เมนู

อรรถกถาสุภสูตร



สุภสูตร1 มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
ในสูตรนั้น บทว่า สุโภ ความว่า ได้ยินว่า เขาเป็นคนน่าดู
น่าเลื่อมใส. ด้วยเหตุนั้นญาติทั้งหลายจึงตั้งชื่อเขาว่า สุภะ เพราะความที่เขามี
อวัยวะงาม แต่ได้เรียกเขาว่า มาณพในกาลเป็นหนุ่ม. เขาถูกเรียกโดยโวหาร
นั้นแล แม้ในกาลเป็นคนแก่. บทว่า โตเทยฺยปุตฺโต ได้แก่บุตรของพราหมณ์
ปุโรหิต ของพระเจ้าปเสนทิโกศล ชื่อว่า โตเทยยะ. ได้ยินว่า เขาถึงอัน
นับว่าโตเทยยะ เพราะเขาเป็นใหญ่แห่งบ้านชื่อว่า ตุทิคาม ซึ่งมีอยู่ใกล้กรุง
สาวัตถี. ก็เขาเป็นผู้มีทรัพย์มาก มีสมบัติ ถึง 87 โกฏิ แต่มีความตระหนี่จัด.
เมื่อจะให้ก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่า ความไม่สิ้นเปลืองของโภคะทั้งหลายไม่มี จึงไม่ให้
อะไรแก่ใคร ๆ. สมดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า
บัณฑิตเห็นความสิ้นไปแห่งยาหยอด
ตาทั้งหลาย การสะสมของตัวปลวกทั้ง
หลาย และการรวบรวมของตัวผึ้งทั้งหลาย
แล้ว พึงอยู่ครองเรือน.

เขาให้สำคัญอย่างนี้ ตลอดกาลนานทีเดียว. เขาไม่ให้วัตถุสักว่ายาคูกระบวยหนึ่ง
หรือภัตสักทัพพีแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประทับอยู่ในวิหารใกล้ ทำกาละ
ด้วยความโลภในทรัพย์ ไปเกิดเป็นสุนัขในเรือนนั้นเทียว. สุภะรักสุนัขนั้นมา
เหลือเกิน ให้กินภัตที่คนบริโภคนั้นแหละ ยกขึ้นให้นอนในที่นอนอันประเสริฐ.
1. บาลีว่า จูฬกัมมวิภังคสูตร

อยู่มาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลก ในสมัยใกล้รุ่ง
ทรงเห็นสุนัขนั้นแล้ว ทรงดำริว่า โตเทยยพราหมณ์ตายไปเกิดเป็นสุนัขใน
เรือนของตนเทียว เพราะความโลภในทรัพย์ วันนี้ เมื่อเราไปสู่เรือนของสุภะ
สุนัขเห็นเราแล้ว จักทำการเห่าหอน ลำดับนั้น เราจักกล่าวคำหนึ่งแก่สุนัขนั้น
สุนัขนั้นจะรู้เราว่าเป็นสมณโคดม แล้วไปนอนในที่เตาไฟ เพราะข้อนั้นเป็น
เหตุ สุภะจักมีการสนทนาอย่างหนึ่งกับเรา สุภะนั้นฟังธรรมแล้ว จักตั้งอยู่ใน
สรณะทั้งหลาย ส่วนสุนัขตายไปแล้วจักเกิดในนรก ดังนี้. พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงรู้ความที่มาณพจะตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลายนี้แล้ว ในวันนั้น ทรงปฏิบัติ
พระสรีระ เสด็จไปสู่เรือนนั้นเพื่อทรงบิณฑบาต โดยขณะเดียวกันกับมาณพ
ออกไปสู่บ้าน. สุนัขเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทำการเห่าหอน ไปใกล้
พระผู้มีพระภาคเจ้า. แต่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ กะสุนัขนั้นว่า แนะ
โตเทยยะ เจ้าเคยกล่าวกะเราว่า ผู้เจริญ ๆ ไปเกิดเป็นสุนัข แม้บัดนี้ ทำการ
เห่าหอนแล้ว จักไปสู่อเวจี ดังนี้. สุนัขฟังพระดำรัสนั้นแล้ว รู้เราว่าเป็น
สมณโคดม มีความเดือนร้อน ก้มคอไปนอนในขี้เถ้า ในระหว่างเตาไฟ.
มนุษย์ไม่อาจเพื่อจะยกขึ้นให้นอนบนที่นอนอันประเสริฐได้. สุภะมาแล้วพูดว่า
ใครยกสุนัขขึ้นลงจากที่นอนเล่า. มนุษย์พูดว่า ไม่มีใคร แล้วบอกเรื่องราว
เป็นมานั้น . มาณพฟังแล้วโกรธว่า บิดาของเราไปเกิดในพรหมโลก ไม่มี
สุนัขชื่อโตเทยยะ แต่พระสมณโคดมทรงทำบิดาให้เป็นสุนัข พระสมณโคดม
นั้น พูดพล่อย ๆ ดังนี้ เป็นผู้ใคร่จะข่มพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคำเท็จ จึงไป
สู่วิหารทูลถามประวัตินั้น.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสอย่างนั้นเทียวแก่สุภมาณพนั้น เพื่อไม่ให้
โต้เถียงกัน จึงตรัสว่า ดูก่อนมาณพ ก็ทรัพย์ที่บิดาของเธอไม่ได้บอกไว้มีอยู่
หรือ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มีหมวกทองคำราคาหนึ่งแสน รองเท้าทองคำ

ราคาหนึ่งแสน และกหาปณะหนึ่งแสน. เจ้าจงไป จงถามสุนัขนั้นในเวลาให้
กินข้าวปายาสมีน้ำน้อย แล้วยกขึ้นในที่นอนก้าวสู่ความหลับนิดหน่อย มันจะ
บอกทรัพย์ทั้งหมดแก่เจ้า ลำดับนั้น เจ้าจะพึงรู้สุนัขนั้นว่า มันเป็นบิดาของ
เรา. มาณพดีใจแล้วด้วยเหตุ 2 ประการ คือ ถ้าจักเป็นความจริง เราจะได้
ทรัพย์ ถ้าไม่เป็นความจริง เราจักข่มพระสมณโคดมด้วยคำเท็จ ดังนี้ แล้ว
ไปทำอย่างนั้น. สุนัขรู้ว่า เราอันมาณพนี้รู้แล้ว ทำเสียงร้อง หุง หุง ไป
สู่สถานที่ฝังทรัพย์ ตะกุยแผ่นดินด้วยเท้าแล้ว ให้สัญญา. มาณพถือเอาทรัพย์
แล้ว มีจิตเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ธรรมดาสถานที่ปกปิดทรัพย์
ปรากฏเป็นของละเอียด อยู่ในระหว่างปฏิสนธิอย่างนี้ นั้นเป็นสัพพัญญูของ
พระสมณโคดมแน่แท้ จึงรวบรวมปัญหา 14 ปัญหา. นัยว่า มาณพนั้นเป็น
นักปาฐกในวิชาทางร่างกาย. ด้วยเหตุนั้น มาณพนั้น จึงมีความคิดว่า เรา
ถือธรรมบรรณาการนี้แล้ว จักทูลถามปัญหากะพระสมณโคดม. โดยการไป
ครั้งที่สอง จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ. แต่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงแก้ปัญหาทั้งหลายที่มาณพนั้นทูลถามแก่เขา เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จึง
ตรัสว่า กมฺมสฺสกา เป็นต้น. ในบทนั้น กรรมเป็นของสัตว์เหล่านั้น คือ
เป็นภัณฑะของตน เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านั้นชื่อว่า มีกรรมเป็นของคน.
สัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า เป็น
ทายาทแห่งกรรม อธิบายว่า กรรมเป็นทายาทคือเป็นภัณฑะของสัตว์เหล่านั้น.
กรรมเป็นกำเนิดคือเป็นเหตุของสัตว์เหล่านั้น เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านั้น.
ชื่อว่า มีกรรมเป็นกำเนิด. กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ของสัตว์เหล่านั้น เพราะฉะนั้น
สัตว์เหล่านั้นชื่อว่า มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ อธิบายว่า มีกรรมเป็นญาติ. กรรม
เป็นที่พึ่งอาศัย คือ เป็นที่ตั้งของสัตว์เหล่านั้น เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านั้น
ชื่อว่า มีกรรมเป็นที่พึงอาศัย. บทว่า ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย ความว่า กรรม

ใด จำแนกโดยให้เลว และประณีตอย่างนี้ว่า ท่านเลว ท่านประณีต ท่าน
มีอายุน้อย ท่านมีอายุยืน ท่านมีปัญญาทราม ท่านมีปัญญา ดังนี้ ใครอื่น
ไม่ทำกรรมนั้น กรรมนั้นเทียว ย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายอย่างนี้. มาณพไม่รู้
เนื้อความแห่งอุเทศที่ทรงแสดง. เป็นเหมือนพันปากของมาณพนั้นด้วยแผ่นผ้า
เนื้อหนาแล้ววางของหวานไว้ข้างหน้า. ได้ยินว่า มาณพนั้นอาศัยมานะ ถือ
ตัวว่า เป็นบัณฑิตย่อมพิจารณาเห็นตน.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงหักมานะของมาณพนั้นว่า
มานะนี้ว่า พระสมณโคดมตรัสอะไร เราย่อมรู้สิ่งที่ตรัสนั้นแล อย่าได้มีดังนี้
จึงตรัสทำให้แทงตลอดได้โดยยากว่า เราจักแสดง ทำให้แทงตลอดได้ยากตั้งแต่
เบื้องต้นเทียว แต่นั้น มาณพจักขอเราว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์
ไม่รู้ ขอพระองค์จงทรงแสดงทำให้ปรากฏแก่ข้าพระองค์โดยพิสดาร ลำดับนั้น
เราจักแสดงแก่เขาในเวลาร้องขอ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จักเป็นประโยชน์แก่มาณพ
นั้น ดังนี้. บัดนี้ มาณพนั้น เมื่อจะประกาศความที่ตนเป็นผู้ไม่แทงตลอด
จึงทูลว่า น โขหํ ดังนี้เป็นต้น. บทว่า สมตฺเตน ได้แก่ บริบูรณ์. บทว่า
สมาทินฺเนน ได้แก่ ถือเอาแล้ว คือ ลูบคลำแล้ว. บทว่า อปฺปายุกสํวตฺต-
นิกา เอสา มาณว ปฏิปทา ยทิทํ ปาณาติปาตี
ความว่า กรรมในการ
ยังชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงนี้ใด นั้นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุสั้น.
ก็ปฏิปทานั้น ย่อมทำให้มีอายุสั้นอย่างไร. ก็กรรมมี ประเภท คือ
อุปปีฬกกรรม อุปัจเฉทกกรรม ชนกกรรม อุปัตถัมภกกรรม. ก็อุปปีฬกกรรม
ในประวัติที่เกิดด้วยกรรมอันมีกำลัง มาพูดโดยเนื้อความอย่างนี้ว่า ถ้าเราพึง
รู้ก่อน ไม่พึงให้กรรมนั้นเกิดในที่นี้ พึงให้มันเกิดในอบายทั้งสี่ จงยกไว้ เจ้า
เกิดในที่ใดที่หนึ่ง เราบีบคั้นกรรมที่ชื่อว่า อุปปีฬกกรรมนั้น จักทำให้ปราศ-
จากรสปราศจากยางเหนียวให้ไร้ค่า จำเดิมแต่นั้น จะทำมันให้เป็นเช่นนั้น.

ทำอย่างไร คือ นำอันตรายเข้ามายังโภคะให้พินาศ. ในเพราะกรรมนั้น จำเดิม
แต่กาลที่ทารกเกิดในต้องมารดา มารดาย่อมไม่มีความเบาใจ หรือไม่มีความสุข
และความบีบคั้นย่อมเกิดแก่บิดามารดา ย่อมนำอันตรายเข้ามาอย่างนี้. ก็จำเดิม
แต่กาลที่ทารกเกิดในท้องมารดา โภคะทั้งหลายในเรือน ย่อมฉิบหายด้วยอำนาจ
แห่งราชาเป็นต้น เหมือนเกลือถูกน้ำ. แม่โคทั้งหลายที่รีดนมลงในภาชนะก็ไม่
ให้น้ำมัน ฝูงโคจะกล้าดุร้าย มีตาบอดเป็นง่อย โรคจะระบาดในคอกโค บริวาร
ชนมีทาสเป็นต้น ไม่เชื่อฟัง ข้าวกล้าที่หว่านไว้จะไม่เกิด ข้าวกล้าที่อยู่ในเรือน
ย่อมพินาศในเรือน ที่อยู่ในป่าก็พินาศในป่า วัตถุสักว่าบำบัดความหิวกระหาย
ก็หาได้ยาก โดยลำดับ. เครื่องบริหารครรภ์ก็ไม่มี. เวลาทารกคลอดแล้ว
น้ำนมของมารดาก็จะขาด. ทารกเมื่อไม่ได้บริหาร ก็ถูกบีบคั้น ปราศจากรส
เหี่ยวแห้ง ไร้ค่า นี้ชื่อว่า อุปปีฬกกรรม. ส่วนเมื่อบุคคลเกิดแล้ว ด้วยกรรม
ที่ทำให้มีอายุยืน อุปัจเฉทกกรรมก็มาตัดรอนอายุ. เหมือนบุรุษทำการไปสู่วัว
ผู้แปดตัว ยิงลูกศร อีกคนก็ดีลูกศรนั้น ที่สักว่าหลุดออกจากแห่งธนู ด้วยไม้
ค้อนให้ตกลงในที่นั้น ฉันใด อุปัจเฉทกกรรมย่อมตัดรอนอายุของคนที่เกิดแล้ว
ด้วยกรรมที่ทำให้มีอายุยืน ฉันนั้น. ทำอย่างไร. โจรให้บุคคลนั้นเข้าไปสู่ดง
ให้ลุยน้ำที่มีปลาร้าย. ก็หรือนำเข้าสู่สถานที่อันตรายอื่น. นี้ชื่อว่า อุปัจเฉทุก-
กรรม อุปัจเฉทกกรรมนั้นเทียว นี้ชื่อว่า อุปฆาฏกกรรม ดังนี้บ้าง. ส่วนกรรม
ที่ให้เกิดปฏิสนธิ ชื่อว่า ชนกกรรม. กรรมที่อุ้มชูด้วยการทำให้ถึงพร้อมด้วย
โภคะเป็นต้น แก่บุคคลผู้เกิดในตระกูลทั้งหลาย มีตระกูลมีโภคะน้อยเป็นต้น
ชื่อว่า อุปัตถัมภกกรรม.
ในกรรม 4 ประเภทนี้ กรรม 2 ประเภทข้างต้น เป็นอกุศลอย่าง
เดียว ในกรรมเหล่านั้น ปาณาติบาตกรรมย่อมเป็นไปเพื่อมีอายุสั้น ด้วยความ
เป็นอุปัจเฉทกกรรม. หรือ กุศลกรรมที่บุคคลนี้ปกติยิ่งชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง ย่อม
ไม่โอฬาร ย่อมไม่อาจเพื่อยังปฏิสนธิที่มีอายุยืนเกิดขึ้น. ปาณาติบาตย่อมเป็น

ไปเพื่อให้อายุสั้นด้วยประการฉะนี้. หรือกำหนดปฏิสนธิเท่านั้น ทำให้มีอายุสั้น
หรือย่อมเกิดในนรกด้วยสันนิฏฐานเจตนา. เป็นเหตุให้มีอายุสั้นโดยนัยกล่าว
แล้ว ด้วยบุพเจตนาและอปรเจตนา.
ในบทว่า ทีฆายุตสํวตฺตนิกา เอสา มาณว ปฏิปทา นี้ กรรม
ที่งดเว้นจากปาณาติบาตอย่างนี้ ในประวัติ ซึ่งเกิดด้วยกรรมนิดหน่อย มากล่าว
อย่างนี้ โดยเนื้อความว่า ถ้าเรารู้ก่อน ไม่พึงให้เจ้าเกิดในที่นี้ จะพึงให้เจ้าเกิด
ในเทวโลกเท่านั้น ช่างเถิด เจ้าจะเกิดในที่ใดก็ตาม เราจักทำการอุ้มชู. ทำ
อย่างไร. คือ ยังอันตรายให้พินาศ ยังโภคะทั้งหลายให้เกิดขึ้น. ในเพราะอุปัต-
ถัมภกกรรมนั้น บิดามารดาย่อมมีความสุขอย่างเดี่ยว ย่อมเบาใจอย่างเดียว
จำเดิมแต่กาลที่ทารกเกิดในท้องมารดา. อันตรายจากมนุษย์และอมนุษย์ โดย
ปกติแม้เหล่าใด อันตรายเหล่านั้น ทั้งหมดย่อมไปปราศ. ย่อมยังอันตรายให้
พินาศอย่างนี้. ประมาณแห่งโภคะทั้งหลายในเรือน ย่อมไม่มีจำเดิมแต่กาลที่
ทารกเกิดในท้องมารดา. ขุมทรัพย์ทั้งหลายย่อมมารวมอยู่ในเรือน ทั้งข้างหน้า
ทั้งข้างหลัง. บิดามารดาย่อมไปสู่ความพร้อมหน้ากับทรัพย์ที่บุคคลเหล่านั้นนำ
มาวางไว้. แม่โคนมทั้งหลายย่อมมีน้ำนมมาก. ฝูงโคย่อมอยู่เป็นสุข. ข้าวกล้า
ทั้งหลายในที่หว่านย่อมสมบูรณ์. บุคคลทั้งหลายที่ไม่มีใครเตือน ย่อมนำทรัพย์
ที่ประกอบด้วยความเจริญ หรือทรัพย์ที่เขาให้ชั่วคราวมาให้เองแล. บริวาร
ชนทั้งหลายมีทาสเป็นต้น ก็จะเป็นผู้ว่าง่าย. การงานทั้งหลายก็ไม่เสื่อมเสีย
ทารกย้อมได้บริหารจำเดิมแต่อยู่ในครรภ์. แพทย์เกี่ยวกับเด็กทั้งหลายก็จะมา
ชุมนุน. ทารกที่เกิดในตระกูลคหบดีจะได้ตำแหน่งเศรษฐี ที่เกิดในตระกูล
ทั้งหลายมีตระกูลอำมาตย์เป็นต้น ก็จะได้ตำแหน่งทั้งหลาย มีตำแหน่งเสนาบดี
เป็นต้น. ย่อมให้โภคะทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้. เขาไม่มีอันตรายมีโภคะ
ย่อมมีชีวิตนาน. กรรมคือการไม่ฆ่าสัตว์ ย่อมเป็นไปเพื่อให้มีอายุยืนอย่างนี้.

หรือ กุศลแม้อื่น อันบุคคลผู้ไม่ฆ่าสัตว์ทำไว้ ย่อมโอฬาร. ย่อมอาจเพื่อยัง
ปฏิสนธิที่ให้มีอายุยืนเกิดขึ้น. ย่อมเป็นไปเพื่อให้มีอายุยืนแม้อย่างนี้. หรือ
กำหนดปฏิสนธิเท่านั้น ทำให้มีอายุยืน. หรือย่อมเกิดในเทวโลก ด้วยสันนิฏ-
ฐานเจตนา. ย่อมให้มีอายุยืนโดยนัยกล่าวแล้ว ด้วยบุพเจตนา. พึงทราบ
เนื้อความในการแก้ปัญหาทั้งปวง โดยนัยนี้.
ก็กรรมทั้งหลายแม้มีการเบียดเบียนเป็นต้น มาในปวัตตกาลแล้ว เป็น
เหมือนกล่าวอย่างนี้ โดยเนื้อความ ย่อมทำกิจทั้งหลายมีความอาพาธมากเป็นต้น
ด้วยเหตุทั้งหลายมีการยังโรคให้เกิดขึ้นเป็นต้น แก่บุคคลผู้ถึงความปราศจาก
โภคะด้วยการบีบคั้น ไม่ได้การปฏิบัติ หรือ ด้วยความที่กุศลอันบุคคลผู้เบียด-
เบียนเป็นต้นทำแล้วเป็นธรรมชาติไม่โอฬาร หรือด้วยการกำหนดปฏิสนธิตั้งแต่
เบื้องต้นเทียว หรือด้วยอำนาจแห่งบุพเจตนา และอปรเจตนา โดยนัยกล่าว
แล้วนั้นเทียว กรรมทั้งหลายมีการไม่เบียดเบียนเป็นต้น ย่อมทำแม้ซึ่งความ
เป็นผู้มีอาพาธน้อยทั้งหลาย ดุจการไม่ฆ่าสัตว์ฉะนั้น. ก็ในบทเหล่านั้น บทว่า
อิสฺสามนโก ได้แก่ มีจิตประกอบด้วยความริษยา. บทว่า อุปทุสฺสติ ความ
ว่า ด่าด้วยอำนาจแห่งความริษยานั้นเทียวประทุษร้ายอยู่. บทว่า อิสฺสํ พนฺธติ
ความว่า ย่อมตั้งริษยาไว้เหมือนผูกกำข้าว เหมือนผูกโดยประการไม่ให้เสื่อม
เสีย. บทว่า อปฺเปสกฺโข ความว่า มีบริวารน้อย คือ ไม่ปรากฏเหมือน
ลูกศรที่ยิงในกลางคืน. มีมือสกปรกนั่งแล้ว ย่อมไม่ได้ซึ่งผู้ให้น้ำ. บทว่า น
ทาตา โหติ ความว่า เป็นผู้ไม่ให้ด้วยอำนาจแห่งความตระหนี่. บทว่า
เตน กมฺเมน ได้แก่ กรรมคือความตระหนี่นั้น. บทว่า อภิวาเทตพฺพํ คือ
พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือ พระอริยสาวก ผู้สมควรแก่การอภิวาท.
ในบททั้งหลายแม้มีผู้ควรลุกขึ้นต้อนรับเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. ไม่ควรถือ
อุปปีฬกกรรม และอุปัตถัมภกกรรมในการแก้ปัญหานี้. เพราะไม่อาจเพื่อทำแก่

ผู้มีตระกูลต่ำ ผู้มีตระกูลสูงในปวัตตกาล. แต่กรรมของผู้เกิดในตระกูลต่ำ
กำหนดปฏิสนธิเทียว ให้เกิดในตระกูลต่ำ กรรมที่อำนวยให้เกิดในตระกูลสูง
ย่อมให้เกิดในตระกูลสูง. ย่อมเกิดในนรกด้วยการไม่ได้ไต่ถามในบทนี้ว่า น
ปริปุจฺฉิตา โหติ. ก็ผู้ไม่ไต่ถามย่อมไม่รู้ว่า นี้ควรทำ นี้ไม่ควรทำ. เมื่อไม่รู้
ย่อมไม่ทำสิ่งที่ควรทำ ย่อมทำสิ่งที่ไม่ควร ย่อมเกิดในนรกด้วยกรรมนั้น.
บุคคลนอกนี้ ย่อมเกิดในสวรรค์.
บทว่า อิติ โข มาณว ฯเปฯ ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย ความว่า
พระศาสดาทรงยังเทศนาให้จบตามอนุสนธิ. บทที่เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาสุภสูตรที่ 8
จุลลกัมมวิภังคสูตรก็เรียก

6. มหากัมมวิภังคสูตร



[598] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน อันเคยเป็น
สถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์. สมัยนั้นแล ท่าน
พระสมิทธิอยู่ในกระท่อมในป่า. ครั้งนั้น ปริพาชกโปตลิบุตรเดินเล่นไปโดย
ลำดับเข้าไปหาท่านพระสมิทธิยังที่อยู่แล้ว ได้ทักทายปราศรัยกับท่านพระสมิทธิ
ครั้น ผ่านคำทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง.
[599] ปริพาชกโปตลิบุตร พอนึ่งเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะท่าน
พระสมิทธิดังนี้ว่า ดูก่อนท่านสมิทธิ ข้าพเจ้าได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์
พระสมณโคดมดังนี้ว่า กายกรรมเป็นโมฆะ วจีกรรมเป็นโมฆะ มโนกรรม
เท่านั้น จริง และว่าสมาบัติที่บุคคลเข้าแล้วไม่เสวยเวทนาอะไร ๆ นั้น มีอยู่.
ท่านพระสมิทธิกล่าวว่า ดูก่อนโปตลิบุตรผู้มีอายุ ท่านอย่ากล่าวอย่าง
นี้ อย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ดีเลย เพราะ
พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสอย่างนี้ว่า กายกรรมเป็นโมฆะ วจีกรรมเป็นโมฆะ
มโนกรรมเท่านั้น จริง และว่าสมาบัติที่บุคคลเข้าแล้วไม่เสวยเวทนาอะไร ๆ
นั้น มีอยู่.
ปริพาชก. ดูก่อนท่านสมิทธิ ท่านบวชมานานเท่าไรแล้ว.
สมิทธิ. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ไม่นาน เพียง 3 พรรษา.
ปริพาชก. ในเมื่อภิกษุไหนเข้าใจการระแวดระวังศาสดาถึงอย่างนี้แล้ว
คราวนี้พวกเราจักพูดอะไรก่อนภิกษุผู้เถระได้ ดูก่อนท่านสมิทธิ บุคคลทำกรรม
ชนิดที่ประกอบด้วยความจงใจแล้วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เขาจะเสวยอะไร.