เมนู

อรรถกถามหาสูญญตาสูตร



มหาสุญญตาสูตร1 มีบทเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาฬเขมกสฺส ความว่า เจ้าศากยะนั้น
มีผิวดำ. ก็คำว่า เขมโก เป็นชื่อของเจ้าศากยะนั้น. บทว่า วิหาโร หมายถึง
ที่พักซึ่งเจ้าศากยะล้อมรั้ว ณ ประเทศแห่งหนึ่ง ใกล้นิโครธารามนั้นแหละ
สร้างซุ้มประตู ประดิษฐานเสนาสนะรูปหงส์เป็นต้นและมาลมณฑลโรงฉัน
เป็นต้น สร้างไว้. บทว่า สมฺพหุลานิ เสนาสนานิ ได้แก่ เตียง ตั่ง
ฟูก หมอน เสื่อ ท่อนหนัง สันถัตที่ทำด้วยหญ้า สันถัดที่ทำด้วยใบไม้
สันถัดที่ทำด้วยฟางเป็นต้น ซึ่งเขาปูลาดไว้ คือ ตั้งเตียงจดเตียง ฯลฯ ตั้ง
สันถัดที่ทำด้วยฟาง จดสันถัดที่ทำด้วยฟางเหมือนกัน . ได้เป็นเหมือนที่อยู่ของ
ภิกษุที่อยู่กัน เป็นคณะ. บทว่า สมฺพหุลา นุโข ความว่า ขึ้นชื่อว่า ความ
สงสันย่อมไม่มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าเพราะพระองค์ทรงถอนกิเลสทั้งปวงได้แล้ว
ที่โพธิบัลลังก็นั้นแล. ปุจฉาที่มีวิตกเป็นบุพภาคก็ดี และนุอักษรที่มีวิตกเป็น
บุพภาคก็ดี เป็นเพียงนิบาต เมื่อถึงวาระพระบาลี ย่อมเป็นอันไม่ต้องวินิจฉัย.
ได้ยินว่า ก่อนหน้าแต่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่เคยทอดพระเนตร
เห็นภิกษุทั้งหลายจะอยู่ในที่เดียวกัน ถึง 10 รูป 10 รูป.
ครั้งนั้น พระองค์ได้มีพระดำริดังนี้ว่า ขึ้นชื่อว่า การอยู่เป็นคณะนี้
ได้ประพฤติปฏิบัติกัน มาในวัฏฏะแล้ว เหมือนน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำ และการอยู่
เป็นคณะก็ได้ประพฤติกันมาแล้วในนรก กำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ปิตติวิสัย
และอสุรกายก็มี ในมนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลกก็มี นรกหมื่นโยชน์
แน่นไปด้วยสัตว์ทั้งหลาย เหมือนทะนานที่เต็มไปด้วยผงคีบุก เหล่าสัตว์ใน
1. พระสูตรเป็น มหาสุญญตสูตร

สถานที่เขาลงโทษด้วยเครื่องจองจำ 5 ประการ จะประมาณหรือกำหนดไม่ได้
เหล่าสัตว์ที่อยู่กัน เป็นคณะย่อมเดือนร้อน ในที่ซึ่งถูกมีดฟันเป็นต้น เหมือน
อย่างนั้น. ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน หมู่ปลวกในจอมปลวกแห่งหนึ่ง ย่อมจะ
ประมาณหรือกำหนดไม่ได้ และหมู่มดแดงเป็นต้น แม้ในรังแต่ละรังเป็นต้น
ก็เหมือนกัน และแม้ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานก็ย่อมอยู่รวมกันเป็นคณะ ก็
นครเปรตมีดาวุตหนึ่งก็มี ครึ่งโยชน์ก็มี เต็มไปด้วยเปรต แม้ในพวกเปรตก็
อยู่รวมกันเป็นคณะอย่างนี้แหละ. ภพอสูรมีประมาณหมื่นโยชน์เหมือนรูหูที่เอา
เข็มเสียบไว้ที่หู แม้ในอสุรกาย ก็ย่อมอยู่กันเป็นคณะอย่างนี้ . ในมนุษยโลก
เฉพาะกรุงสาวัตถี มีถึงห้าล้านเจ็ดแสนตระกูล. ในกรุงราชคฤห์ทั้งภายใน
ภายนอก มีมนุษย์อาศัยอยู่ 18 โกฏิ ในฐานะแม้อื่น ๆ คือ แม้ในมนุษยโลก
ก็อยู่กันเป็นคณะเหมือนกัน. แม้ในเทวโลก และพรหมโลก ตั้งต้นแต่ภุมม-
เทวดาไป ก็อยู่กันเป็นคณะ. ก็เทวบุตรแต่ละองค์ย่อมมีเทพอักษรผู้ฟ้อนรำถึง
สองโกฏิครึ่ง บางองค์มีถึง 9 โกฏิ ถึงพรหมจำนวนนับหมื่นก็อยู่รวมในที่
เดียวกัน. แต่นั้นทรงดำริว่า เราบำเพ็ญบารมี 10 ทัศ ถึง 4 อสงไขยแสนกัป
ก็เพื่อกำจัดการอยู่รวมเป็นคณะ แต่ภิกษุเหล่านี้ นับจำเดิมแต่นี้ไป ภิกษุเหล่านี้
ย่อมเกาะกลุ่มยินดีในหมู่ กระทำกรรมไม่สมควรเลย พระองค์ทรงเกิดธรรม
สังเวช เพราะภิกษุทั้งหลายเป็นเหตุ ทรงดำริว่า ถ้าเราจักบัญญัติสิกขาบทว่า
ภิกษุสองรูปไม่พึงอยู่ในที่เดียวกัน แต่ไม่สามารถจะบัญญัติได้ เอาละเราจะ
แสดงพระสูตรชื่อ มหาสุญญตาปฏิบัติ ซึ่งจักเป็นเหมือนการบัญญัติสิกขาบท
สำหรับกุลบุตรผู้ใคร่ต่อการศึกษา และเหมือนกระจกสำหรับส่องหมู่สัตว์ทุก
หมู่เหล่า ที่วางไว้ ณ ประตูเมือง แต่นั้นกษัตริย์เป็นต้น เห็นโทษของตนใน
กระจกบานหนึ่ง ละโทษนั้น ย่อมเป็นผู้หาโทษมิได้ ฉันใด แม้เมื่อเราปริ-
นิพพานแล้ว ล่วงไปถึง 5,000 ปี กุลบุตรทั้งหลายย่อมระลึกถึงพระสูตรนี้

จักบรรเทาความเป็นหมู่ ยินดีในเอกีภาพ จักกระทำที่สุดแห่งวัฏฏทุกข์ได้.
กุลบุตรทั้งหลายระลึกถึงพระสูตรนี้แล้ว บรรเทาความเป็นหมู่ยังทุกข์ในวัฏฏะ
ให้สิ้นไป แล้วปรินิพพาน นับไม่ถ้วน เหมือนยังมโนรถของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ให้บริบูรณ์. ก็แม้ในวาลิกปิฏฐิวิหาร พระอภัยเถระผู้ชำนาญพระอภิธรรม
สาธยายพระสูตรครั้น รวมกับภิกษุทั้งหลายเป็นอันมาก ในวัสสูปนายิกสมัย
กล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดให้ทำอย่างนี้ พวกเราจะทำอย่างไรกัน.
ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด บรรเทาควานอยู่รวมเป็นคณะ ยินดีในเอกีภาพ แล้ว
บรรลุพระอรหัตภายในพรรษา. พระสูตรนี้ชื่อว่า ทำลายความอยู่รวมเป็นคณะ
ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ฆฏายะ ได้แก่ เจ้าศากยะผู้มีชื่ออย่างนั้น. บทว่า วิหาเร
ความว่า แม้ในวิหารนี้ พึงทราบว่า สร้างไว้ในเอกเทศของนิโครธารามนั้นเอง
เหมือนวิหารของเจ้าศากยะชื่อ กาฬเขมกะ. บทว่า จีวรกมฺมํ ความว่า การ
จัดแจงเอาผ้าเก่าเศร้าหมอง มาดามปะและชักเป็นต้นก็ดี ผ้าที่เกิดขึ้นเพื่อทำจีวร
จะยังไม่ได้กะ และยังไม่เย็บมาจัดแจงก็ดีก็ควร. แต่ในที่นี้ประสงค์เอาส่วนที่ยัง
ไม่ได้จัดทำ. ก็มนุษย์ทั้งหลายได้ถวายผ้าจีวรแก่พระอานนทเถระ. เพราะฉะนั้น
พระเถระจึงชวนภิกษุเป็นอันมาก ไปทำจีวรกรรมในวิหารนั้น. แม้ภิกษุเหล่านั้น
นั่งตั้งแต่เริ่มร้อยเข็มแต่เช้าตรู่ ลุกขึ้นในเวลาไม่ปรากฏ. เมื่อเย็บเสร็จแล้ว
ภิกษุเหล่านั้นคิดว่าจักจัดเสนาสนะแค่ยังไม่ได้จัด. บทว่า จีวรกาลสมโย โน
ความว่า ได้ยินว่า พระเถระคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงเห็นเสนาสนะ
ทั้งหลายที่ภิกษุเหล่านี้ ยังไม่ได้เก็บไว้แน่แท้ ด้วยประการฉะนี้ พระศาสดา.
จักไม่ทรงพอพระทัยประสงค์จะกำหราบ เราจักช่วยเหลือภิกษุเหล่านี้ เพราะ
ฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวอย่างนี้. ก็ในอันมีอธิบายดังนี้ พระอานนท์ทูลว่า
พระเจ้าข้า ภิกษุเหล่านี้ มิใช่มุ่งแต่การงานอย่างเดียวเท่านั้น แต่อยู่อย่างนี้

โดยจีวรกิจ. บทว่า น โข อานนฺท ความว่า ดูก่อนอานนท์ กัมมสมัยก็ดี
อกัมสมัยก็ดี จีวรกาลสมัยก็ดี อจีวรกาลสมัยก็ดี จงยกไว้ ภิกษุที่ยินดีด้วย
การคลุกคลี ย่อมไม่งามเลย เธออย่าได้ช่วยเหลือ ในฐานะที่ไม่ควรช่วยเหลือ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สงฺคณิกา เป็นบทรวมบริษัทของตน. บทว่า
คโณ เป็นบทรวมชนต่าง ๆ. ด้วยประการฉะนี้ ภิกษุจะยินดีด้วยการคลุกคลี
ก็ตาม ยินดีในคณะก็ตาม ยินดีในความหมายแน่นของหมู่ เกี่ยวเนื่องด้วยหมู่
ย่อมไม่งามโดยประการทั้งปวง. แก่ภิกษุปัดกวาดที่พักกลางวัน ในเวลาหลังภัตร
แล้วล้างมือเท้าสะอาด รับมูลกัมมัฏฐาน ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเป็นผู้มี
อารมณ์เป็นหนึ่ง ย่อมงดงามในพระพุทธศาสนา.
บทว่า เนกฺขมฺมสุขํ ความว่า สุขของภิกษุผู้ออกจากกามแม้จะเป็นสุข
ที่เกิดแต่ความสงบ ก็จัดเป็นสุขเกิดแต่ความสงบจากกาม. ก็ที่ชื่อว่า อุปสมสุข
เพราะอรรถว่าเป็นไปเพื่อสงบกิเลสมีราคะเป็นต้น. ชื่อว่า สัมโพธิสุข เพราะ
อรรถว่า เป็นไปเพื่อรู้พร้อมซึ่งมรรค. บทว่า นิกามลาภี แปลว่า ได้ตาม
ที่ต้องการ คือได้ตามที่ปรารถนา. บทว่า อกิจฺฉลาภี แปลว่า ได้โดยไม่ยาก.
บทว่า อกสิรลาภี แปลว่า ได้โดยง่าย. บทว่า สามายิกํ ได้แก่พ้นกิเลส
เป็นคราว ๆ. บทว่า กนฺตํ แปลว่า เป็นที่ชอบใจ. บทว่า เจโตวิมุตตึ
ได้แก่เจโตวิมุตติที่เป็นรูปาวจรและอรูปาวจร. สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ฌาน 4
และอรูปสมาบัติ 4 นี้ จัดเป็นวิโมกข์ชั่วสมัย. บทว่า อสามายิตํ ความว่า
พ้นจากกิเลสโดยไม่เนื่องด้วยสมัย. อัจจันตวิมุตติจัดเป็นโลกุตตระแท้. สมดัง
ที่ตรัสไว้ว่า อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 นี้ จัดเป็นวิโมกข์ที่ไม่เป็นไปชั่วสมัย.
บทว่า อกุปฺปํ แปลว่า ไม่ยังกิเลสให้กำเริบ. ตามที่อธิบายมานี้ ท่านกล่าว
หมายถึงอะไร. ภิกษุที่ชอบคลุกคลีกันและผูกพันเป็นคณะ ย่อมไม่อาจจะ
ยังโลกิยคุณและโลกุตตรคุณให้เกิดขึ้นได้. แต่ถ้าบรรเทาการอยู่เป็นคณะ ยินดี

ในเอกีภาพ ก็อาจจะยังโลกิยคุณและโลกุตตรคุณให้เกิดได้ จริงอย่างนั้น
แม้พระวิปัสสีโพธิสัตว์ แวดล้อมไปด้วยบรรพชิต 84,000 รูป เที่ยวไป 7 ปี
ก็ไม่อาจจะยังสัพพัญญุตญาณให้เกิดได้. ครั้นบรรเทาความเป็นอยู่เป็นคณะแล้ว
ยินดีในเอกีภาพ ขึ้นสู่โพธิมณฑล 7 วัน. ยังคุณแห่งสัพพัญญูให้เกิดแล้ว.
พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลาย เที่ยวไปตลอด 6 ปี กับภิกษุเบญจวัคคีย์ ก็ไม่
สามารถจะยังคุณแห่งพระสัพพัญญูให้เกิดขึ้นได้. เมื่อพระเบญจวัคคีย์หลีกไป
แล้ว ทรงยินดีในเอกีภาพ เสด็จขึ้นสู่โพธิมณฑล ยังคุณแห่งพระสัพพัญญู
ให้เกิดแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงว่า ผู้ที่ชอบคลุกคลีไม่มีทางที่จะ
บรรลุคุณพิเศษได้อย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงความเกิดโทษ จึงตรัสว่า
นาหํ อานนฺท เป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า รูปํ ได้แก่สรีระ. บทว่า
ยตฺถ รตฺตสฺส ได้แก่ ยินดีโดยกำหนัด ในรูปใด. บทว่า น อุปฺปชฺเชยฺยุํ
ความว่า ไม่เกิดแก่ภิกษุผู้กำหนัดในรูปใด เราไม่พิจารณาเห็นรูปนั้น ที่แท้
ย่อมบังเกิดนี้ได้ เหมือนเกิดแก่ปริพพาชกชื่อว่า สัญชัย โดยความเป็น
อย่างอื่น คราวเมื่อพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปเป็นสาวกของ
พระทศพล เหมือนเกิดแก่นิครนถ์นาฏบุตร คราวอุบาลีคฤหบดีเปลี่ยนใจ
และเหมือนเกิดแก่เศรษฐีเป็นต้น ในปิยชาติกสูตร.
บทว่า อยํ โข ปน อานนฺท เป็นบทเชื่อมความอันหนึ่ง. ก็ถ้า
ภิกษุผู้บวชใหม่ ผู้มีความรู้ต่ำบางรูป จักพึงกล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดีแต่นำพวกเราออกจากหมู่ ประกอบไว้ในความโดดเดี่ยว เหมือนชาวนานำโค
ที่เข้าไปสู่นาออกจากนา ส่วนพระองค์เองแวดล้อมไปด้วยพระราชาและข้าราช.
บริพารเป็นต้น เพราะฉะนั้น พระตถาคตแม้จะประทับนั่งท่ามกลางบริษัทมี
จักรวาลเป็นที่สุด ก็ทรงเริ่มเทศนาน เพื่อจะทรงแสดงว่าเป็นผู้อยู่โดดเดี่ยว

เพื่อจะไม่ให้โอกาสภิกษุบางรูปนั้นพูดจวงจาบได้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
สพฺพนิมิตฺตานํ ได้แก่ นิมิตที่ปรุงแต่งแล้วมีรูปเป็นต้น. บทว่า อชฺฌตฺตํ
ความว่า ในภายในตน. บทว่า สุญฺญตํ ได้แก่ สุญญตาผลสมาบัติ. บทว่า
ตตฺถ เจ เป็นสัตตมีวิภัตติ ลงในอรรถทุติยาวิภัตติ. อธิบายว่า เท่ากับ
ตํ เจ. บทว่า ปุน ตตฺร ความว่า พระตถาคตประทับอยู่ท่ามกลางบริษัท
นั้น. บทว่า วิเวกนินฺเนน ได้แก่น้อมไปในพระนิพพาน. บทว่า พฺยนฺตีภูเตน
ความว่า ปราศจาก คือ สลัดออก ได้แก่ พรากจากธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ.
บทว่า อุยฺโยชนิกปฏิสํยุตฺยํ ความว่า ประกอบด้วยวาจาที่ชักชวนอย่างนี้ว่า
ท่านทั้งหลายจงไปเถิด. ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ เวลาไหน
ตอบว่า ตรัสในเวลาหลังภัตกิจบ้าง ในเวลาบำเพ็ญพุทธกิจในยามต้นบ้าง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าสำเร็จสีหไสยาสน์ในพระคันกุฏี ภายหลังภัตตาหาร ออกจาก
สีหไสยาสน์แล้ว ประทับนั่งเข้าผลสมาบัติ. ในสมัยนั้น บริษัททั้งหลายย่อม
ประชุมกันเพื่อฟังธรรม. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเวลาแล้ว
เสด็จออกจากพระคันธกุฏี ตรงไปยังพุทธอาสน์อันประเสริฐ ทรงแสดงธรรม
ในให้เวลาล่วงผ่านไป เหมือนบุรุษผู้ถือเอาน้ำมันที่หุงไว้สำหรับประกอบยา
ทรงส่งบริษัทไปด้วยจิตที่โน้มไปในวิเวก. เมื่อปุริมยามผ่านไป ทรงส่งบริษัท
กลับ ด้วยพระดำรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนวาเสฏฐะ ราตรีผ่านไปแล้วแล บัดนี้
พวกท่านจงสำคัญกาลอันสมควรเถิด. นับจำเดิมแต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายบรรลุ
พระโพธิญาณแล้ว แม้วิญญาณทั้ง 10 ของพระองค์ ก็น้อมไปเพื่อพระนิพพาน
อย่างเดียว.
บทว่า ตสฺมาติหานนฺท ความว่า เพราะสุญญตาวิหาร สงบ
ประณีต ฉะนั้น. บทว่า อชฺฌตฺตเมว ได้แก่ ภายในโคจรนั่นแหละ.
ภายในของตนในบทนี้ว่า อชฺฌตฺตํ สุญฺญตํ อธิบายว่า อาศัยเบญจขันธ์

ของตน. บทว่า สมฺปชาโน โหติ ความว่า รู้สึกตัว โดยรู้ว่ากัมมัฏฐาน
ยังไม่สมบูรณ์. บทว่า พหิทฺธา ได้แก่ ในเบญจขันธ์ของผู้อื่น. บทว่า
อชฺฌตฺตพหิทฺธา ความว่า บางครั้งภายใน บางครั้งภายนอก. บทว่า อเนญฺชํ
ความว่า ใส่ใจ อเนญชสมาบัติคือ อรูปสมาบัติว่า เราจักเป็นอุภโตภาควิมุตติ.
บทว่า ตสฺมึเยว ปุริมสฺมึ ท่านกล่าวหมายถึงฌานที่เป็นบาท. ก็เมื่อภิกษุ
นั้นออกจากฌานที่เป็นบาท ที่ยังไม่คล่องแคล่ว ใส่ใจสุญญตาในภายใน
จิตย่อมไม่แล่นไปในสุญญตาสมาบัตินั้น. แต่นั้นใส่ใจไปในภายนอกว่า ใน
สันดานของผู้อื่นเป็นอย่างไรหนอ. จิตย่อมไม่แล่นไปในสุญญตาสมาบัติ นั้น.
แต่นั้น ใส่ใจทั้งภายในและภายนอกว่า ในสันดานของตนบางครั้งเป็นอย่างไร
ในสันดานของผู้อื่นบางครั้งเป็นอย่างไร. จิตย่อมไม่แล่นไป แม้ในสุญญตา
สมาบัตินั้น. แต่นั้น ผู้ประสงค์จะเป็นอุภโตภาควิมุตติ ใส่ใจอเนญชาสมาบัติ
ว่า ในอรูปสมาบัติเป็นอย่างไรหนอแล. จิตย่อมไม่แล่นไป แม้ในอเนญชา-
สมาบัตินั้น. ภิกษุผู้ละเพียร ไม่พึงพระพฤติตามหลังอุปัฏฐากเป็นต้น ด้วยคิดว่า
บัดนี้จิตของเรายังไม่แล่นไป แค่พึงใส่ใจถึงฌานอันเป็นบาทให้สม่ำเสมอด้วยดี
อย่างเดียว. เพื่อจะทรงแสดงว่า การใส่ใจพระกัมมัฏฐานย่อมแล่นไปสะดวก
เหมือนบุรุษจะตัดไม้ เมื่อขวานวิ่น ต้องลับขวานเสียก่อนแล้วจึงค่อยตัด
ขวานจึงจะคม ด้วยประการฉะนี้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า ตสฺมิญฺเญว ดีนี้.
บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงว่า เมื่อภิกษุนั้นปฏิบัติอย่างนี้ การใส่ใจใน
สมาบัตินั้น ๆ ย่อมสมบูรณ์ จึงตรัสว่า ปกฺขนฺทติ. บทว่า อิมินา วิหาเรน
ได้แก่ด้วยวิหารธรรมคือสมถะและวิปัสสนา. บทว่า อิติ ตตฺถ สมฺปชาโน
ความว่า แม้เมื่อกำลังเดินจงกรมอยู่ ก็รู้ชัดว่า เมื่อกัมมัฏฐานนั้น สมบูรณ์
กัมมัฏฐานของเราก็สมบูรณ์. บทว่า สยติ แปลว่า ย่อมนอน. ในข้อนี้
ความว่า ภิกษุจะเดินจงกรมเวลาไหน ๆ ก็รู้ว่า บัดนี้เราอาจเดินจงกรมได้

ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ ไม่พักอิริยาบถเลย ดำรงอยู่. ในวาระทั้งปวง
ก็นัยนี้. บทว่า อิติห ตตฺถ ความว่า ย่อมรู้ตัวในอิริยาบถนั้น ๆ โดยรู้ว่า
เราจักไม่กล่าวอย่างนี้. ถึงในทุติยวาระ ภิกษุก็รู้ตัว โดยรู้ว่า เราจะกล่าว
ถ้อยคำเห็นปานนี้. ก็ภิกษุนี้ยังมีสมถวิปัสสนาอ่อนอยู่โดยแท้. เพื่อจะตาม
รักษาสมถวิปัสสนาเหล่านั้น พึงปรารถนาสัปปายะ 7 อย่าง คือ
อาวาส 1 โคจร 1 การสนทนา 1
บุคคล 1 โภชนะ 1 ฤดู 1 อิริยาบถ 1

เพื่อจะแสดงสัปปายะ 7 เหล่านั้น จึงตรัสอย่างนี้. ในวิตักกวาระ
ทั้งหลาย พึงทราบความเป็นผู้รู้ตัว ทั้งอวิตกและวิตก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมรรคทั้งสองด้วยการละวิตกดังกล่าวมานี้แล้ว
บัดนี้ เพื่อจะตรัสบอกการเห็นแจ้ง ตติยมรรค จึงตรัสคำมีอาทิว่า ปญฺจ โข
อิเม อานนฺท กามคุณา
ดังนี้. บทว่า อายตเน ความว่า ในเหตุ
เกิดกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่ง ในกามคุณเหล่านั้น. บทว่า สมุทาจาโร ได้แก่
กิเลสที่ยังละไม่ได้ เพราะยังฟุ้งซ่าน. บทว่า เอวํ สนฺตํ ความว่า มีอยู่
อย่างนี้แล. บทว่า สมฺปชาโน ได้แก่รู้ชัด โดยรู้ว่ากัมมัฏฐานยังไม่สมบูรณ์
ในทุติยวารมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ บทว่า เอวํ สนฺตํ แปลว่า มีอยู่อย่างนี้.
บทว่า เอวํ สมฺปชาโน ได้แก่ รู้ชัด โดยรู้ว่า กัมมัฏฐานสมบูรณ์
ก็เมื่อภิกษุนี้พิจารณาอยู่ว่า ฉันทราคะในกามคุณทั้ง 5 เราละได้แล้วหรือยังหนอ
ดังนี้ รู้ว่ายังละไม่ได้ ต้องประคองความเพียร จึงจะเพิกถอนฉันทราคะนั้นได้
ด้วยอนาคามิมรรค. แต่นั้น พิจารณาผลสมาบัติในลำดับแห่งมรรค ออกจาก
ผลสมาบัติแล้วพิจารณาอยู่จึงรู้ว่าละได้แล้ว. อธิบายว่า ย่อมรู้ชัด โดยรู้ว่า
ละฉันทราคะนั้นได้แล้ว.
บัดนี้ เมื่อจะตรัสบอกความเห็นแจ้งอรหัตตมรรค จึงตรัสคำมีอาทิว่า
ปญฺจ โข อิเม อานนฺท อุปาทานกฺขนฺธา ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น

บทว่า โส ปหียติ ความว่า ละมานะว่า มีในรูป ละฉันทะว่ามีในรูป
ละอนุสัยว่า มีในรูป. ความรู้ชัดในเวทนาเป็นต้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าว
แล้วอย่างนั้นนั่นและ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า อิเม โข เต อานนฺท
ธมฺมา
ดังนี้ ทรงหมายถึงธรรมคือสมถวิปัสสนา มรรคและผลที่ตรัสแล้วใน
หนหลัง. บทว่า กุสลายตฺติกา แปลว่า มาแต่กุศล. ความจริง กุศลธรรม
ทั้งหลาย เป็นทั้งกุศล เป็นทั้งธรรมที่เนื่องมาแต่กุศล อากิญจัญญายตนฌาน
เป็นกุศล เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เป็นทั้งกุศล เป็นทั้งธรรมที่เนื่องมา
แต่กุศล เนวสัญญานาสัญญานฌานเป็นกุศล โสดาปัตติมรรคเป็นทั้ง
กุศล เป็นทั้งธรรมที่เนื่องมาแต่กุศล ฯลฯ อนาคามิมรรค เป็นกุศล อรหัตต
มรรค เป็นทั้งกุศล เป็นทั้งธรรมที่เนื่องมาแต่กุศล ปฐมฌานก็จัดเป็นกุศล
เหมือนกัน ธรรมที่สัมปยุตด้วยปฐมฌานนั้น เป็นทั้งกุศล เป็นทั้งธรรมที่
เนื่องมาแต่กุศล ฯลฯ อรหัตตมรรค เป็นกุศล ธรรมที่สัมปยุตด้วยอรหัตต
มรรคนั้น เป็นทั้งกุศล เป็นทั้งธรรมที่เนื่องมาแต่กุศล บทว่า อริยา แปลว่า
ไม่มีกิเลส คือบริสุทธิ์. บทว่า โลกุตฺตรา แปลว่า ยอดเยี่ยม คือบริสุทธิ์
ในโลก. บทว่า อนวกฺกนฺตา ปาปิมตา แปลว่า อันมารผู้มีบาปหยั่งลงไม่
ได้. ก็มารย่อมไม่เห็นจิตของภิกษุ ผู้นั่งเข้าสมาบัติ 8 มีวิปัสสนาเป็นบาท
คือไม่อาจเพื่อจะรู้ว่าจิตของภิกษุนั้นอาศัยอารมณ์ชื่อนี้เป็นไป เพราะฉะนั้น
จึงตรัสว่า อนุวกฺกนฺตา. เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบทนี้ว่า
ตํ กึ มญฺญสิ. ความจริงในคณะก็มีอานิสงส์อย่างหนึ่ง เพื่อจะทรงแสดง
อานิสงส์นั้น จึงตรัสคำนี้. บทว่า อนุพนฺธิตุํ แปลว่า ติดตามไป คือแวด
ล้อม. ในบทว่า น โข อานนฺท นี้ มีวินิจฉัยว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระอริยสาวกผู้ได้สดับ แล้ว แต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมละอกุศล
เจริญกุศล ละธรรมที่มีโทษ เจริญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้บริสุทธิ์

ดังนี้ เป็นอันทำคนให้เป็นพหูสูต เหมือนทหารที่พรั่งพร้อมด้วยอาวุธ 5
อย่าง. ก็เพราะภิกษุแม้ถึงจะเรียนสุตตปริยัติ แต่ไม่ปฏิบัติอนุโลมปฏิปทา
สมควรแก่สุตตปริยัตินั้น เธอย่อมชื่อว่า ไม่มีอาวุธนั้น ส่วนภิกษุใดปฏิบัติ
ภิกษุนั้นแหละตั้งชื่อว่ามีอาวุธ ฉะนั้น เมื่อจะแสดงความนี้ว่า ไม่ควรจะติด
ตาม จึงตรัสว่า น โข อานนฺท ดังนี้.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงเรื่องที่ควรติดตาม จึงตรัสคำมีอาทิว่า ยา จ
โข
ดังนี้เป็นต้น. กถาวัตถุ 10 ในฐานะทั้ง 3 มาในพระสูตรนี้ ด้วยประการ
ฉะนี้. มาด้วยสามารถแห่งธรรมที่เป็นสัปปายะ และธรรมที่เป็นอสัปปายะ ดัง
ในประโยคว่า เราจึงกล่าวกถาเห็นปานนี้ด้วยประการฉะนี้. มาด้วยสามารถ
แห่งสุตตปริยัติ ดังในประโยค ว่า ยทิทํ สุตฺตํ เคยฺยํ แต่ในที่นี้มาแล้วโดย
บริบูรณ์ เพราะฉะนั้น เมื่อจะตรัสกถาวัตถุ 10 ในพระสูตรนี้ จึงตรัสรวม
ไว้ในฐานะนี้.
บัดนี้ เพราะเหตุที่ภิกษุบางพวกแม้จะอยู่รูปเดียว ก็ย่อมไม่เกิด
ประโยชน์ ฉะนั้นเพื่อจะทรงแสดงโทษในความอยู่โดดเดี่ยว. ทรงหมายถึงภิกษุ
บางพวกนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า เอวํ สนฺเต โข อานนฺท ดังนี้. ในบท
เหล่านั้น บทว่า เอวํ สนฺเต ความว่า เมื่ออยู่อย่างโดดเดี่ยวอย่างนั้น มีอยู่.
บทว่า สตฺถา หมายเอาศาสดาเจ้าลัทธิ นอกศาสนา. บทว่า อนฺวาวตฺตนฺติ
แปลว่า คล้อยตามคือเข้าไปหา. บทว่า มุจฺจํ นิกามยติ แปลว่า ปรารถนา
ความอยากพัน อธิบายว่า ให้เป็นไป. บทว่า อาจริยูปทฺทเวน ความว่า
ชื่อว่าอุปัททวะของอาจารย์ เพราะมีอันตรายคือกิเลสเกิดขึ้นในภายในของตน.
แม้ในอุปัททวะที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อวธึสุ นํ แปลว่า ฆ่า
ศาสดานั้นเสียแล้ว. ก็ท่านกล่าวถึงความตายจากความดี ด้วยบทว่า อวธึสุ นํ
นี้. บทว่า วินิปาตาย แปลว่า ให้ตกลงไปด้วยดี. ก็เพราะเหตุไร ท่านจึง
กล่าวอุปัททวะของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ว่า มีทุกข์เป็นวิบากกว่า มีผลเผ็ดร้อน

เป็นวิบากกว่า และเป็นไปเพื่อความตกต่ำ. แท้จริงการบวชภายนอกพระ
ศาสนามีลาภน้อย และในการบวชนอกศาสนานั้น ไม่มีทางจะให้เกิดคุณใหญ่
หลวงได้เลย จะมีก็เพียงแต่สมาบัติ 8 อภิญญา 5 เท่านั้น . เปรียบเหมือนผู้
ที่พลัดตกจากหลังลา ย่อมไม่มีทุกข์มาก จะมีก็เพียงแต่ตัวเปื้อนฝุ่นเท่านั้น
ฉันใด ในลัทธินอกศาสนาก็ฉันนั้น จะเสื่อมก็เพียงโลกิยคุณเท่านั้น ฉะนั้น
อุปัททวะสองอย่างข้างต้น ท่านจึงไม่กล่าวไว้อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้. แต่
การบวชในพระศาสนามีลาภมาก และในการบวชในพระศาสนานั้น มีคุณอัน
จะพึงได้บรรลุใหญ่หลวงนัก คือมรรค 4 ผล นิพพาน 1. ขัตติยกุมาร
ผู้อุภโตสุชาต ประทับบนคอช้าง เสด็จเลียบพระนคร เมื่อตกจากคอช้าง
ย่อมถึงทุกข์มาก ฉันใด ผู้ที่เสื่อมจากพระศาสนาก็ฉันนั้น ย่อมเสื่อมจาก
โลกุตตรคุณ 9 ประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวอุปัททวะของ
ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ไว้อย่างนี้.
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะอุปัททวะของผู้ประพฤติพรหมจรรย์
มีทุกข์เป็นวิบากมากกว่า อุปัททวะที่เหลือ หรือเพราะข้อปฏิบัติของผู้เป็นศัตรู
ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน ข้อปฏิบัติของผู้
เป็นมิตร ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ ฉะนั้น พึงประกอบการเรียกร้องด้วย
ความเป็นมิตร และไม่ใช่เรียกร้องด้วยความเป็นศัตรู ด้วยอรรถทั้งก่อนแล
หลักอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ บทว่า มิตฺตวตฺตาย แปลว่า ด้วยการปฏิบัติ
ฉันมิตร. บทว่า สปตฺตวตฺตาย แปลว่า ด้วยการปฏิบัติอย่างศัตรู. บทว่า
โอกฺกมฺม จ สตฺถุ สาสเน ความว่า เมื่อจงใจล่วงอาบัติ แม้เพียงทุกกฏ
และทุพภาษิต ชื่อว่า ประพฤติหลีกเลี่ยง เมื่อไม่จงใจล่วงเช่นนั้น ชื่อว่า
ไม่ประพฤติหลีกเลี่ยง. บทว่า น เต อหํ อานนฺท ตถา ปรกฺกมิสฺสามิ
ความว่า เราไม่ปฏิบัติในเธอทั้งหลายอย่างนั้น. บทว่า อามเก แปลว่า ยัง

ไม่สุก. บทว่า อามกมตฺเต แปลว่า ในภาชนะดิบ คือ ยังไม่แห้งดี. แท้จริง
ช่างหม้อ ค่อย ๆ เอามือทั้งสองประคองภาชนะดิบ ที่ยังไม่แห้งดี ยังไม่สุก
ด้วยคิดว่า อย่าแตกเลย. ขยายความว่า เราจักไม่ปฏิบัติในเธอทั้งหลาย
เหมือนช่างหม้อปฏิบัติในภาชนะดิบนั้น ด้วยประการฉะนี้. บทว่า นิคฺคยฺห
นิคฺคยฺห ความว่า เราจักไม่สั่งสอนหนเดียว แล้วนิ่งเสีย แต่จะตำหนิแล้ว
แล้วสั่งสอนคือพร่ำสอนบ่อย ๆ. บทว่า ปเวยฺห ปเวยฺห แปลว่า เราจักยก
ย่อง จักยกย่อง. เปรียบเหมือนช่างหม้อ คัดภาชนะที่เสีย ๆ ในภาชนะที่สุก
ออกรวมกองไว้ ทุบ ๆ คือเอาแต่ส่วนที่ดีเท่านั้น ฉัน ใด แม้เราก็ฉันนั้น
จักสนับสนุนยกย่อง กล่าวสอนตักเตือน พร่ำสอนบ่อย ๆ . บทว่า โย สาโร
โส ฐสฺสต
ิ ความว่า บรรดาเธอทั้งหลายที่เรากล่าวสอนอยู่ ผู้ใดมีแก่นสาร
คือ มรรคผล ผู้นั้น จักดำรงอยู่ได้ อีกอย่างหนึ่ง แม้โลกิยคุณ ก็ประสงค์
เอาว่า เป็นแก่นสารในที่นี้เหมือนกัน. คำที่เหลือในบททั้งปวง ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถามหาสุญญตาสูตรที่ 2

3. อัจฉริยัพภูตธัมมสูตร



[357] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวันอารามของ
อนาถบัณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันกลับจาก
บิณฑบาตภายหลังเวลาอาหารแล้ว นั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา เกิดข้อ
สนทนากันขึ้นในระหว่างดังนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง
ไม่น่าเป็นไปได้เลย. ข้อที่พระตถาคตมีอิทธานุภาพมาก ซึ่งเป็นเหตุให้ทรง
ทราบพระพุทธเจ้าในอดีตผู้ปรินิพพานแล้ว ทรงตัดปปัญจธรรมแล้ว ทรงตัด
ตอวัฏฏะแล้ว ทรงครอบงำวัฏฏะแล้ว ทรงล่วงทุกข์ทั้งปวงแล้ว ว่าพระผู้มี-
พระภาคเจ้านั้น ๆ มีพระชาติอย่างนี้บ้าง มีพระนามอย่างนี้บ้าง มีโคตรอย่างนี้
บ้าง มีศีลอย่างนี้บ้าง มีธรรมอย่างนี้บ้าง มีปัญญาอย่างนี้บ้าง มีวิหารธรรม
อย่างนี้บ้าง มีวิมุตติอย่างนี้บ้าง เมื่อภิกษุเหล่านั้นสนทนากันอย่างนี้ ท่าน
พระอานนท์ได้กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นดังนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระ-
ตถาคตทั้งหลาย ทั้งน่าอัศจรรย์และประกอบด้วยธรรนน่าอัศจรรย์พระตถาคต
ทั้งหลาย ทั้งไม่น่าเป็นไปได้และประกอบด้วยธรรมไม่น่าเป็นไปได้ ข้อสนทนา
กันในระหว่างของภิกษุเหล่านั้น ค้างอยู่เพียงเท่านี้.
[358] ฉะนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากสถานที่ทรง
หลีกเร้นอยู่ในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลานั่นแล้วจึงประทับนั่ง ณ
อาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้ แล้วตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนาเรื่องอะไรกัน และพวกเธอสนทนาเรื่องอะไร
กันในระหว่างค้างอยู่แล้ว.