เมนู

ประสูติจากพระอุธรของพระมารดา



[373] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะ
พระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ในกาลใด พระโพธิสัตว์
ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา ในกาลนั้น พวกเทวดาจะรับก่อน พวก
มนุษย์จะรับทีหลัง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า
เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
[374] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะ
พระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ในกาลใด พระโพธิสัตว์
ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ยังไม่ทันถึง
แผ่นดิน เทวบุตรทั้ง 4 ก็รับ แล้ววางลงตรงพระพักตร์พระมารดาให้ทรงหมาย
รู้ว่า ขอพระเทวีจงมีพระทัยยินดีเถิด พระโอรสของพระองค์ผู้มีศักดิ์มากเสด็จ
อุปบัติแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็น
ธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
[375] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะ
พระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ในกาลใด พระโพธิสัตว์
ประสูติจากพระอุทรของพระมารคา ในกาลนั้น พระองค์ย่อมประสูติอย่าง
บริสุทธิ์แท้ คือ ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำ ด้วยเสมหะ ด้วยเลือด ด้วยน้ำเหลือง
ด้วยของไม่สะอาดไร ๆ นับว่าหมดจดบริสุทธิ์ เปรียบเหมือนแก้วมณีที่เขา
วางลงบนผ้ากาสิกพัสตร์ ย่อมไม่เปื้อนผ้ากาสิกพัสตร์ แม้ผ้ากาสิกพัสตร์ก็ไม่
เปื้อนแก้วมณี นั้น เพราะเหตุไร เพราะของทั้งสองอย่างบริสุทธิ์ ฉันใด
ดูก่อนอานนท์ ฉันนั้น เหมือนกันแล ในกาลใด พระโพธิสัตว์ประสูติจาก
พระอุทรของพระมารดา ในกาลนั้น พระองค์ย่อมประสูติอย่างบริสุทธิ์แท้
คือ ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำ ด้วยเสมหะ ด้วยเลือด ด้วยน้ำเหลือง ด้วยของ

ไม่สะอาดไร ๆ นับว่าหมดจดบริสุทธิ์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้
ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ ของพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า.
[376] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับเฉพาะ
พระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ในกาลใด พระโพธิสัตว์
ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา ในกาลนั้น ธารน้ำ 2 สายย่อมปรากฏ
จากอากาศ สายหนึ่งเป็นธารน้ำเย็น สายหนึ่งเป็นธารน้ำอุ่น เป็นเครื่องทำการ
สนานพระโพธิสัตว์และพระมารดา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์
ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
[377] ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะ
พระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์ในบัดดล
ที่ประสูติ ก็ประทับพระยุคลบาทอันเสมอบนแผ่นดิน และบ่ายพระพักตร์สู่ทิศ
อุดร เสด็จดำเนินไปด้วยย่างพระบาท 7 ก้าว เมื่อเทพบุตรกั้นเศวตฉัตรตามไป
พระองค์จะทรงเหลียวดูทิศทั้งปวง และทรงเปล่งพระวาจาอย่างผู้องอาจว่า
เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐ.
สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้ ความเกิดใหม่ย่อมไม่มี.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่าเป็นธรรมไม่น่าเป็น
ไปได้ น่าอัศจรรย์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
[378] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะ
พระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ในกาลใด พระโพธิสัตว์
ประสูติจากพระอุทรของพระมารดา ในกาลนั้น แสงสว่างอย่างโอฬารหาประ-
มาณมิได้ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา ย่อมปรากฏในโลก พร้อมทั้ง
เทวดา มาร พรหม และในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะและพราหมณ์ พร้อมทั้ง
เทวดาและมนุษย์ แม้ในโลกกันตริกนรกมีแต่ทุกข์ ซึ่งไม่ใช่ที่เปิดเผย มีแต่

ความมืดมิด ซึ่งดวงจันทร์ควงอาทิตย์มีอิทธานุภาพมากอย่างนี้ ส่องแสงไป
ไม่ถึง ก็ยังปรากฏแสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพ
ของเหล่าเทวดา ด้วยแสงสว่างนั้น แม้หมู่สัตว์ผู้อุปบัติในนรกนั้น ก็รู้กันว่า
แม้สัตว์เหล่าอื่นก็มีเกิดในที่นี้ อนึ่ง หมื่นโลกธาตุนี้ย่อมสะเทือน สะท้าน
หวั่นไหว และแสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพ
ของเหล่าเทวดา ย่อมปรากฏในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์
ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
[379] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เพราะฉะนั้นแล
เธอจงทรงจำธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ ของตถาคต แม้นี้ไว้เถิด
ดูก่อนอานนท์ ในเรื่องนี้ เวทนาของตถาคต ปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่
ปรากฏถึงความดับไป สัญญาของตถาคตปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่. ปรากฏ
ถึงความดับไป วิตกของตถาคต ปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่ ปรากฏถึงความ
ดับไป ดูก่อนอานนท์ แม้ข้อนี้แล เธอก็จงทรงจำไว้เถิดว่า เป็นธรรมไม่น่า
เป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ ของตถาคต.
ท่านพระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อที่เวทนาของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป
สัญญาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่ ปรากฏถึงความ
ดับไป วิตกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่ ปรากฏถึง
ความดับไป นี้ ข้าพระองค์ก็จะทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้
น่าอัศจรรย์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ท่านพระอานนท์กล่าวคำนี้จบแล้ว พระศาสดาได้ทรงโปรดปราน
ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระอานนท์แล.
จบ อัจฉริยัพภูตธัมมสูตร ที่ 3

อรรถกถาอัจฉริยัพภูตสูตร



อัจฉริยัพภูตสูตร* มีบทเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยตฺร หิ นาม เป็นนิบาตลงในอรรถว่า
อัศจรรย์ อธิบายว่า พระตถาคตพระองค์ใด. ที่ชื่อว่า ปปัญจธรรม ในบทว่า
ฉินฺนปปญฺเจ นี้ ได้เเก่ กิเลส 3 อย่าง คือ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ.
กัมมวัฏที่เป็นกุศลและอกุศล ท่านเรียกว่า วัฏฏุมะ ในบทว่า ฉนฺนวฏฺฏุเม นี้.
บทว่า ปริยาทินฺนวฏฺเฏ เป็นไวพจน์ของ บทว่า ฉินฺนวฏฺฏุเม นั้นแหละ.
บทว่า สพฺพทุกฺขวีสติวฏฺเฏ ความว่า ล่วงทุกข์ กล่าวคือ วิปากวัฏทั้งปวง.
บทว่า อนุสฺสริสฺสติ นี้ เป็นคำกล่าวถึงอนาคตกาล โดยใช้นิบาตว่า ยตฺร.
แต่ในบทนี้ พึงทราบความว่า ท่านใช้หมายถึงอดีต. แท้จริงพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงระลึกถึงพระพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้ว มิใช่จักระลึกถึงในบัดนี้. บทว่า เอวฺ
ชจฺจา
ความว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระวิปัสสีเป็นต้น มีพระชาติเป็น
กษัตริย์ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระกกุสันธะเป็นต้น มีพระชาติเป็นพราหมณ์.
บทว่า เอวํโคตฺตา ความว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระวิปัสสีเป็นต้น เป็น
โกณฑัญญโคตร พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระกกุสันธะเป็นต้น เป็นกัสสปโคตร.
บทว่า เอวํสีลา ความว่า มีศีลอย่างนี้ คือมีศีลเป็นทั้งโลกิยะและโลกุตตระ.
ในบทว่า เอวํธมฺมา นี้ ท่านหมายเอาธรรมที่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งสมาธิ
อธิบายว่า มีสมาธิอย่างนี้ คือ มีสมาธิเป็นทั้งโลกิยะและโลกุตตระ. บทว่า
เอวํปญฺญา ความว่า มีปัญญาอย่างนี้ คือ มีทั้งปัญญาที่เป็นโลกิยะและ
โลกุตตระ. ก็ในบทว่า เอวํวิหารี นี้ ก็เพราะถือธรรมที่เป็นไปในฝ่ายสมาธิ
* พระสูตรเป็นอัจฉริยัพภูตธัมมสูตร.