เมนู

อรรถกถาอนุรุทธสูตร


อนุรุทธสูตร มีบทเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวมาหํสุ ความว่า เข้าไปหาในเวลา
ที่อุบาสกนั้น ไม่สบาย จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า อปณฺณถํ แปลว่า ไม่ผิด
พลาด. บทว่า เอกตฺถ ได้แก่ เป็นทั้งเจโตวิมุตติ ที่หาประมาณมิได้ หรือ
เจโตวิมุตติที่เป็นมหัคคตะ. ท่านถือเอาคำนี้ว่าฌานก็เรียกอย่างนั้น เพราะความ
ที่จิตนั้น แหละมีอารมณ์เป็นหนึ่ง.
บทว่า ยาวตา เอกํ รุกฺขมูลํ มหคฺคตนฺติ ผริตฺวา อธิมุจฺจิตฺวา
วิหรติ
ความว่า น้อมใจแผ่ไปสู่มหัคคตฌานในกสิณนิมิตนั้น ปกคลุมโคน
ต้นไม้แห่งหนึ่ง เป็นที่พอประมาณโดยกสิณนิมิตอยู่. บทว่า มหคฺคตํ ความว่า
ก็ความผูกใจไม่มีแก่ภิกษุนั้น ท่านจึงกล่าวบทนี้ไว้ด้วยสามารถแห่งความเป็น
ไปแห่งมหัคคตฌานอย่างเดียว. ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้. บทว่า อิมินา โข
เอตํ คหปติ ปริยาเยน
ความว่า ด้วยเหตุนี้. ก็ในข้อนี้มีวินิจฉัยว่า ก็
นิมิตแห่งพรหมวิหารที่ท่านกล่าวไว้ว่า เป็นอัปปมาณานี้ ย่อมไม่ควร คือยัง
ไม่เกิดการแผ่ขยาย และทั้งฌานเหล่านั้น ก็ยังไม่เป็นบาทแห่งอภิญญาหรือ
นิโรธ ก็ฌานที่เป็นบาทแห่งวิปัสสนา ย่อมเป็นทั้งบาทแห่งวัฏฏะ และเป็น
การก้าวลงสู่ภพ. แต่นิมิตแห่งฌานที่เป็นกสิณ ซึ่งท่านกล่าวว่า เป็นมหัคคตะ
ย่อมควร คือย่อมเกิดการแผ่ขยายออกไป และย่อมก้าวล่วงได้ ฌานที่เป็น
บาทแห่งอภิญญา ย่อมเป็นบาทแห่งนิโรธด้วย เป็นบาทแห่งวัฏฏะด้วย ทั้ง
ก้าวลงสู่ภพได้ด้วย. ธรรมเหล่านี้ มีอรรถต่างกันอย่างนี้ และมีพยัญชนะต่าง
กันอย่างนี้ คือ เป็นอัปปมาณา และเป็นมหัคคตะ.

ก็บัดนี้ เมื่อจะแสดงเหตุแห่งการออกจากมหัคคตาสมาบัติแล้วเข้าสู่ภพ
ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า จตสฺโส โข อิมา ดังนี้. บทว่า ปริติตาภา
ความว่า ก็ความผูกใจของภิกษุผู้น้อมใจแผ่ไปแล้วรู้อยู่ ยังมีอยู่ แต่ภิกษุผู้ยัง
ต้องเจริญฌานอันเป็นเหตุแห่งการบังเกิดในหมู่เทพชั้นปริตตาภาทั้งหลาย ท่าน
จึงกล่าวไว้อย่างนี้ . ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้ เทพชั้นปริตตา มีแสงสว่างริบหรี่
ก็มี แสงสว่างจ้าก็นี้. เทพชั้นอัปปมาณาภา แสงสว่างริบหรี่ก็มี มีแสงสว่าง
จ้าก็มี.
ถามว่า ข้อนี้ เป็นอย่างไร. ตอบว่า ภิกษุทำบริกรรมในกสิณ มี
ประมาณเท่ากระด้ง หรือมีประมาณเท่าขัน ทำสมาบัติให้เกิดแล้ว มีความ
ชำนาญอันสะสมไว้แล้วโดยอาการทั้ง 5 เพราะธรรมที่เป็นข้าศึกยังไม่บริสุทธิ์
ดีกัน. เธอใช้สอยสมาบัติที่ยังไม่ชำนาญนั่นแหละ แล้วตั้งอยู่ในฌานที่ยังไม่
คล่องแคล่ว ทำกาละแล้วย่อมเกิดในหมู่เทพชั้นปริตตาภาทั้งหลาย ทั้งวรรณะ
ของเธอก็น้อยและเศร้าหมอง. ส่วนภิกษุผู้มีความชำนาญ อันสั่งสมไว้แล้วโดย
อาการทั้ง 5 ใช้สอยสมาบัติอันบริสุทธิ์ดี ดังอยู่ในฌานที่คล่องแคล่ว ทำกาละ
แล้ว ย่อมบังเกิดในเทพชั้นปริตตาภา เพราะธรรมที่เป็นข้าศึกบริสุทธิ์ดี ทั้ง
วรรณะของเธอมีนิดหน่อยและบริสุทธิ์. ด้วยประการดังกล่าวมานี้ เทวดา
ชั้นปริตตาภา จึงจัดว่ามีทั้งแสงริบหรี่ มีทั้งแสงสว่างเจิดจ้า. ก็ข้อที่ภิกษุทำ
บริกรรมในกสิณอันไพบูลย์ แล้วยังสมาบัติให้เกิด มีความคล่องแคล่วอันสั่ง
แล้ว ด้วยอาการทั้ง 5 ดังนี้ ทั้งหมดพึงทราบเช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วใน
ก่อน. ด้วยประการดังกล่าวมานี้ เทวดาชั้นอัปปมาณาภา จึงจัดว่า มีทั้งแสง
ริบหรี่ มีทั้งแสงสว่างเจิดจ้า.

บทว่า วณฺณนานตฺตํ แปลว่า มีสีกายต่างกัน. บทว่า โน จ
อาภานตฺตํ
ได้แก่. ไม่ปรากฏว่า มีแสงสว่างต่างกัน. บทว่า อจฺจินานตฺตํ
ความว่า มีเปลวต่างกัน คือ ยาวบ้าง สั้นบ้าง เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง.
บทว่า ยตฺถ ยตฺถ ความว่า อยู่อาศัย คืออยู่ประจำในที่ใดที่หนึ่ง
เช่น อุทยานวิมานต้นกัลปพฤกษ์ ริมน้ำ และสระโบกขรณี. บทว่า อภิรมนฺติ
แปลว่า ย่อมยินดี คือไม่เบื่อหน่าย. บทว่า การเชน ได้แก่ หาบอย่างใด
อย่างหนึ่ง เช่น หาบข้าวยาคู หาบภัต หาบน้ำมัน หาบน้ำอ้อย หาบปลา
และหาบเนื้อ. ปาฐะว่า กาเจน ดังนี้ ก็มี. ความก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า
ปิฏเกน แปลว่า ด้วยตะกร้า. บทว่า ตตฺถ ตตฺเถว ความว่า กลุ่มแมลงวัน
ที่เขานำออกจากแหล่งที่หาได้ง่าย เช่น เนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อยเป็นต้น แล้ว
นำไปสู่แหล่งที่หนาแน่นไปด้วยเกลือและปลาเน่าเป็นต้น ย่อมไม่เกิดความคิด
อย่างนี้ว่า เมื่อก่อนที่อยู่ของเราสบาย เราอยู่เป็นสุขในที่นั้น เกลือทำให้เรา
ลำบาก ในที่นี้ หรือว่า กลิ่นปลาเน่าทำให้เราปวดหัว ยอมยินดีในที่นั้น ๆ
ทีเดียว. บทว่า อาภา แปลว่า สมบูรณ์ด้วยแสงสว่าง. บทว่า ตทงฺเคน
ได้แก่ องค์แห่งการเข้าถึงภพนั้น อธิบายว่า ได้แก่ เหตุแห่งการเข้าถึงภพ.
บัดนี้ เมื่อจะถามถึงเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า โก นุ โข
ภนฺเต
ดังนี้. บทว่า กายทุฏฺฐุลฺลํ ได้แก่ ความเกียจคร้านทางกาย. บทว่า
ฌายโต แปลว่า ไฟติดรุ่งเรืองอยู่. บทว่า ทีฆรตฺตํ โข เม ความว่า
ได้ยินว่า พระเถระบำเพ็ญบารมี บวชเป็นฤษี ยังสมาบัติให้เกิด ได้กำเนิด
ในพรหมโลก 300 ครั้ง ติดต่อกันไป คำนี้ท่านกล่าวหมายถึงพระเถระรูปนั้น
แหละ. สมดังที่ท่านกล่าวเป็นคาถาประพันธ์ไว้ดังนี้ว่า

เมื่อก่อนเราแสวงหาสังขตธรรม ที่
คงที่ (ไม่วุ่นวาย) บวชเป็นฤษี เที่ยวไป
แล้วตลอด 300 ปี.

คำที่เหลือในบททั้งปวง ง่ายทั้งนั้น ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอนุรุทธสูตร ที่ 7

8. อุปักกิเลสสูตร



[439] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารโฆสิตาราม กรุง
โกสัมพี สมัยนั้นแล พวกภิกษุในกรุงโกสัมพีเกิดขัดใจทะเลาะวิวาทกัน เสียดสี
กันและกันด้วยฝีปากอยู่.
[440] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้น
แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอยืน
เรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พวกภิกษุในกรุงโกสัมพีนี้ เกิดขัดใจทะเลาะวิวาทกัน เสียดสีกันและกันด้วย
ฝีปากอยู่ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ โปรดอาศัยความอนุเคราะห์ เสด็จเข้าไปยัง
ที่อยู่ของภิกษุเหล่านั้นเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับ ด้วยดุษณีภาพ ต่อนั้น
ได้เสด็จเข้าไปยังที่อยู่ของภิกษุเหล่านั้น ครั้นแล้วได้ตรัสกะภิกษุเหล่านั้นดังนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่าเลย อย่าขัดใจ อย่าทะเลาะ อย่าแก่งแย่ง อย่าวิวาท
กันเลย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลพระผู้มี
พระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเจ้าของ
ธรรม ทรงยับยั้งก่อน ขอได้โปรดทรงเป็นผู้ขวนขวายน้อย ทรงประกอบ
เนือง ๆ แต่สุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระองค์ยังจักปรากฏอยู่
ด้วยการขัดใจ ทะเลาะ แก่งแย่ง วิวาทกันเช่นนี้.
[441] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะภิกษุเหล่านั้นแม้ในวาระที่ 2
ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่าเลย อย่าขัดใจ อย่าทะเลาะ อย่าแก่งแย่ง
อย่าวิวาทกันเลย ภิกษุรูปนั้นก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ในวาระที่ 2