก็กระทำอย่างนั้น.

พวกอมนุษย์ที่สิ่งในป่าจันทน์โกรธ พากันคิดว่า คนพวกนี้มัน ทำป่า
จันทน์ของพวกเราให้ฉิบหายแล้ว พวกเราจะฆ่าพวกมัน แล้วพูดว่า เมื่อพวก
มันถูกฆ่าในที่นี้ ป่าทั้งหมดก็จะกลายเป็นซากศพไปหนึ่งป่าที่เทียว พวกเราจะ
ให้เรือมันจมกลางทะเล. แล้วต่อมาในเวลาที่คนพวกนั้นขึ้นเรือแล้วแล่นไปได้ครู่
เดียวเท่านั้น ก็ทำให้เกิดพายุลมอย่างแรง แล้วพวกอมนุษย์เหล่านั้นเองก็พากัน
แสดงรูปที่น่ากลัวต่าง ๆ นานา. พวกคนก็กลัวพากัน ไหว้เทพเจ้าของตน ๆ.
จูฬปุณณกุฎุมพี น้องชายพระเถระคิดว่า ขอให้พี่ชายของข้าจงเป็นที่พึ่งด้วย
เถิดแล้วก็ยืนระลึกถึงพระเถระอยู่.
ได้ยินว่า ในขณะนั่งเอง พระเถระพิจารณาดูก็ได้ทราบว่าพวกเขา
กำลังตกอยู่ในความฉิบหาย จึงเหาะขึ้นสู่ฟ้ามายืนอยู่ตรงหน้า. พวกอมนุษย์
เห็นพระเถระพูดว่า พระคุณเจ้า ปุณณเถระมา แล้วพากันหลีกไป. พายุร้าย
ก็สงบทันที. พระเถระปลอบคนเหล่านั้นว่า ไม่ต้องกลัว แล้วถามว่า อยากจะไป
ไหนกัน . พวกกระผมจะไปที่เดิมของตัวเองนั่นแหละครับท่าน. พระเถระเหยียบ
แผ่นเรือแล้วอธิษฐานว่า จงไปสู่ที่ที่คนพวกนี้ต้องการ. พวกพ่อค้าเมื่อไปถึงที่
ของตนแล้ว ก็เล่าเรื่องนั้นให้ลูกเมียฟังแล้วชวนว่า มาเถิด พวกเราจงถึงพระ
เถระเป็นที่พึ่งเถิด จึงทั้ง 500 คน พร้อมกับพวกแม่บ้านของตนอีก 500 คน
ตั้งอยู่ในสรณะสาม ประกาศตัวเป็นอุบาสก. ต่อจากนั้นก็ให้ขนสินค้าลงจากเรือ
แบ่งถวายพระเถระส่วนหนึ่งเรียนท่านว่าท่านครับ นี้เป็นส่วนของพระคุณท่าน.
พระเถระตอบว่า อาตมาไม่มีกิจด้วยส่วนหนึ่งต่างหากหรือก็ แต่พวกคุณเคย
เห็นพระศาสดาแล้วหรือ. ยังไม่เคยเห็นเลยท่าน. ถ้าอย่างนั้น ขอให้พวกคุณเอา
ส่วนนี้ไปสร้างโรงปะรำถวายพระศาสดา แล้วพวกคุณจะได้เห็นพระศาสดาด้วย
อาการอย่างนี้. พวกนั้นก็รับว่าดีแล้วท่าน แล้วก็เริ่มสร้างโรงปะรำด้วยส่วนนั้น
และด้วยส่วนของตนอีกมาก.

เล่ากันว่า แม้พระศาสดา ก็ได้ทรงกระทำการบริโภคตั้งแต่เวลาเริ่ม
งาน. พวกคนยามได้เห็นแสงในเวลากลางคืนเข้าใจกันว่า มีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
พวกอุบาสกช่วยกันสร้างโรงปะรำและเสนาสนะสำหรับพระภิกษุสงฆ์จนสำเร็จ
แล้วเตรียมเครื่องทาน แล้วกราบเรียนพระเถระว่า พระคุณเจ้า พวกกระผม
ได้ทำกิจเสร็จแล้ว ขอให้พระคุณเจ้าโปรดทูลพระศาสดามาเถิด. ตอนบ่าย
พระเถระไปถึงกรุงสาวัตถีด้วยฤทธิ์ แล้วกราบทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ชาวหมู่บ้านพ่อค้าอยากเฝ้าพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์ได้โปรดกระทำ
อนุเคราะห์แก่พวกเขาเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้ว พระเถระทราบว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับ แล้วก็กลับไปยังถีนของตนตามเดิม.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตรัสเรียกพระอานนทเถระมาสั่งว่า อานนท์
พรุ่งนี้พวกเราจะเที่ยวบิณฑบาตที่หมู่บ้านพ่อค้าในแคว้นสุนาปรันตะ เธอจง
ให้สลากแก่ภิกษุ 499 รูป. พระเถระสนองพระพุทธบัญชาว่า ดีแล้ว พระ-
เจ้าข้า บอกเรื่องนั้นแก่ภิกษุสงฆ์ แล้วพูดว่า ขอให้พวกภิกษุที่เที่ยวไปบิณฑบาต
จงอย่าจับสลาก. ในวันนั้น ท่านกุณฑธานเถระ. ได้จับสลากแรก. ฝ่ายชาวหมู่
บ้านพ่อค้าทราบว่า นัยว่าพรุ่งนี้ พระศาสดาจะเสด็จมาถึง จึงสร้างปะรำกลาง
บ้าน ตระเตรียมของถวายทานชั้นเลิศ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำการ
ปฏิบัติพระสรีระตั้งแต่เช้าเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ประทับนั่งเข้าผลสมาบัติ.
ปัณฑุกัมพลสิลาสนะของท้าวสักกะเกิดร้อนขึ้นมา. ท้าวสักกะนั้นทรงพิจารณา
ว่า อะไรนี้ ทรงเห็นว่าพระศาสดาจะเสด็จไปแคว้น สุนาปรันตะ จึงรับสั่งเรียก
พระวิศวกรรมมาสั่งว่า พ่อ วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จเที่ยวบิณฑบาต
ระยะทางไกลประมาณสามร้อยโยชน์1 พ่อจงเนรมิตเรือนยอดไว้ 500 หลัง
ทำการเตรียมระยะทางเสด็จที่ท้ายสุดซุ้มประตูพระเชตวัน ตั้งไว้ให้พร้อมพระ-
1. กมฺพุช. สามพันโยชน์

วิศวกรรมนั้นได้การทำอย่างนั้นแล้ว. เรือนยอดสำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้ามี
4 มุข. ของสองพระอัศรสาวก มี 2 มุข. ที่เหลือมีมุขเดียว. พระศาสดา
เสด็จออกจากพระคันธกุฎี ทรงเข้าสู่เรือนยอดอันประเสริฐในหมู่เรือนยอดที่ทั้ง
ไว้ตามลำดับ. เหล่าภิกษุ 499 รูปเริ่มแต่พระอัครสาวกทั้งสองต่างก็ไปสู่เรือน
ยอด 499 หลัง. มีเรือนยอดว่างอยู่หลังหนึ่ง. เรือนยอดทั้ง 500 หลัง
ลอยไปในอากาศ.
พระศาสดา เสด็จถึงภูเขาชื่อ สัจจพันธ์ แล้วทรงหยุดเรือนยอดไว้ใน
อากาศ. ที่ภูเขานั้น มีดาบสมิจฉาทิฐิ ชื่อว่า สัจจพันธ์ ทำให้มหาชนถือเอา
ความเห็นผิดเป็นผู้ถึงลาภเลิศและยศเลิศอยู่. ก็ภายในตัวดาบสนั้นมีอุปนิสัยแห่ง
พระอรหัต โชติช่วงอยู่เหมือนประทีปที่อยู่ในตุ่ม. ครั้นทรงเห็นดาบสนั้นแล้ว
ทรงพระดำริว่า เราจะแสดงธรรมแก่เขา จึงเสด็จไปทรงแสดงธรรม. เมื่อทรง
เทศน์จบ ดาบสก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์. อภิญญาของท่านก็มากับมรรคนั่น
เอง. ท่านเป็นเอหิภิกษุ ทรงบาตรจีวรที่สำเร็จเพราะฤทธิ์แล้วเข้าสู่เรือนยอด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปถึงหมู่บ้านพ่อค้าพร้อมกับภิกษุ 500 รูป
ที่อยู่ในเรือนยอด ทรงทำให้ใครๆ มองไม่เห็นเรือนยอดแล้วเสด็จไปสู่หมู่บ้าน
พ่อค้า. พวกพ่อค้าได้ถวายทานใหญ่แก่หมู่ภิกษุซึ่งมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุข
แล้วทูลอาราธนาพระศาสดาเสด็จไปยังมกุฬการาม. พระศาสดาทรงเข้าสู่โรง
ปะรำ. มหาชนรอเวลาจนพระศาสดาดับความกระวนกระวายเกี่ยวกับพระอาหาร
ให้สงบต่างรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้วสมาทานองค์อุโบสถถือของหอม.
และดอกไม้เป็นอันมากกลับมาวัดเพื่อต้องการฟังธรรม. พระศาสดาทรงแสดง
ธรรม. การหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องผูกเกิดแก่มหาชนแล้ว. ความโกลาหล
เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ขนานใหญ่ได้มีแล้ว.
เพื่อสงเคราะห์มหาชน พระศาสดา ประทับ 2 - 3 วัน ในที่นั้นเอง.
และก็ทรงยังอรุณให้ตั้งขึ้นในพระมหาคันธกุฎีนั่นแหละ. เมื่อประทับในที่นั้น

2 - 3 วันแล้ว ก็เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้านพ่อค้าแล้วตรัสสั่งให้พระปุณณะ
เถระกลับว่าเธอจงอยู่ในที่นี้แหละ ในระหว่างทางมีแม่น้ำชื่อ นิมมทา ได้เสด็จ
ไปถึงฝั่งของแม่น้ำนั้น. นิมมทานาคราชถวายการต้อนรับ พระศาสดาทูลเสด็จ
เข้าสู่ภพนาคได้กระทำสักการะพระรัตนตรัยแล้ว. พระศาสดาทรงแสดงธรรม
แก่นาคราชนั้นแล้ว ก็เสด็จออกจากภพนาค. นาคราชนั้นกราบทูลขอว่าได้โปรด
ประทานสิ่งที่พึงบำเรอแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาค.
เจ้า จึงทรงแสดงบทเจดีย์ รอยพระบาท ไว้ที่ฝั่งแม่น้ำนิมมทา รอยพระบาท
นั้น เมื่อคลื่นซัดมาก็ถูกปิด เมื่อคลื่นเลยไปแล้วก็ถูกเปิด. กลายเป็นรอย
พระบาทที่ถึงสักการะอย่างใหญ่. เมื่อพระศาสดาทรงออกจากนั้นแล้วก็เสด็จถึง
ภูเขาสัจจพันธ์ ตรัสกับพระสัจจพันธ์ว่า มหาชนถูกเธอทำให้จมลงในทาง
อบาย เธอต้องอยู่ในที่นี้แหละ แก้ลัทธิของพวกคนเหล่านี้เสีย แล้วให้พวกเขา
ดำรงอยู่ในทางพระนิพพาน. แม้ท่านพระสัจจพันธ์นั้น ก็ทูลชื่อสิ่งที่จะต้องบำรุง.
พระศาสดาก็ทรงแสดงรอยพระบาทไว้บนหลังแผ่นหินทึบเหมือนประทับตรา
ไว้บนก้อนดินเหนียวสด ๆ ฉะนั้น. ต่อจากนั้นก็เสด็จไปถึงพระเชตวันที่
เดียว. ท่านหมายเอาข้อความนี้ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ด้วยภายในพรรษานั้นเอง
ดังนี้.
คำว่า ปรินิพพานแล้ว คือปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน-
ธาตุ. มหาชน ทำการบูชาสรีระของพระเถระตลอด 7 วัน แล้วเอาไม้หอม
เป็นอันมากมากองเผาสรีระ เก็บธาตุ (กระดูก) แล้วสร้างเจดีย์ บรรจุ คำ
ว่า ภิกษุมากหลาย คือพวกภิกษุที่อยู่ในที่ฌาปนกิจศพของพระเถระ คำที่
เหลือในที่ทุกแห่งล้วนแต่ตื้น ๆ ทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาปุณโณวาทสูตรที่ 3

4. นันทโกวาทสูตร



[766] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พระมหาปชาบดี
โคตมี พร้อมด้วยภิกษุณีประมาณ 500 รูป เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายัง
ที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พอยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงโอวาทสั่งสอนพวกภิกษุณี จงตรัสสั่ง
แสดงธรรมแก่พวกภิกษุณีเถิด.
[767] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุผู้เถระทั้งหลาย ย่อมโอวาทพวกภิกษุณี
โดยเป็นเวรกัน แต่ท่านพระนันทกะ ไม่ปรารถนาจะโอวาทพวกภิกษุณีโดย
เป็นเวรกัน ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์ วันนี้ เวรโอวาทภิกษุณีโดยเป็นเวรกัน ของใครหนอแล.
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุทั้งปวงทำ
เวรโอวาทภิกษุณีโดยเป็นเวรกัน หมดแล้ว แต่ท่านพระนันทกะรูปนี้ ไม่
ปรารถนาจะโอวาทพวกภิกษุณีโดยเป็นเวรกัน ต่อนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
กะท่านพระนันทกะว่า ดูก่อนนันทกะ เธอจงโอวาทสั่งสอนพวกภิกษุณี ดูก่อน
พราหมณ์ เธอจงกล่าวแสดงธรรมกถาแก่พวกภิกษุณีเถิด ท่านพระนันทกะ
ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แล้วนุ่งสบงทรงบาตร
จีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถีในเวลาเช้า ครั้นกลับจากบิณฑบาต
ภายหลังเวลาอาหารแล้ว เข้าไปยังวิหารราชการามแต่รูปเดียว ภิกษุณีเหล่านั้น