เมนู

อิ่มหนำสำราญ ด้วยของเคียวของฉัน อันประณีตด้วยมือของตน พอเห็นท่าน
พระอนุรุทธะฉันเสร็จวางบาตรในมือแล้ว จึงถืออาสนะต่ำที่หนึ่งมานั่งลง ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้เรียนถามท่านพระอนุรุทธะดังนี้ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุผู้เถระทั้งหลายมาหากระผมที่นี่แล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า
ดูก่อนคฤหบดี ท่านจงเจริญเจโตวิมุตติที่หาประมาณมิได้เถิด พระเถระบางพวก
กล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนคฤหบดี ท่านจงเจริญเจโตวิมุตติที่เป็นมหัคคตะเถิด
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรม 2 ข้อนี้คือเจโตวิมุตติที่หาประมาณมิได้และเจโตวิมุตติ
ที่เป็นมหัคคตะ ต่างกันทั้งอรรถและพยัญชนะหรือ หรือว่ามีอรรถเป็นอัน
เดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
ท่านพระอนุรุทธะกล่าวว่า ดูก่อนคฤหบดี ถ้าอย่างนั้น ปัญหาใน
ธรรม 2 ข้อนี้จงแจ่มแจ้งกะท่านก่อน แต่นี้ไป ท่านจักได้มีความเข้าใจไม่ผิด.
ป. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมมีความเข้าใจอย่างนี้ว่า ธรรม 2 ข้อนี้
คือ เจโตวิมุตติที่หาประมาณมิได้และเจโตวิมุตติที่เป็นมหัคคตะ มีเนื้อความเป็น
อันเดียวกัน ต่างกันแค่พยัญชนะเท่านั้น.

ว่าด้วยเจโตวิมุตติปัญหา


[422] อ. ดูก่อนคฤหบดี ธรรม 2 ข้อนี้ คือ เจโตวิมุตติที่หา
ประมาณมิได้ และเจโตวิมุตติที่เป็นมหัคคตะ ต่างกันทั้งอรรถและพยัญชนะ
ท่านพึงทราบประการที่ต่างกันนั้นโดยปริยายดังต่อไปนี้ ดูก่อนคฤหบดี ก็
เจโตวิมุตติที่หาประมาณมิได้เป็นไฉน ดูก่อนคฤหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้มี
ใจสหรคตด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ แผ่ไปตลอดทิศที่สอง ทิศที่สาม
ทิศที่สี่อยู่ เช่นนั้นเหมือนกัน และแผ่ไปตลอดทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง
ทิศเบื้องขวางอยู่ ด้วยอาการเดียวกัน ชื่อว่ามีใจสหรคตด้วยเมตตาอย่างไพบูลย์

เป็นมหัคคตะมีอารมณ์หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไป
ตลอดโลกอันมีสัตว์ทั้งปวงในที่ทุกสถาน โดยความมีอยู่ในที่ทั้งปวง มีใจ
สหรคตด้วยกรุณา...มีใจสหรคตด้วยมุทิตา... มีใจสหรคตด้วยอุเบกขา แผ่
ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ แผ่ไปตลอดทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่อยู่ เช่นนั้น
เหมือนกัน และแผ่ไปตลอดทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องขวางอยู่
ด้วยอาการเดียวกัน ชื่อว่ามีใจสหรคตด้วยอุเบกขาอย่างไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ
มีอารมณ์หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลกอันมี
สัตว์ทั้งปวง ในที่ทุกสถาน โดยความมีอยู่ในที่ทั้งปวง ดูก่อนคฤหบดี นี้ เรียก
ว่า เจโตวิมุตติที่หาประมาณมิได้.
[423] ดูก่อนคฤหบดี ก็เจโตวิมุตติที่เป็นมหัคคตะเป็นไฉน ดูก่อน
คฤหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้. เท่าที่น้อมใจแผ่ไปสู่โคนไม้แห่งหนึ่งว่า เป็น
แดนมหัคคตะอยู่ นี้เรียกว่า เจโตวิมุตติที่เป็นมหัคคตะ และเท่าที่น้อมใจแผ่
ไปสู่โคนไม้สองแห่งหรือสามแห่งว่า เป็นแดนมหัคคตะอยู่ นี้ เรียกว่า เจโต-
วิมุตติที่เป็นมหัคคตะ.
ดูก่อนคฤหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เท่าที่น้อมใจแผ่ไปสู่เขตบ้าน
แห่งหนึ่งว่า เป็นแดนมหัคคตะอยู่ นี้เรียกว่า เจโตวิมุตติที่เป็นมหัคคตะ และ
เท่าที่น้อมใจแผ่ไปสู่เขตบ้านสองแห่งหรือสามแห่งว่า เป็นแดนมหัคคตะอยู่
นี้ก็เรียกว่า เจโตวิมุตติที่เป็นมหัคคตคะ.
ดูก่อนคฤหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เท่าที่น้อมใจแผ่ไปสู่มหาอาณา-
จักรหนึ่งว่า เป็นแดนมหัคคตะอยู่ นี้ก็เรียกว่า เจโตวิมุตติที่เป็นมหัคคตะ
และเท่าที่น้อมใจแผ่ไปสู่มหาอาณาจักรสองหรือสามมหาอาณาจักรว่า เป็นแดน
มหัคคตะอยู่ นี้ก็เรียกว่า เจโตวิมุตติที่เป็นมหัคคตะ.

ดูก่อนคฤหบดี อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เท่าที่น้อมใจแผ่ไปตลอด
ปฐพีมีสมุทรเป็นขอบเขตว่า เป็นแดนมหัคคตะอยู่ นี้ก็เรียกว่า เจโตวิมุตติ
ที่เป็นมหัคคตะ.
ดูก่อนคฤหบดี โดยปริยายนี้แล ท่านพึงทราบประการที่ธรรม 2
ข้อนี้ ต่างกันทั้งอรรถและพยัญชนะ.

ว่าด้วยการเข้าถึงภพ 4 อย่าง


[424] ดูก่อนคฤหบดี การเข้าถึงภพนี้มี อย่างแล 4 อย่างเป็น
ไฉน ดูก่อนคฤหบดี ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ น้อมใจแผ่ไปสู่อารมณ์มี
แสงสว่างเล็กน้อยอยู่ เธอตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดา
พวกมีรัศมีเล็กน้อย แต่บางรูปน้อมใจแผ่ไปสู่อารมณ์มีแสงสว่างหาประมาณ
มิได้อยู่ เธอตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาพวกมีรัศมีหา
ประมาณนี้ได้ บางรูปน้อมใจแผ่ไปสู่อารมณ์มีแสงสว่างเศร้าหมองอยู่ เธอตาย
ไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาพวกมีรัศมีเศร้าหมอง แต่บางรูป
น้อมใจแผ่ไปสู่อารมณ์มีแสงสว่างบริสุทธิ์อยู่ เธอตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายของเทวดาพวกมีรัศมีบริสุทธิ์ ดูก่อนคฤหบดี นี้แล การเข้าถึงภพ
4 อย่าง.
[425] ดูก่อนคฤหบดี มีสมัยที่พวกเทวดาประชุมร่วมกัน เทวดา
เหล่านั้น ย่อมปรากฏมีสีกายต่างกัน แต่ไม่ปรากฏมีรัศมีต่างกัน ดูก่อนคฤหบดี
เปรียบเหมือนบุรุษตามประทีปน้ำมัน มากดวง เข้าไปสู่เรือนหลังหนึ่ง ประทีป
น้ำมันเหล่านั้นปรากฏมีเปลวต่างกัน แต่ไม่ปรากฏมีแสงสว่างต่างกัน ฉันใด
ดูก่อนคฤหบดี ฉันนั้นเหมือนกันแล มีสมัยที่พวกเทวดาประชุมร่วมกัน เทวดา
เหล่านั้น ย่อมปรากฏมีสีกายต่างกัน แต่ไม่ปรากฏมีรัศมีต่างกัน.