เมนู

อรรถกถากินติสูตร



กินติสูตร

เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในกินติสูตรนั้น ดังต่อไปนี้. บทว่า กุสินารายํ
ได้แก่ในมณฑลประเทศที่มีชี่ออย่างนี้ บทว่า พลิหรเณ ความว่า ชนทั้งหลาย
นำพลีมาเซ่นสรวงภูตทั้งหลายในไพรสณฑ์นั้น เพราะฉะนั้นไพรสณฑ์นั้น
จึงเรียกว่า เป็นที่นำพลีมาเซ่นสรวง. บทว่า จีวรเหตุ แปลว่า เพราะ
เหตุจีวร อธิบายว่า หวังได้จีวร. บทว่า อิติ ภวาภวเหตุ ความว่า
พวกเธอได้มีความคิดอย่างนี้หรือว่า พระสมณโคดมแสดงธรรมด้วยความหวัง
ว่า เราจักอาศัยบุญกิริยาวัตถุอันสำเร็จด้วยการแสดงธรรมแล้ว จักได้เสวยสุข
ในภพนั้น ๆด้วยประการอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ มีว่าสติปัฏฐาน
4 ดังนี้เป็นต้น ทั้งโลกิยะและโลกุตระทีเดียว. บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ใน
ธรรม 37 ประการนั้น. บทว่า สิยุํ แปลว่า พึงเป็น. บทว่า อภิธมฺเม ได้
แก่ ในธรรมอันวิเศษยิ่ง. อธิบายว่า ในโพธิปักขิยธรรม 37 ประการเหล่านี้
บทว่า ตตฺร เจ แม้นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถว่า โพธิปักขิยธรรม
ทั้งหลายเท่านั้น. ในคำนี้ที่ว่า อตฺถโต เจว นานํ พฺยญฺชนโต จ นานํ
ดังนี้ เมื่อกล่าวว่า กายสติปัฏฐาน เวทนาสติปัฏฐาน เป็นการต่างกันโดยอรรถ
แต่เมื่อกล่าวว่า (กาย เวทนา) ในสติปัฏฐาน ดังนี้ ย่อมชื่อว่าต่างกันโดย
พยัญชนะ. บทว่า ตทิมินาปิ ความว่า พึงเทียบอรรถและพยัญชนะแล้ว
ชี้ถึงความที่อรรถถือเอาความเป็นอย่างอื่น และพยัญชนะที่ลงไว้ผิดว่า ท่าน

ทั้งหลายจงทราบ (ความต่างกัน) นั้น ด้วยเหตุแม้นี้ อรรถและพยัญชนะ
เป็นเหตุให้เข้าใจความนั่นแล เป็นธรรมและวินัย ในคำว่า โย ธมฺโม โย
วินโย
นี้.
ในคำว่า อตฺถโต หิ โข สเมติ นี้ ท่านถือเอาว่าสตินั่นแล เป็น
สติปัฏฐาน. บทว่า ต่างกันโดยพยัญชนะ ความว่า พยัญชนะอย่างเดียวเท่านั้น
ลงไว้ผิดว่า สติปัฏฐาโน หรือ สติปัฏฐานา ดังนี้. บทว่า อปฺปมตฺตกํ โข
ความว่า ครั้นพอถึงพระสูตร พยัญชนะย่อมชื่อว่าไม่เป็นประมาณเลย แม้ใน
การยกพยัญชนะที่มีเสียงเบา ทำให้มีเสียงหนัก (คือพยัญชนะที่เป็นธนิต)
อาจกลายเป็นพยัญชนะดับได้. ในข้อนี้ มีเรื่องต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง
ได้ฟังมาว่า พระเถระขีณาสพรูปหนึ่ง อยู่ในวิชยารามวิหาร เมื่อนำ
เอาพระสูตรมาบอกกรรมฐานแก่พระภิกษุ 2 รูป กล่าวให้มีเสียงหนักไปว่า
" ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับย่อมกล่าวว่า สมุทธะ สมุทธะ ดังนี้. ภิกษุ
รูปหนึ่งกล่าวว่า อะไร ชื่อสมุทธะขอรับ. พระเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุเมื่อกล่าว
ว่า สมุทธะก็ดี กล่าวว่า สมุทธะก็ดี พวกเราก็ย่อมรู้ว่า (หมายถึง) ทะเล
น้ำเค็มนั่นแหละ. ก็พวกเธอไม่ค้นหาเนื้อความ ค้นหาแต่พยัญชนะ พวกเธอ
จงไปพิสูจน์พยัญชนะ ในสำนักของภิกษุผู้ชำนาญเรื่องพยัญชนะในมหาวิหาร
เถิด ดังนี้แล้ว ไม่บอกกรรมฐานเลย ลุกไปเสีย. ครั้นต่อมาท่านพระเถระ
ขีณาสพองค์นั้น ให้ตีกลองในมหาวิหาร (เป็นสัญญาณให้มาประชุมกัน) แล้ว
กล่าวปัญหาในมรรค 4 แก่หมู่ภิกษุแล้วก็นิพพาน. พอถึงพระสูตร พยัญชนะ
ชื่อว่าไม่เป็นประมาณอย่างนี้.
แต่พอถึงพระวินัย จะชื่อว่าไม่เป็นประมาณไม่ได้. เพราะแม้การ
บวชเป็นสามเณรต้องบริสุทธิ์ 2 อย่าง (คืออรรถและพยัญชนะ) จึงจะควร.
แม้กรรมมีการอุปสมบทเป็นต้น ก็ย่อมกำเริบได้ ด้วยเหตุเพียงทำเสียงเบา

ให้เป็นเสียงหนักเป็นต้น. แต่ในที่นี้ท่านกล่าวคำนี้โดยหมายถึงพยัญชนะใน
พระสูตร.
ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ในจตุตถวาร กล่าวแย้งกันเพราะเหตุ
ไร ? ตอบว่า กล่าวแย้งกันเพราะสัญญาว่า เราย่อมกล่าวสตินั่นแหละว่าสติ-
ปัฏฐาน ท่านผู้นี้กล่าวว่า กายสติปัฏฐาน. แม้ในพยัญชนะก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า น โจทนาย โจทิตพฺพํ ได้แก่ อย่าเพ่งโจทด้วยความต้อง
การโจท เพราะบุคคลบางคนถูกเขาพูดทักว่า มีต่อมเท่าเมล็ดผักกาดที่หน้า
ผาก (ของท่าน) ก็กล่าวว่า ท่านเห็นต่อมเท่าเมล็ดผักกาดที่หน้าผากของเรา
(แต่) ไม่เห็นหัวฝีใหญ่เท่าลูกตาลสุกที่หน้าผากของตัว ดังนี้. เพราะฉะนั้น
ตัวบุคคลควร (จะต้อง) สอบสวน. บทว่า ไม่มีทิฏฐิมั่น คือไม่มีทิฏฐิใน
การยึดถือ คือไม่ถือมั่น เหมือนใส่จระเข้ไว้ในหัวใจ.
บทว่า อุปฆาโต ความว่า ก่อความทุกข์ เพราะความเป็นคนดุ
เหมือนถูกเสียดสีที่แผล. บทว่า สุปฏินิสฺสคฺคี สละคืนได้ง่าย ความว่า
แม้กล่าวหนึ่งวาระสองวาระว่า ผมต้องอาบัติชื่อไร ต้องเมื่อไร ดังนี้ หรือ
ว่า ท่านต้องอาบัติแล้ว อุปัชฌาย์ของท่านต้องอาบัติแล้ว ดังนี้ แล้วเตือน
ให้ระลึกว่า ท่านขอรับ ท่านต้องอาบัติชื่อโน้น ในวันชื่อโน้น ท่านจงค่อยๆ
นึกเถิด ดังนี้ จักสละได้เพียงนั้นทีเดียว. บทว่า วิเหสา ความลำบาก
ได้แก่ ความลำบากกายและใจ ของบุคคลผู้ชักเอาความและเหตุเป็นอันมากมา.
บทว่า สกฺโกมิ ความว่า ก็บุคคลเห็นปานนี้ได้โอกาสแล้ว เมื่อใครกล่าวว่า
ท่านต้องอาบัติแล้วขอรับ จะกล่าวว่าต้องเมื่อไร ในเรื่องอะไร เมื่อเขากล่าว

ว่า ในวันโน้น ในเรื่องโน้น จะกล่าวว่า ผมนึกไม่ได้ดอกคุณ. แต่นั้นอัน
คนอื่นกล่าวมากมายให้ระลึกว่า ท่านจงค่อย ๆ นึกเถิดขอรับ ดังนี้ พอระลึก
ได้ก็ย่อมสละเสีย (คือปลงอาบัติ). เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
สกฺโกมิ ดังนี้ พึงทราบเนื้อความในทุก ๆ บทโดยนัยนี้.
บทว่า อุเปกขา นาติมญฺญิตพฺพา ไม่พึงละเลย อุเบกขา
ความว่า ไม่พึงล่วงเลยอุเบกขา อธิบายว่า พึงทำ พึงให้อุเบกขาเกิดขึ้น.
ก็บุคคลใดแม้เห็นบุคคลปานนี้ ยืนถ่ายปัสสาวะก็พูดว่า ควรนั่งมิใช่หรือคุณ
ดังนี้ บุคคลนั้น ชื่อว่า ล่วงเลยอุเบกขา.
บทว่า วจีสงฺขาโร แปลว่า พูดยุแหย่ อธิบายว่า ชักนำคำที่คน
พวกนี้กล่าวในระหว่างคนพวกโน้น ชักนำคำที่คนพวกโน้นกล่าวในระหว่าง
คนพวกนี้ว่า ท่านทั้งหลายถูกคนพวกนี้กล่าวอย่างนี้ ๆ. ตรัสภาวะที่จิตไม่ยิน
ดีด้วยบททั้งหลาย มีอาทิว่า ทิฏฺฐิปลาโส ดังนี้. บทว่า ตํ ชานมาโน
สมาโน ครเหยฺย
ความว่า พระบรมศาสดาเมื่อทรงทราบเรื่องนั้นพึงทรง
ตำหนิพวกเรา. บทว่า เอตํ ปนาวุโส ธมฺมํ ได้แก่ ธรรม คือความ
ทะเลาะเบาะแว้งกันนั้น. บทว่า ตญฺเจ ได้แก่ ภิกษุผู้กระทำสัญญัติ (การ
ประกาศให้รู้) รูปนั้น. บทว่า เอวํ พฺยากเรยฺย ความว่า เมื่อจะแสดง
เหตุที่ภิกษุกระทำสัญญัติ ไม่พูดว่าภิกษุเหล่านั้น เราให้ตั้งอยู่ในความบริสุทธิ์
แล้วดังนี้ นั่นแหละ พึงพยากรณ์อย่างนี้. สาราณียธรรมท่านหมายว่า ธรรม
ในคำที่นี้ว่า ตสฺสาหํ ธมฺมํ สุตฺวา ดังนี้. ก็ในบทมีอาทิว่า น เจ อตฺตานํ
ดังนี้ ภิกษุผู้กล่าวว่า ไฟประมาณเท่าพรหมโลกนี้ ตั้งขึ้นแล้ว เว้นเราเสีย
ใครจะสามารถให้ไฟนั้นดับได้ ดังนี้ ชื่อว่า ยกตน. ภิกษุผู้พูดว่า คน

ประมาณเท่านี้เทียวพูดกันไปก็ไม่ได้โอกาส ชื่อว่าผู้สามารถจะยังเรื่องราว
ประมาณเท่านี้ให้ดับลง ย่อมไม่มีแม้สักคนเดียว ดังนี้ ชื่อว่า ข่มคนอื่น
ภิกษุนี้ย่อมไม่ทำแม้ทั้งสองอย่าง. ก็การพยากรณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ชื่อว่า ธรรม ในที่นี้. การกระทำสัญญัติของภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่า ธรรม
อันสมควร. ภิกษุนี้ชื่อว่า พยากรณ์ ธรรมอันสมควรแก่ธรรมนั้น คำว่า
น จ โกจิ สหธมฺมิโก ความว่า การกล่าวของอาจารย์หรือการกล่าวตาม
ของศิษย์ไร ๆ อื่นอันสมแก่เหตุที่ภิกษุนั้นกล่าวด้วยบททั้งหลาย ไม่น่าจะต้อง
ตำหนิ บทที่เหลือในที่ทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.
จบ อรรถกถากินติสูตรที่ 3

4. สามคามสูตร



ว่าด้วยนครนถ์แตกเป็น 2 พวกเพราะการตายของนิครนถ์นาฏบุตร



[51] ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่หมู่บ้านสามคามสักกชนบท
ก็สมัยนั้น นิครนถ์นาฏบุตรตายลงใหม่ ๆ ที่เมืองปาวา เพราะการตายของ
นิครนถ์นาฏบุตรนั้น พวกนิครนถ์แตกกันเป็น 2 พวก เกิดขัดใจทะเลาะ
วิวาทกัน เสียดสีกันและกันด้วยฝีปากอยู่ว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ เรา
รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ไฉนท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ท่านปฏิบัติผิด เรา
ปฏิบัติถูก ของเรามีประโยชน์ ของท่านไม่มีประโยชน์ คำที่ควรพูดก่อน
ท่านพูดทีหลัง คำที่ควรพูดทีหลัง ท่านพูดก่อน ข้อปฏิบัติที่เคยชินอย่างดียิ่ง
ของท่านกลายเป็นผิด แม้วาทะของท่าน ที่ยกขึ้นมา เราก็ข่มได้ ท่านจงเที่ยวแก้
คำพูดหรือจงถอนคำพูดเสียถ้าสามารถ นิครนถ์เหล่านั้นทะเลาะกันแล้ว ความ
ตายประการเดียวเท่านี้นั้นเป็นสำคัญเป็นไปในพวกนิครนถ์ศิษย์นิครนถ์นาฏบุตร
แม้สาวกของนิครนถ์นาฏบุตรฝ่ายคฤหัสถ์ ผู้นุ่งขาวห่มขาว ก็เป็นผู้เบื่อหน่าย
คลายยินดี มีใจถอยกลับในพวกนิครนถ์ศิษย์นิครนถ์นาฏบุตร ดุจว่าเบื่อหน่าย
คลายยินดี มีใจถอยกลับ ในธรรมวินัยที่นิครนถ์นาฏบุตรกล่าวผิด ให้รู้ผิด
ไม่ใช่นำออกจากทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ มิใช่ธรรมวินัยที่พระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าให้รู้ทั่ว เป็นสถูปที่แตกไม่เป็นที่พึ่งอาศัยได้.
[52] ครั้งนั้นแล สมณุทเทสจุนทะ จำพรรษาที่เมืองปาวาแล้วเข้า
ไปยังบ้านสามคามหาท่านพระอานนท์ กราบท่านพระอานนท์แล้วนั่ง ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ดังนี้ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นิครนถ์นาฏบุตรตายลงใหม่ ๆ ที่เมืองปาวา เพราะการตาย