เมนู

ครั้นนั้นแล ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์กล่าวสอนอนาถ-
บิณฑิกคฤหบดีด้วยโอวาทนี้แล้ว จึงลุกจากอาสนะหลีกไป.

การเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า


[738] ต่อนั้น อนาถบิณฑิกคฤหบดีเมื่อท่านพระสารีบุตรและท่าน
พระอานนท์หลีกไปแล้วไม่นาน ก็ได้ทำกาลกิริยาเข้าถึงชั้นดุสิตแล ครั้งนั้น
ล่วงปฐมยามไปแล้ว อนาถบิณฑิกเทพบุตรมีรัศมีงามส่องพระวิหารเชตวัน ให้
สว่างทั่ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มี-
พระภาคเจ้ายืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
พระเชตวันนี้มีประโยชน์ อันสงฆ์ผู้
แสวงบุญอยู่อาศัยแล้ว อันพระองค์ผู้เป็น
ธรรมราชาประทับ เป็นที่เกิดปิติแก่ข้า-
พระองค์ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วย
ธรรม 5 อย่างนี้ คือ กรรม 1 วิชชา 1
ธรรม 1 ศีล 1 ชีวิตอุดม 1 ไม่ใช่บริสุทธิ์
ด้วยใครหรือด้วยทรัพย์ เพราะฉะนั้นแล
บุคคลผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์
ของตน พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคาย
จะบริสุทธิ์ในธรรมนั้นได้ด้วยอาการนี้
พระสารีบุตรนั้นแล ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วย
ปัญญา ด้วยศีล และด้วยความสงบ

ความจริง ภิกษุผู้ถึงฝั่งแล้ว จะอย่างยิ่ง
ก็เท่าพระสารีบุตรนี้.

อนาถบิณฑิกเทวบุตรกล่าวดังนี้แล้ว พระศาสดาทรงพอพระทัยต่อนั้น
อนาถบิณฑิกเทวบุตรทราบว่า พระศาสดาทรงพอพระทัยจึงถวายอภิวาทพระ
ผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกระทำประทักษิณ หายตัวไป ณ ที่นั้นเอง.
[739] ครั้งนั้นแล พอล่วงราตรีนั้นไปแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ล่วงปฐมยามไปแล้ว
มีเทวบุตรตนหนึ่ง มีรัศมีงาม ส่องพระวิหารเชตวันให้สว่างทั่ว เข้ามาหาเรา
ยังที่อยู่ อภิวาทแล้ว ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอยืนเรียบร้อยแล้ว
ได้กล่าวกะเราด้วยคาถามีว่า
พระวิหารเชตวันนี้มีประโยชน์ อัน
สงฆ์ผู้แสวงบุญอยู่อาศัยแล้ว อันพระองค์
ผู้เป็นธรรมราชาประทับ อยู่เป็นที่เกิดปิติ
แก่ข้าพระองค์ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์
ได้ด้วยธรรม อย่างนี้ คือ ธรรม 1
วิชชา 1 ธรรม 1 ศีล 1 ชีวิตอุดม 1
ไม่ใช่บริสุทธิด้วยโคตร หรือด้วยทรัพย์
เพราะฉะนั้นแล บุคคลผู้เป็นบัณฑิต เมื่อ
เล็งเห็นประโยชน์ของตน พึงเลือกเฟ้น
ธรรมโดยแยบคาย จะบริสุทธิ์ในธรรมนั้น
ได้ด้วยอาการนี้ พระสารีบุตรนั้นแล ย่อม
บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ด้วยศีล และด้วย

ความสงบ ความจริง ภิกษุผู้ถึงฝั่งแล้ว
จะอย่างยิ่งก็เท่าพระสารีบุตรนี้.

ภิกษุทั้งหลาย เทวบุตรนั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว รู้ว่าพระศาสดาทรงพอ
พระทัย จึงอภิวาทเรา แล้วกระทำประทักษิณ หายตัวไป ณ ที่นั้นแล.
[740] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เทวบุตรนั้น คง
จักเป็นอนาถบิณฑิกเทวบุตรแน่ เพราะอนาถบิณฑิกคฤหบดีได้เป็นผู้เลื่อมใส
แล้วในท่านพระสารีบุตร.
พ. ดูก่อนอานนท์ ถูกแล้ว ๆ เท่าที่คาดคะเนนั้นแล เธอลำดับเรื่อง
ถูกแล้ว เทวบุตรนั้นคืออนาถบิณฑิกเทวบุตร มิใช่อื่น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์จึงชื่นชม
ยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล.
จบ อนาถปิณฑิโกวาทสูตร ที่ 1

สฬายตนวรรค



อรรถกถาอนาถปิณฑิโกวาทสูตร



อนาถบิณฑิโกวาทสูตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-.
ในบทเหล่านั้น คำว่า ป่วยหนัก คือป่วยเหลือขนาด เข้าถึงการ
นอนรอความตาย. คำว่า เรียกหาแล้ว คือ เล่ากันมาว่า ตราบใดที่เท้า
ของคฤหบดี ยังพาไปได้ ตราบนั้น คฤหบดี ก็ได้ทำการบำรุง พระพุทธเจ้า
วันละครั้งสองครั้งหรือสามครั้งไม่ขาด และท่านบำรุงพระศาสดาเท่าใด ก็บำรุง
พวกพระมหาเถระเท่านั้นเหมือนกัน วันนี้ ท่านเข้าถึงการนอนชนิดที่ไม่มีการ
ลุกขึ้นอีก เพราะเท้าเดินไม่ได้แล้ว อยากส่งข่าวไปจึงเรียกหาชายคนใดคนหนึ่ง
มา. คำว่า เข้าไปแล้วโดยส่วนแห่งทิศนั้น คือครั้นทูลอำลาพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว ก็เข้าไปหาในเวลาพระอาทิตย์ตก. คำว่า ค่อยยังชั่ว คือ ทุเลา
เบาลง. คำว่า หนักขึ้น คือ เจริญยิ่งได้แก่เพียบลง คือเป็นเวทนาที่กล้าแข็ง
คำว่า. มีแต่ความหนักขึ้นเป็นที่สุดปรากฏ ไม่มีความทุเลาลง คือก็ใน
สมัยที่เกิดเวทนาชนิดที่มีความตายเป็นที่สุดขึ้นมานั้น ย่อมเป็นเหมือนกระพือ
ลมบนไฟที่ลุกโพลง ตลอดเวลาที่ไออุ่นยังไม่ดับ ต่อให้ใช้ความเพียรใหญ่
ขนาดไหน ก็ไม่อาจทำให้เวทนานั้นระงับไปได้ แต่จะระงับไปได้ก็คือเมื่อไอ
อุ่นดับไปแล้ว ที่นั้น ท่านพระสารีบุตรคิดว่า เวทนาของมหาเศรษฐี เป็น
เวทนาชนิดมีความตายเป็นที่สุด ไม่มีใครสามารถห้ามได้ ถ้อยคำที่เหลือ ใช้
ประโยชน์ไม่ได้ เราจักกล่าวธรรมกถาแก่มหาเศรษฐีนั้น.
และแล้วเมื่อกล่าวธรรมกถามานี้ กะคฤหบดีนั้น จึงกล่าวขึ้นต้น ว่า
เพราะเห็นในกรณีนี้. ในคำเหล่านั้น คำว่า เพราะฉะนั้น คือเพราะ