เมนู

อรรถกถาปัญจัตตยสูตร



ปัญจัตตยสูตร

เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-
พึงทราบวินิจฉัยในปัญจัตตยสูตรนั้นดังต่อไปนี้. บทว่า เอเก ได้แก่
บางพวก. บทว่า สมณพฺราหฺมณา ความว่า ชื่อว่า สมณะ โดยเป็นนัก
บวช ชื่อว่า พราหมณ์ โดยชาติ. อีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่โลกสมมติไว้อย่างนี้ว่า
สมณะและว่าพราหมณ์ ดังนี้. ชื่อว่า อปรันตกัปปิกะ เพราะกำหนดยึด
ซึ่งขันธ์ส่วนอนาคต. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อปรันตกัปปิกะ เพราะสมณ-
พราหมณ์เหล่านั้นมีการกำหนดยึดขันธ์ส่วนอนาคต ดังนี้ก็มี ก็ในคำว่า-
อปรันตกัปปิกะ นั้น ในที่นี้ ส่วน ท่านประสงค์เอาส่วนว่า อนฺต ดุจใน
ประโยคเป็นต้นว่า ผู้มีอายุ สักกายะ (กายของตน) แล เป็นส่วนอันหนึ่ง
ดังนี้. ตัณหาและทิฏฐิ ชื่อว่า กัปปะ.
สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า โดยอุทานว่า กัปปะ ดังนี้ กัปปะ มี 2
อย่าง คือ ตัณหากัปปะ และ ทิฏฐิกัปปะ เพราะฉะนั้น พึงเห็นเนื้อความใน
คำว่า กัปปะ นี้อย่างนี้ว่า ชื่อว่า อปรันตกัปปิกะ เพราะกำหนด ซึ่งส่วน
แห่งขันธ์อันเป็นอนาคต โดยตัณหาและทิฏฐิ. ชื่อว่า อปรันตานุทิฏฐิ
เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นกำหนดส่วนแห่งขันธ์อันเป็นอนาคต ยืนหยัดอยู่
อย่างนั้นแล้ว. มีความเห็นคล้อยตามส่วนแห่งขันธ์อันเป็นอนาคตนั่นแหละ
โดยที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ. สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีความเห็นอย่างนั้น เริ่มพึ่ง
พาอาศัยส่วนแห่งขันธ์อันเป็นอนาคตนั้น กระทำแม้คนอื่นให้ดำเนินไปตาม
ทิฏฐิ กล่าวยืนยัน อธิมุตติบท (บทคือ ความน้อมใจเชื่อ) หลายอย่าง.
บทว่า อเนกวิหิตานิ แปลว่า หลายอย่าง. บทว่า อธิมุตฺติปทานิ ได้

แก่ บทเรียกชื่อ. อีกอย่างหนึ่ง ทิฏฐิทั้งหลาย ท่านเรียกว่า อธิมุตติ (เพราะ
ครอบงำความที่เป็นจริง ไม่ถือเอาตามเป็นจริงปฏิบัติ. บทแห่งอธิมุตติทั้ง
หลาย ชื่อว่า อธิมุตติบท อธิบายว่า คำที่แสดงทิฏฐิ. บทว่า สญฺญี ได้แก่
พรั่งพร้อมด้วยสัญญา. บทว่า อโรโค ได้แก่ เป็นของเที่ยง บทว่า อิตฺเถเก
ตัดบทเป็น อิตฺถํ เอเก อธิบายว่า พวกหนึ่ง (กล่าว) อย่างนี้. ตรัสสัญญี
วาทะ 16 ด้วยบทว่า อิตฺเถเก นี้. ตรัส อสัญญีวาทะ 8 ด้วย บทว่า
อสัญญี นี้. ตรัส เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ 8 ด้วยบทว่า เนวลัญญีนาสัญญี
นี้. ตรัสอุจเฉทวาทะ 7 ด้วยคำนี้ว่า สโต วา ปน สตฺตสฺส. บรรดา
บทเหล่านั้น บทว่า สโต แปลว่า มีอยู่. บทว่า อุจเฉทํ ได้แก่ ขาดสูญ.
บทว่า วินาสํ ได้แก่ ไม่เห็น. บทว่า วิภวํ ได้แก่ ไปปราศจากภพ. คำ
เหล่านี้ทั้งหมด เป็นไวพจน์ของกันและกันทั้งนั้น. ตรัสติฏฐธรรมนิพพาน-
วาทะ 5 ด้วยบทนี้ว่า ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ วา.
ในบทว่า ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ วา นั้น ธรรมที่เห็นชัด เรียกว่า
ทิฏฐธรรม. คำว่า ทิฏฐธรรมนี้เป็นชื่อของอัตภาพที่ได้มาในภพนั้น ๆ. นิพ-
พานในปัจจุบัน ชื่อว่า ทิฏฐธรรมนิพพาน. อธิบายว่า ความเข้าไปสงบ
ทุกข์ในอัตภาพนั้นนั่นแหละ. บทว่า สนฺตํ วา ความว่า สงบแล้วด้วย
อาการทั้ง 3 ด้วยคำเป็นต้นว่า มีสัญญา ดังนี้. คำว่า ตีณิ โหนฺติ หมาย
ความว่า บทว่า สญฺญี อตฺตา ดังนี้ เป็นต้น เป็น 3 อย่างนี้ คือ เป็น 1
เนื่องด้วยอัตตา สงบ นอกนี้ อีก 2 (คือ ขาดสูญและนิพพานในปัจจุบัน).
บทว่า รูปึ วา ได้แก่ มีรูป ด้วยกรัชรูป หรือ กสิณรูป. ผู้ได้
ในอัตตามีรูปนั้น ย่อมถือเอากสิณรูป ว่า อัตตา ผู้ตรึกในกสิณรูป ย่อม
ถือเอารูปแม้ทั้งสองทีเดียว. บทว่า อรูปึ ความว่า ทั้งผู้ได้และผู้ตรึกทั้งสอง

เมื่อบัญญัตินิมิตในอรูปสมาบัติ หรืออรูปธรรมที่เหลือ เว้นสัญญาขันธ์ย่อม
บัญญัติอย่างนั้น. ก็ทิฏฐิที่สาม เป็นไปด้วยอำนาจการถือเจือปนกัน ทิฏฐิที่สี่
เป็นไปด้วยการถือเอาด้วยการตรึกเอาเท่านั้น. พึงทราบว่า ในจตุกกะที่สอง
ตรัสทิฏฐิที่หนึ่งด้วยวาทะที่ถึงพร้อม ตรัสทิฏฐิที่สองด้วยวาทะที่ไม่ถึงพร้อม
ตรัสทิฏฐิที่สามด้วยอำนาจกสิณบริกรรม ขนาดกระด้ง หรือขนาดขันจอก
ตรัสทิฏฐิที่ 4 ด้วยอำนาจกสิณที่กว้างใหญ่. คำว่า เอตํ วา ปเนเตสํ
อุปาติวตฺตตํ
ดังนี้ ตรัสไว้โดยสังเขปด้วยบทว่า สัญญี อธิบายว่าก้าวล่วง
สัญญาทั้ง 7 หมวด. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า 8 หมวด. คำทั้งสองนั้น
จักมีแจ้งข้างหน้า. ส่วนในที่นี้ มีเนื้อความย่อดังต่อไปนี้. ก็คนบางพวกอาจ
ก้าวล่วงสัญญา 7 หรือ 8 นี้ได้. ส่วนบางพวกไม่อาจ. ในสองพวกนั้น
บุคคลใดอาจ บุคคลนั้นเท่านั้น ก็ยึดไว้ได้ ก็เมื่อชนเหล่านั้น อาจก้าว
ล่วงสัญญาแต่ละชนิด ชนพวกหนึ่งกล่าวว่า วิญญาณัญจายตนะ หา
ประมาณมิได้ ไม่หวั่นไหวเหมือนในพวกมนุษย์ผู้ข้ามแม่น้ำคงคา ไปถึงแค่บึง
ใหญ่แล้วก็หยุดอยู่ ส่วนอีกคนหนึ่งไปถึงบ้านใหญ่ข้างหน้าบึงใหญ่นั้น แล้ว
หยุดอยู่ ฉะนั้น. บรรดาวิญญาณัญจายตนะ และอากิญจัญญายตนะนั้น เพื่อ
แสดงวิญญาณัญจายตนะก่อน จึงตรัสว่า พวกหนึ่ง (กล่าวยืนยัน) กสิณคือ
วิญญาณ ดังนี้. จักกล่าวคำว่า พวกหนึ่ง (กล่าวยืนยัน) อากิญจัญญายตนะ
ดังนี้ ข้างหน้า. บทว่า ตยิทํ ตัดบทเป็น ตํ อิทํ แปลว่า ทิฏฐิ และอารมณ์
ของทิฏฐินี้นั้น. บทว่า ตถาคโต อภิชานาติ ความว่า ย่อมรู้ด้วยญาณ
อันวิเศษยิ่งว่า ทรรศนะชื่อนี้อันปัจจัยนี้ยึดแล้ว.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงทำทรรศนะนั้นนั่นแล ให้
พิสดารจึงตรัสคำมีอาทิว่า เย โข เต โภนฺโต ดังนี้. บทว่า ยา วา ปเนสํ

สญฺญานํ ความว่า ก็หรือว่า สัญญาใด (บัณฑิตกล่าวว่ายอดเยี่ยม) กว่า
สัญญาที่กล่าวอย่างนี้ว่า ถ้าว่า (ทั้งที่) เป็นสัญญาในรูปเหล่านั้น. บทว่า
ปริสุทฺธา คือ หมดอุปกิเลส. บทว่า ปรมา คือ สูงสุด. บทว่า เลิศ คือ
ประเสริฐสุด บทว่า อนุตฺตริยา อกฺขายติ ความว่า กล่าวว่าไม่มีอะไร
เหมือน. ตรัสรูปาวจรสัญญา 4 ด้วยบทนี้ว่า ยทิ รูปสญฺญานํ. ตรัส
อากาสานัญจายตันสัญญาและวิญญาณัญจายตนสัญญา ด้วยบทนี้ว่า ยทิ อรูป-
สญฺญานํ
. ตรัสสมาปันนกวาระและอสมาปันนกวาระด้วยบททั้งสองกับบท
นอกนี้ สัญญาเหล่านี้ จัดเป็น 8 ส่วน อย่างที่กล่าวมาด้วยประการดังนี้.
แต่โดยใจความ สัญญามี 7 อย่าง. จริงอยู่ สมาปันนกวาระสงเคราะห์ด้วย
สัญญา 6 ข้างต้น เท่านั้น. บทว่า ตยิทํ สงฺขตํ ความว่า สัญญาแม้ทั้งหมด
นี้นั้นกับด้วยทิฏฐิอันปัจจัยปรุงแต่ง คือประมวลมาแล้ว. บทว่า โอฬาริกํ
ความว่า ชื่อว่า หยาบ เพราะปัจจัยปรุงแต่งเทียว. บทว่า อตฺถิ โข ปน
สงฺขารานํ นิโรโธ
ความว่า ก็ชี่อว่านิพพานที่นับได้ว่า ความดับสังขาร
ทั้งหลายที่ท่านกล่าวว่า อันปัจจัยปรุงแต่ง เหล่านั้น มีอยู่. คำว่า อตฺเถตนฺติ
อิติ วิทิตฺวา
ความว่า ก็เพราะรู้นิพพานนั้นแลอย่างนี้ว่า นิพพานนั่นมีอยู่.
คำว่า ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ความว่า มีปกติเห็นการสลัดออก คือ มี
ปกติเห็นความดับสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น. บทว่า ตถาคโต ตทุปาติวตฺโต
ความว่าก้าวล่วง อธิบายว่า ก้าวล่วงพร้อมซึ่งสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น.
บทว่า ตตฺร ได้แก่ บรรดา อสัญญีวาทะ 8 ประการเหล่านั้น.
คำว่า อรูปี วา ดังนี้เป็นต้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวไว้ในสัญญีวาทะนั้นแล.
ก็เพราะวาทะนี้เป็นอสัญญีวาทะ ฉะนั้น จึงไม่กล่าวจตุกกะที่สองนี้ไว้.
บทว่า ปฏิกฺโกสนฺติ ได้แก่ห้าม คือ ปฏิเสธ. ในบทว่า สญฺญา
โรโค
เป็นต้น ชื่อว่า เป็นดังโรค เพราะอรรถว่า เบียดเบียน. ชื่อว่า

เป็นเหมือนหัวฝี เพราะอรรถว่ามีโทษ. ชื่อว่า เป็นเหมือนลูกศร เพราะ
อรรถว่า ตามเข้าไป. ในบทว่า อาคตึ วา เป็นต้น ชื่อว่า การมาเพราะ
อำนาจปฏิสนธิ. ชื่อว่า การไป เพราะอำนาจคติ ชื่อว่า จุติ เพราะ
อำนาจการเคลื่อนไป. ชื่อว่า อุปบัติ เพราะอำนาจการเข้าถึง. ชื่อว่า เจริญ
งอกงามไพบูลย์ เพราะอำนาจการเข้าถึงบ่อย ๆ แล้วไป ๆ มา ๆ. ในภพที่มี
ขันธ์ 4 แม้เว้นรูป ความเป็นไปของวิญญาณย่อมมีได้โดยแท้ แต่ในภพ
ที่เหลือ เว้นขันธ์ 3 วิญญาณย่อมเป็นไปไม่ได้. แต่สำหรับปัญหานี้ท่านกล่าว
ด้วยอำนาจภพที่มีขันธ์ 5 ก็ในภพที่มีขันธ์ 5 เว้นขันธ์ทั้งหลายประมาณเท่านี้
ชื่อว่า ความเป็นไปของวิญญาณย่อมไม่มี ส่วนในอธิการนี้ นักพูดเคาะ
กล่าวในข้อนี้ว่า เพราะพระบาลีว่า เว้นจากรูป ดังนี้เป็นต้น แม้ในอรูปภพ
ก็มีรูป และแม้ในอสัญญีภพก็มีวิญญาณ.
สำหรับท่านผู้เข้านิโรธสมาบัติ ก็มีอย่างนั้น เหมือนกันซิ. ท่าน
ผู้ชอบพูดเคาะนั้นจะต้องถูกต่อว่า หากจะค้านความหมายตามรูปของพยัญชนะ
เพราะพระบาลีว่า อาคตึ วา เป็นต้น วิญญาณนั้นจะต้องกระโดดไปบ้าง
เดินไปด้วยเท้าบ้าง เหมือนนกและสัตว์ 2 เท้า 4 เท้า และเลื้อยไปเหมือน
เถาแตง เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสภพ 3 ไว้ในพระสูตรหลายร้อยสูตร
ภพเหล่านั้นก็ต้องเป็นสองภพเท่านั้น เพราะไม่มีอรูปภพ เพราะฉะนั้น ท่าน
อย่าได้กล่าวอย่างนั้น จงทรงจำข้อความตามที่กล่าวมาแล้วเถิด.
คำว่า ตตฺร เป็นสัตตมีวิภัตติลงในเนวสัญญีนาสัญญีวาทะ 8 ประการ
แม้ในที่นี้พึงทราบคำว่า รูปึ เป็นต้น โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. บทว่า
อสญฺญา อสมฺโมโห ความว่า ชื่อว่า ความไม่มีสัญญานี้ เป็นที่ตั้งแห่ง
ความหลง. ก็ท่านกล่าวภพที่ไม่รู้อะไร ๆ นั้นว่า นั่นอสัญญีภพ. บทว่า

ทิฏฺฐสุตมุตวิญฺญาตพฺพสงฺขารมตฺเตน ความว่า ด้วยสักว่าที่พึงรู้แจ้งด้วย
การเห็น ด้วยสักว่าที่พึงรู้แจ้งด้วยการฟัง ด้วยสักว่า ที่พึงรู้แจ้งด้วยการทราบ.
ก็ในบทว่า ทิฏฐมตฺเตน ธรรมชาติใดย่อมรู้ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น
ชื่อว่า วิญญาตัพพะ พึงรู้แจ้ง โดยอาการสักว่ารู้แจ้งอารมณ์ที่เห็นได้ยิน
และทราบ คือด้วยเหตุสักว่า ความเป็นไปแห่งสัญญาทางทวารทั้ง 5 ในคำนี้
มีความหมายดังกล่าวมานี้. บทว่า สงฺขารมตฺเตน ความว่า ด้วยความ
เป็นไปแห่งสังขารอย่างหยาบ. บทว่า เอตสฺสายตนสฺส ได้แก่เนวสัญญา-
นาสัญญายตนะนี้. บทว่า อุปสมฺปทํ ได้แก่ การได้เฉพาะ. บทว่า พฺยสนํ
เหตํ
ความว่า นั้น เป็นความพินาศ อธิบายว่า นั้นเป็นการออก. เพราะ
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น เป็นไปด้วยสัญญาทางทวาร 5 พึงเข้าโดย
กระทำให้เป็นไปด้วยสังขารอย่างหยาบ หรือไม่ให้เป็นไป. ท่านแสดงว่า
ก็เพราะเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้นเป็นไป การออกจากเนวสัญญานา-
สัญญายตนะนั้นย่อมมี. บทว่า สงฺขารสมาปตฺติปตฺตพฺพมกฺขายติ ความว่า
ย่อมกล่าวว่า พึงบรรลุด้วยความเป็นไปแห่งสังขารหยาบ. บทว่า สงฺขาราว-
เสสสมาปตฺติปตฺตพฺพํ
ความว่า บรรดาสังขารทั้งหลายนั่นแล สังขาร
ที่เหลือ ชื่อว่าถึงความเป็นสังขารที่ละเอียดกว่าสังขารทั้งปวง ด้วยอำนาจ
ภาวนา อายตนะนั้นพึงบรรลุด้วยความเป็นไปแห่งสังขารเหล่านั้น. เพราะ
เมื่อสังขารทั้งหลายเห็นปานนั้นเสียไปแล้ว อายตนะนั้นย่อมชื่อว่าเป็นอันพึง
บรรลุ. บทว่า ตยิทํ ความว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้นั้น แม้เป็น
ของละเอียดก็เป็นของที่ปัจจัยปรุงแต่ง และเพราะเป็นของที่ปัจจัยปรุงแต่งจึง
เป็นของหยาบ.
บทว่า ตตฺร เป็นสัตตมีวิภัตติ ลงในความหมายว่า อุจเฉทวาทะ
(วาทะว่าขาดสูญ) 7 ประการ. บทว่า อุทฺธํ ปรามาสนฺติ ความว่า วาทะ

ว่าสัญญาอันยังไม่มาถึง เรียกว่า กาลข้างหน้า พวกสมณพราหมณ์ย่อม
หมายมั่น กาลอันยังไม่มาถึง คือ วาทะว่า สังสาระ (การเวียนว่าย). บทว่า
อาสตฺตึเยว อภิวทนฺติ ความว่า ย่อมกล่าวการติดอยู่อย่างเดียว. บาลีว่า
อาสตฺถึ ดังนี้ก็มี อธิบายว่า กล่าวถึงความทะยานอยาก. บทว่า อิติ เปจฺจ
ภวิสฺสาม
ความว่า เราละไปแล้ว จักเป็นอย่างนี้. ในบทนี้พึงนำเอานัยอย่างนี้
มาว่า เราจักเป็นกษัตริย์ จักเป็นพราหมณ์ ดังนี้. บทว่า วาณิชูปมํ มญฺเญ
ความว่า ย่อมปรากฏแก่เราเหมือนพ่อค้า คือ เช่นกับพ่อค้า. บทว่า สกฺกายภยา
ได้แก่ เป็นผู้กลัวสักกายะะ ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้น เมื่อเกลียดสักกายะ
กล่าวคือ ธรรมที่เป็นไปในภูมิสามนั้นนั่นแหละ ย่อมกลัวสักกายะ ย่อม
เกลียดสักกายะ เหมือนสัตว์ 4 จำพวกเหล่านี้ ย่อมกลัวต่อสิ่งที่ไม่ควรกลัว
(ดังมีที่มา) ว่า ข้าแต่มหาราช สัตว์ 4 จำพวกแล ย่อมกลัวต่อสิ่งที่ไม่ควร
กลัวแล จำพวกไหนบ้าง ข้าแต่มหาราช ไส้เดือนแล ย่อมไม่กินดิน
เพราะกลัวว่า แผ่นดินจะหมด ข้าแต่มหาราช นกกะเรียนย่อมยืนเท้าเดียว
(บนแผ่นดิน) เพราะกลัวว่าแผ่นดินจะทรุด ข้าแต่มหาราช นกต้อยตีวิด
นอนหงาย เพราะกลัวว่าฟ้าจะถล่ม ข้าแต่มหาราช พราหมณ์ผู้ประพฤติธรรม
แลย่อมไม่ประพฤติพรหมจรรย์ (คือต้องมีภรรยา) เพราะกลัวว่าโลกจะขาด
สูญ ฉะนั้น. บทว่า สา คทฺทลพนฺโธ ความว่า สุนัขที่เขาเอาเชือกล่าม
ผูกไว้ที่ท่อนไม้. นบทว่า เอวเมวีเม นี้ พึงเห็นสักกายทิฏฐิ กล่าวคือ
ธรรมอันเป็นไปในภูมิ 3 เหมือนหลักแน่น และเหมือนเสาเขื่อน บุคคลผู้เป็น
ไปตามคติของทิฏฐิเหมือนสุนัข ทิฏฐิเหมือนท่อนไม้ ตัณหาเหมือนเชือก พึง
ทราบการวนเวียนของบุคคลผู้เป็นไปตามคติของทิฏฐิ ถูกผูกด้วยเชือกคือตัณหา
ที่สอดเข้าไปในท่อนไม้ คือทิฏฐิ แล้วมัดไว้ที่สักกายะเหมือนการวิ่งวนเวียน
ของสุนัขที่เขาเอาเชือกหนังล่ามแล้วผูกไว้ที่เสาหรือเขื่อน ไม่สามารถจะทำให้
ขาดไปได้โดยธรรมดาของตน.

บทว่า อิมาเนว ปญฺจายตนานิ ความว่า เหตุ 5 ประการนี้เท่านั้น.
แม้เมื่อตั้งแม่บทคือหัวข้อ ก็ตั้งไว้ 5 ข้อ แม้เมื่อสรุปก็สรุปไว้ 5 ข้อ แต่
เมื่อแจกออก แจกออก 4 ข้อ. ดังกล่าวฉะนี้ นิพพานในปัจจุบันจะจัดเข้า
ในข้อไหน. พึงทราบว่า จัดเข้าในบททั้งสอง คือ เอกัตตสัญญา และ
นานัตตสัญญา.
ก็ครั้นทรงแสดงการกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต 44 ประการอย่างนี้แล้ว
เพื่อจะทรงแสดงการกำหนดขันธ์ส่วนอดีต 18 ประการในบัดนี้ จึงตรัสว่า
สนฺติ ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น. ในคำว่า สนฺติ ภิกฺขเว ดังนี้ เป็นต้นนั้น
ชื่อว่า กำหนดขันธ์ส่วนอดีต เพราะกะกำหนดขันธ์ส่วนก่อน กล่าวคือ ส่วน
อดีตแล้วถือเอา. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ากำหนดขันธ์ส่วนอดีต เพราะอรรถว่า
สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีการกำหนดขันธ์ส่วนอดีต. แม้ในบทที่เหลือ บทซึ่งมี
ประการดังกล่าวในก่อนพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ ด้วยประการ
ดังกล่าวแล้ว บทว่า สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ ความว่า ถือเอาอายตนะ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาอายตนะทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ว่าตนและว่าโลก
แล้วกล่าวยืนยันว่า เที่ยง ไม่ตาย แน่นอน ยั่งยืน สมดังตรัสไว้ ความ
พิสดารว่า ย่อมบัญญัติตนและโลกว่า รูปเป็นตนด้วย เป็นโลกด้วย เป็นความ
ยั่งยืนด้วย. แม้ในวาทะว่า อัตตาและโลกไม่เที่ยงเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ก็ในบรรดาวาทะเหล่านี้ กล่าววาทะว่าเที่ยง 4 ประการ ด้วยวาทะแรก.
กล่าววาทะว่าขาดสูญ ด้วยวาทะที่สอง. ถามว่า ก็วาทะเหล่านี้ มีมาแล้วใน
หนหลังมิใช่หรือ เพราะเหตุไร จึงเอามาพูดในที่นี้อีก. ตอบว่า ที่เอามาพูด
ในหนหลัง เพื่อแสดงว่า สัตว์ตายในที่นั้นๆ ย่อมขาดสูญในที่นั้นๆ นั่นแหละ
แต่ในที่นี้ ผู้ที่ระลึกชาติได้เป็นไปตามคติของทิฏฐิ ย่อมเห็นอดีตไม่เห็นอนาคต
เขาผู้นั้นย่อมมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ตนที่มาจากขันธ์ส่วนอดีต ย่อมขาดสูญ

ในที่นี้แน่นอน ไม่ไปต่อไปอีก. เพื่อจะแสดงเนื้อความดังกล่าวนี้ จึงเอามา
(กล่าวอีก). กล่าววาทะว่าเที่ยงบางอย่าง 4 ประการด้วยวาทะที่สาม. กล่าว
อมราวิกเขปิกวาทะ (คือวาทะที่ดิ้นได้ไม่ตายตัว) 4 ประการ ด้วยวาทะที่ 4.
บทว่า อนฺตวา ได้แก่ มีที่สุด คือมีทางซึ่งกำหนดไว้. สำหรับผู้ไม่ได้
เจริญกสิณ ย่อมถือเอากสิณนั้นว่า เป็นตนและเป็นโลกแล้วเป็นอยู่อย่างนั้น.
วาทะที่สองกล่าวด้วยอำนาจของผู้ที่เจริญกสิณ วาทะที่สามกล่าวสำหรับผู้ที่
เจริญกสิณไปทางขวาง (คือทางด้านข้าง) แต่ไม่เจริญกสิณไปทางเบื้องบน
และเบื้องล่าง วาทะที่สี่กล่าวเนื่องด้วยคนผู้ใช้การตรึก อนันตรจตุกกะ ( 4
หมวดที่ติดต่อกัน) มีนัยดังกล่าวไว้ในหนหลังนั่นแหละ. บทว่า เอกนฺตสุขี
ความว่า มีสุขโดยส่วนเดียว คือ มีสุขเป็นนิรันดร. ทิฏฐินี้ย่อมเกิดขึ้นด้วย
อำนาจแห่งผู้ได้ (มี) ทิฏฐิ ผู้ระลึกชาติ และผู้คาดคะเน. เพราะทิฏฐิอย่างนี้
ย่อมเกิดแก่ผู้ได้ (มีทิฏฐิ) ผู้ระลึกชาติของตนซึ่งมีความสุขโดยส่วนเดียวใน
ตระกูลกษัตริย์ เป็นต้น ด้วยบุพเพนิวาสญาณ ย่อมเกิดแก่ผู้ระลึกชาติได้
ผู้กำลังเสวยสุขปัจจุบัน ระลึกถึงอัตภาพเช่นนั้นนั่นแหละในอดีตชาติ 7 ชาติ
ก็เหมือนกัน. แต่สำหรับผู้ใช้การคาดคะเน (คือนักตรึก) พรั่งพร้อมด้วย
ความสุขในโลกนี้ ทิฏฐิย่อมเกิดขึ้นด้วยการคาดคะเนนั่นแลว่า แม้ในอดีต
เราก็ได้เป็นแล้วอย่างนี้ ดังนี้. บทว่า มีทุกข์โดยส่วนเดียว ความว่า
ทิฏฐินี้ย่อมไม่เกิดแก่ผู้ได้ (มี) ทิฏฐิ. เพราะเขามีความสุขด้วยฌานสุขใน
โลกนี้โดยส่วนเดียว. ก็ทิฏฐินี้ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ใช้การคาดคะเนเท่านั้น ผู้อัน
ทุกข์สัมผัสแล้วในโลกนี้ระลึกชาติได้อยู่. ทิฏฐิที่สามย่อมเกิดแก่คนเหล่านั้น
แม้ทั้งหมด ผู้มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกัน. ก็ทิฏฐิที่สี่ก็เหมือนกัน ย่อมเกิด
แก่ผู้ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ด้วยอำนาจจตุตถฌานในบัดนี้ ระลึกถึงพรหมโลกอันมี

ด้วยฌานที่สี่เท่านั้น แม้ในกาลก่อน. ทิฏฐินี้ย่อมเกิด ทั้งแก่ผู้ระลึกชาติได้
ผู้วางตนเป็นกลาง (วางเฉย) อยู่ในปัจจุบัน ระลึกถึงฐานะอันเป็นกลาง ๆ
เท่านั้น ทั้งแก่ผู้ใช้การคาดคะเน ผู้วางตนเป็นกลางอยู่ในปัจจุบัน ถือเอา
อยู่ด้วยการคาดคะเนอย่างเดียวว่า แม้ในอดีตก็จักเป็นอย่างนี้ ดังนี้ ด้วยการ
กล่าวมาเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันกล่าวการกำหนดขันธ์ส่วนอดีตทั้ง 18 ประการ
คือ วาทะว่าโลกเที่ยงยั่งยืน 4 ประการ วาทะว่าโลกเที่ยงยั่งยืน บางอย่าง 4
ประการ วาทะว่าโลกมีที่สุดและไม่มีที่สุด 4 ประการ กล่าววาทะที่ดิ้นได้
ไม่ตายตัว 4 ประการ กล่าววาทะว่าเกิดขึ้นเลื่อนลอย 2 ประการ.
บัดนี้ เมื่อจะทรงขยาย (ความ) ทิฏฐิ จึงตรัสคำว่า ตตฺร ภิกฺข-
เว
ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น ญาณที่ประจักษ์ ชื่อว่า ญาณ
เฉพาะตน
. บทว่า ปริสุทฺธึ คือหมดอุปกิเลส. บทว่า ปริโยทาตํ คือประ
ภัสสร. ตรัสวิปัสสนาญาณอย่างเดียวด้วยบททุกบท. เพราะธรรม 5 ประการ
มีศรัทธาเป็นต้น ย่อมมีในลัทธิภายนอก (ส่วน) วิปัสสนาญาณมีในพระ-
พุทธศาสนาเท่านั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ญาณภาคมตฺตเมว ปริ-
โยทเปนฺติ
ความว่า ย่อมยังส่วนแห่งความรู้ในญาณนั้นให้หยั่งลงไปอย่างนี้
ว่า สิ่งนี้พวกเรารู้ ดังนี้ . บทว่า อุปาทนมกฺขายติ ความว่า ส่วนแห่ง
ความรู้นั้น ไม่ใช่ญาณ นั่นเป็นชื่อของมิจฉาทัสสนะ เพราะฉะนั้น บัณฑิต
จึงกล่าวส่วนแห่งความรู้แม้นั้น ว่าเป็นทิฏฐุปาทานของท่านสมณพราหมณ์
เหล่านั้น. แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ความรู้นั้น เป็นเพียงส่วนของความรู้เท่านั้น
เพราะมีลักษณะเพียงสักว่ารู้. แม้ถึงเช่นนั้น ก็ชื่อว่าเป็นอุปาทานเพราะไม่พ้น
ไปจากวาทะ เพราะเป็นปัจจัยแห่งอุปทาน. บทว่า เป็นไปล่วงสิ่งที่
ปัจจัยปรุงแต่งนั้น
ได้แก่ก้าวล่วงทิฏฐินั้น. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ย่อมเป็น

อันกล่าวทิฏฐิแม้ทั้ง 62 ประการ ซึ่งมาในพรหมชาลสูตร คือวาทะว่า อัตตา
และโลกเที่ยง 4 อย่าง วาทะว่าเที่ยงเป็นบางอย่าง 4 อย่าง วาทะว่ามีที่สุดและ
ไม่มีที่สุด 4 อย่าง วาทะดิ้นได้ไม่ตายตัว 4 อย่าง วาทะว่าเกิดขึ้นเลื่อนลอย
2 อย่าง วาทะว่ามีสัญญา 16 อย่าง วาทะว่าไม่มีสัญญา 8 อย่าง วาทะว่า
มีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ 8 อย่าง วาทะว่าขาดสูญ 7 อย่าง วาทะ
ว่านิพพานในปัจจุบัน 5 อย่าง ก็เมื่อกล่าวพรหมชาลสูตรแล้ว สูตรนี้ย่อมเป็น
อันไม่กล่าวเลย เพราะสักกายทิฏฐิอันเกินกว่าพรหมชาลสูตรนั้น มีมาในสูตร
นี้ แต่เมื่อกล่าวสูตรนี้แล้วพรหมชาลสูตรย่อมเป็นอันกล่าวแล้วทีเดียว.
บัดนี้ เพื่อแสดงว่าทิฏฐิ 62 ประการเหล่านั้น เมื่อเกิดย่อมเกิดขึ้นโดย
มีสักกายทิฏฐิเป็นใหญ่เป็นประธาน จึงตรัสว่า อิธ ภิกขเว เอกจฺโจ
ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏินิสฺสคฺคา ได้แก่
เพราะบริจาค. บทว่า กามสญฺโญชนานํ อนธิฏฺฐานา ได้แก่ เพราะ
สลัดตัณหาในกามคุณ 5. บทว่า ปวิเวกํ ปีตึ ได้แก่ ปีติแห่งฌานทั้งสอง
ซึ่งมีปีติ. บทว่า นิรุชฌฺติ ได้แก่ ดับด้วยความดับด้วยฌาน. ก็สำหรับผู้
ออกจากสมาบัติ ปีติ ย่อมชื่อว่าเป็นอันดับแล้ว. เหมือนอย่างว่า ในคำนี้
ที่ว่า นิรามิสสุขเกิดเพราะอทุกขมสุขเวทนาดับ อทุกขมสุขเวทนาเกิดเพราะ
นิรามิสสุขดับ ดังนี้ ไม่มีความหมายอันนี้ว่า เพราะจตุตถฌานดับ จึงเข้าถึง
ตติยฌานอยู่. ก็ในคำนี้ มีความหมายนี้ว่า ออกจากจตุตถฌานแล้ว เข้าตติย-
ฌาน ออกจากตติยฌานแล้วเข้าจตุตถฌาน. ดังนี้ ฉันใด พึงทราบข้ออุปไมย
นี้ฉันนั้น. บทว่า อุปปชฺชติ โทมนสฺสํ ได้แก่ โทมนัสที่ครอบงำฌาน
อย่างต่ำ ๆ ก็ท่านกล่าวถึงความคล่องตัว สำหรับท่านผู้มีจิตออกจากสมาบัติ.
บทว่า ปีติอันเกิดแต่วิเวก ได้แก่ ปีติในฌานทั้งสองนั้นเอง. บทว่า

ยํ ฉายา ชหติ ได้แก่ ยํ ฐานํ ฉายา ชหติ (แปลว่า ร่มเงาย่อมละทิ้ง
ที่ใดไป). คำนี้ท่านอธิบายว่า ร่มเงามีอยู่ในที่ใดแสงแดดย่อมไม่มีในที่นั้น
แสงแดดมีในที่ใดร่มเงาย่อมไม่มีในที่นั้น ดังนี้.
บทว่า นิรามิสํ สุขํ ได้แก่ สุขในตติยฌาน.
บทว่า อทฺกฺขมสุขํ ได้แก่ เวทนาในจตุตถฌาณ.
บทว่า อนุปาทาโนหมสฺมิ ความว่า เราเป็นผู้ไม่ยืดถือ. บทว่า
นิพฺพานสปฺปายํ ความว่า เป็นสัปปายะ คือ เป็นอุปการะแก่พระนิพพาน. ก็
ธรรมดาการเห็นมรรคย่อมเกิดขึ้นในเมื่อความใคร่ในสิ่งทั้งปวงถูกทำให้แห้งหาย
ไปมิใช่หรือ ? ความเห็นนั้น ชื่อว่า เป็นข้อปฏิบัติอันเป็นอุปการะแก่นิพพาน
ได้อย่างไร ? ชื่อว่า เป็นข้อปฏิบัติอันเป็นอุปการะได้ ด้วยอำนาจไม่ถือมั่น
คือด้วยอำนาจการไม่ยึดถือในสิ่งทั้งปวง. บทว่า อภิวทติ ได้แก่ กล่าวด้วย
มานะจัด บทว่า ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐึ. ได้แก่ ทิฏฐิคล้อยตามขันธ์ ส่วนอดีต
ทั้ง 18 อย่าง. บทว่า อปรนฺตานุทิฏฺฐึ ได้แก่ ทิฏฐิคล้อยตามขันธ์
ส่วนอนาคตทั้ง 44 อย่าง. บทว่า อุปาทานมกฺขายติ ความว่า ย่อม
เรียกว่า ทิฏฐุปาทาน เพราะการถือว่าเรามี เป็นการถือที่นับเนื่องในสักกายะ-
ทิฏฐิ บทว่า สนฺตํ วรํ ปทํ ได้แก่บทอันสูงสุด ชื่อว่า สงบ เพราะ
เป็นบทสงบระงับกิเลส.
บทว่า ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ ความว่า ในบาลีนี้ที่ว่า อายตนะอัน
บุคคลควรรู้ไว้ คือ จักษุดับ ณ ที่ใด รูปสัญญาก็สิ้นไป ณ ที่นั้น ดังนี้
เป็นต้น ทรงแสดงนิพพานด้วยการปฏิเสธอายตนะ 2 ในพระบาลีนี้ที่ว่า
น้ำ ดิน ไฟ ลม ย่อมไม่ตั้งอยู่ใน
ที่ใด ภพหน้า (สงสาร) ย่อมกลับแต่ที่นี้
โทษ (วัฏฏ) ย่อมกลับในที่นี้ นามรูปย่อม
ดับหมดในที่นี้ ดังนี้เป็นต้น.

ทรงแสดงนิพพานด้วยการปฏิเสธสังขาร ในบาลีนั้นที่ว่า
อาโปฐาตุ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ และ
วาโยธาตุ ย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ใด อุปาทายรูป
ที่ยาว สั้น ละเอียด หยาบ งาม และไม่
งาม ย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่นั้น (ใด) นามรูป
ย่อมดับหมดในที่นั้น ดังนี้เป็นต้น.

มีไวยากรณ์ (คือข้อความเป็นร้อยแก้ว) ว่า ในพระบาลีนี้ที่ว่า วิญญาณ
มองเห็นไม่ได้ หาที่สุดไม่ได้ ผ่องใสโดยประการทั้งปวง ดังนี้เป็นต้น ทรงแสดง
นิพพานโดยการปฏิเสธสังขารในที่ทุกแห่ง. แต่ในสูตรนี้ทรงแสดงโดยการ
ปฏิเสธอายตนะ 6. ก็ในสูตรอื่นทรงแสดงเฉพาะนิพพานเท่านั้นด้วยบทว่า
อนุปาทา วิโมกฺโข ได้แก่ การหลุดพ้นโดยไม่ถือมั่น. แต่ในสูตรนี้ ทรง
แสดงอรหัตผลสมาบัติ. คำที่เหลือในที่ทุกแห่ง ง่ายทั้งนั้นแล.
จบ อรรถกถาปัญจัตตยสูตรที่ 2

3. กินติสูตร



พระพุทโธวาทเรื่องสามัคคี



[42] ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในป่าชัฏ สถานที่บวง
สรวงพลีกรรม ณ กรุงกุสินารา สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอมี
ความดำริในเราบ้างหรือว่า สมณโคดมแสดงธรรมเพราะเหตุจีวร หรือเพราะ
เหตุบิณฑบาตหรือเพราะเหตุเสนาสนะ หรือเพราะเหตุหวังสุขในภพน้อยภพ
ใหญ่ด้วยอาการนี้.
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ช้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ไม่มี
ความดำริในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้เลยว่า พระสมณโคดมทรงแสดงธรรม
เพราะเหตุจีวรหรือเพราะเหตุบิณฑบาต หรือเพราะเหตุเสนาสนะหรือเพราะ
เหตุหวังสุขในภพน้อยภพใหญ่ด้วยอาการนี้.
[43] พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นอันว่า พวกเธอไม่มีความดำริ
ในเราอย่างนี้เลยว่า พระสมณโคดมแสดงธรรมเพราะเหตุจีวร หรือเพราะเหตุ
บิณฑบาตหรือเพราะเหตุเสนาสนะ หรือเพราะเหตุหวังสุขในภพน้อยภพใหญ่
ด้วยอาการนี้ ถ้าเช่นนั้น พวกเธอมีความดำริในเราอย่างไรเล่า.
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์มีความดำริในพระผู้มี
พระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงอนุเคราะห์ ทรงแสวงหา
ประโยชน์เกื้อกูล ทรงอาศัยความอนุเคราะห์แสดงธรรม.