เมนู

พวกภิกษุปรึกษากันถึงอุเทศ


[552] ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน ภิกษุเหล่า
นั้นจึงได้มีข้อปรึกษากันอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่พวกเราว่า.
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วง
ไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้วและสิ่ง
ที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคล
ใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่
คลอนแคลนในธรรมนั้น ๆได้ บุคคลนั้น
พึงเจริญธรรมนั้นเนือง ๆ ให้ปรุโปร่งเถิด
พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใคร
เล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความ
ผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อม
ไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบ ย่อม
เรียกบุคคลผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีความ
เพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน
นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ.

ดังนี้แล มิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกออกจาก
อาสนะเสด็จเข้าไปยังพระวิหาร ใครหนอแลจะพึงจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโดยย่อนี้ให้พิสดารได้. ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้น
ได้มีความคิดอย่างนี้ว่าท่านพระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดาและพวกภิกษุ

ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ผู้เป็นวิญญูชนยกย่อง สรรเสริญแล้ว ก็ท่านพระ-
มหากัจจานะ พอจะจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
โดยย่อนี้ให้พิสดารได้ ถ้ากระไร พวกเราพึงเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะยัง
ที่อยู่แล้ว พึงสอบถามเนื้อความนี้กะท่านพระมหากัจจานะเถิด.
[553] ต่อนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นจึงเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะ
ยังที่อยู่ แล้วได้ทักทายปราศรัยกับท่านพระมหากัจจานะ ครั้นผ่านคำทักทาย
ปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบ
ร้อยแล้วได้กล่าวกะท่านพระมหากัจจานะดังนี้ว่า ดูก่อนท่านกัจจานะ พระผู้มี
พระเจ้าทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่พวกกระผมว่า
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
ฯลฯ พระมุนีผู้สงบ ย่อมเรียกบุคคล...นั้น
แลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ
ดังนี้แล มิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกจากอาสนะเสด็จเข้าไป
ยังพระวิหาร ดูก่อนท่านกัจจานะ ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้ว
ไม่นาน พวกกระผมนั้นได้มีข้อปรึกษากันอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้ง
หลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่พวกเราว่า
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
ฯลฯ พระมุนีผู้สงบ ย่อมเรียกบุคคล...นั้น
แลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ
ดังนี้แล มิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกจากอาสนะเสด็จเข้าไป
ยังพระวิหาร ใครหนอแลจะพึงจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงโดยย่อนี้ให้พิสดารได้ ดูก่อนท่านกัจจานะ พวกกระผมนั้นได้มีความ

คิดอย่างนี้ว่า ท่านพระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดาและพวกภิกษุผู้ร่วม
ประพฤติพรหมจรรย์ผู้เป็นวิญญูชนยกย่อง สรรเสริญแล้ว ก็ท่านพระมหา-
กัจจานะ พอจะจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโดย
ย่อนี้ให้พิสดารได้ ถ้ากระไร พวกเราพึงเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะยังที่อยู่
แล้วพึงสอบถามเนื้อความนี้กะท่านพระมหากัจจานะเถิด ขอท่านพระมหา-
กัจจานะโปรดจำแนกเนื้อความเถิด.

อุปมาด้วยผู้ต้องการไม้แก่น


[554] ท่านพระมหากัจจานะกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนบุรุษผู้ต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้
พึงสำคัญแก่นของต้นไม้ใหญ่ที่มีแก่นตั้งอยู่ว่า ควรหาได้ที่กิ่งและใบ ละเลย
รากและลำต้นเสีย ฉันใด ข้ออุปไมยนี้ ก็ฉันนั้น เมื่อพระศาสดาประทับอยู่
พร้อมหน้าท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านพากันสำคัญเนื้อความนั้นว่า พึงสอบ
ถามเราได้ ล่วงเลยพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเสีย ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้ง
หลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงรู้ธรรมที่ควรรู้. ทรงเห็นธรรม
ที่ควรเห็น ทรงมีจักษุ มีญาณ มีธรรม มีความประเสริฐ ตรัส บอก นำออก
ซึ่งประโยชน์ ประทานอมตธรรม ทรงเป็นเจ้าของธรรม ทรงดำเนินตามนั้น
และก็เป็นกาลสมควรแก่พระองค์แล้วที่ท่านทั้งหลายจะพึงสอบถามเนื้อความนี้
กะพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์แก่เราอย่างใด พวก
ท่านพึงทรงจำไว้อย่างนั้นเถิด.
ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ดูก่อนท่านกัจจานะ แท้จริง พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าย่อมทรงรู้ธรรมที่ควรรู้ ทรงเห็นธรรมที่ควรเห็น ทรงมีจักษุ มี
ญาณ มีธรรม มีความประเสริฐ ตรัส บอก นำออกซึ่งประโยชน์ ประทาน