เมนู

อรรถกถามหาปุณณมสูตร



มหาปุณณมสูตร

มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้:-
พึงทราบวินิจฉัยในมหาปุณณมสูตรนั้น ดังต่อไปนี้. บทว่า ตทหุ
แยกเป็น ตสฺมึ อหุ แปลความว่า ในวันนั้น. ชื่อว่า อุโบสถ เพราะ
อรรถว่า เป็นวันที่เข้าอยู่จำ. บทว่า อุปวสนฺติ ความว่า เข้าไปอยู่จำด้วยศีล
หรือด้วยการอดอาหาร. ก็ในที่นี้มีการขยายความดังต่อไปนี้ ก็การแสดงปาติโมกข์
ชื่อว่า อุโปสถ ในคำเป็นต้นว่า อายามาวุโส กปฺปิน อุโปสถํ คมิส-
สาม
ท่านกัปปินะมาเถิด พวกเราไปยังอุโบสถกัน. ศีลชื่อว่า อุโปสถ ในคำ
เป็นต้นว่า เอวํ อฏฐงฺคสมนฺนาคโต โข วิสาเข อุโปสโถ อุปวุตฺโถ
ดูก่อนวิสาขา อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 8 แล อันบุคคลเข้าจำแล้วด้วย
อาการอย่างนี้. อุปวาส ชื่อว่า อุโปสถ (การจำศีลด้วยการอดอาหาร) ใน
คำเป็นต้นว่า สุทฺธสฺส สทา ผคฺคุ สุทฺธสฺสุโปสโถ สทา ผัคคุฤกษ์
(คือฤกษ์เดือนผัคคุ) สำหรับผู้หมดจดทุกเมื่อ แต่อุโบสถก็สำหรับผู้หมดจด
ทุกเมื่อ. ชื่อว่าเป็นบัญญัติ (คือชื่อที่เรียก) ในคำเป็นต้นว่า อุโปสโถ
นาม นาคราชา
พระยาช้างชื่อว่า อุโบสถ. วันที่พึงเข้าไปอยู่ (จำศีล) ชื่อ
ว่า อุโปสถ ในคำเป็นต้น ว่า น ภิกฺขเว ตทหุโปสเถ สภิกฺขุกา อาวาสา
ภิกษุทั้งหลาย ในวันอุโบสถวันนั้น ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุ. แม้ในที่นี้
ก็ประสงค์เอาการเข้าอยู่ (จำศีล) นั้นนั่นแหล. ก็วันที่เข้าอยู่ (จำศีล) นี้
นั้นมี 3 อย่าง โดยวันอัฏฐมี วันจาตุททสี และวันปัณณรสี เพราะฉะนั้น
จึงตรัสว่า ปณฺณรเส (ในวันอุโบสถ 15 ค่ำ) เพื่อจะห้ามบททั้งสองที่เหลือ
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ชื่อว่า วันอุโบสถ เพราะเป็นวันที่เข้าอยู่ (จำศีล)

ชื่อว่า ปุณฺณา เพราะเต็มแล้วคือ เต็มบริบูรณ์ เพราะเป็นวันเต็มเดือน
ท่านเรียกพระจันทร์ว่า มา. พระจันทร์นั้นเต็มดวงแล้วใน (วัน ) ดิถีนี้
เพราะเหตุนั้นดิถีนี้ จึงชื่อว่า ปุณณมา (วันพระจันทร์เต็มดวง). พึงทราบ
ความหมายในบททั้งสองนี้ว่า ปุณฺณาย ปุณฺณมาย (ในวันเพ็ญมีพระจันทร์
เต็มดวง) ด้วยประการอย่างนี้.
บทว่า เทสํ แปลว่า เหตุการณ์. บทว่า เตนหิ ตวํ ภิกฺขุ
สเก อาสเน นิสีทิตฺ วา ปุจฺฉ
ความว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจึงไม่ตรัสแก่ภิกษุผู้ที่ยืน รับสั่งให้นั่งลง. ได้ยินว่า ภิกษุนี้เป็นพระ
สังฆเถระของภิกษุเหล่านั้น เรียนกรรมฐานในสำนักของท่านแล้วพากเพียร
พยายามอยู่ กำหนดพิจารณา มหาภูตรูป (และ) อุปาทายรูป กำหนดพิจารณา
วิปัสสนา มีลักษณะของตนอันมีนามรูปเป็นปัจจัยให้เป็นอารมณ์ ครั้งนั้น
ภิกษุเหล่านั้นมายังที่ปรนนิบัติอาจารย์ในเวลาเย็น ไหว้แล้วนั่งอยู่ พระเถระ
จึงถามถึงเรื่องกรรมฐานทั้งหลาย มีการกำหนดพิจารณามหาภูตรูปเป็นต้น.
ภิกษุเหล่านั้นบอกได้ทั้งหมด. แต่ถูกถามปัญหาในมรรคและผล ไม่อาจบอก
ได้. ทีนั้น พระเถระจึงคิดว่า ในสำนักเรา ไม่มีการละเลยการให้โอวาทแก่
ภิกษุเหล่านี้ และภิกษุเหล่านี้ก็ปรารภความเพียรอยู่. กิริยาที่ประมาทก็ไม่มี
แก่ภิกษุเหล่านั้น แม้มาตรว่า ชั่วเวลาไก่กินน้ำ. แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุ
เหล่านี้ก็ไม่อาจทำมรรคผลให้เกิดขึ้นได้. เราไม่รู้อัธยาศัยของภิกษุเหล่านี้
ภิกษุเหล่านี้คงจะเป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าต้องทรงแนะนำ เราจักพาภิกษุเหล่านั้น
ไปยังสำนักของพระศาสดา เมื่อเป็นอย่างนั้น พระศาสดาจักทรงแสดงธรรม
อันเกี่ยวเนื่องกับความประพฤติของภิกษุเหล่านั้น (ครั้นคิดแล้ว) จึงพาภิกษุ
เหล่านั้นมายังสำนักของพระศาสดา.

แม้พระศาสดาก็ทรงถือเอาน้ำที่พระอานนท์นำเข้าไปถวายในตอนเย็น
ทรงกระทำพระสรีระให้สดชื่นแล้วประทับนั่งบนเสนาสนะอันประเสริฐ ที่เขาปู
ลาดไว้ในบริเวณปราสาทของมิคารมารดา. แม้ภิกษุสงฆ์ก็นั่งแวดล้อมพระองค์.
เวลานั้น พระอาทิตย์กำลังอัสดงคต พระจันทร์กำลังขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับนั่ง ณ ที่ท่ามกลาง. พระจันทร์ไม่มีรัศมี พระอาทิตย์ไม่มีรัศมี พระ
พุทธรัศมีเป็นคู่ ๆมีวรรณะ 6 ประการ ข่มรัศมีของพระจันทร์และพระอาทิตย์
เสีย ส่องแสงโชติช่วงเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล่นไปทั่วทิศานุทิศ. เรื่องทั้งหมด
นั้นพึงให้พิสดารโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง. นี้ชื่อว่าพื้นภูมิของการพรรณนา
ในอธิการนี้ กำลัง (ความสามารถ) ของพระธรรมกถึกเท่านั้นที่อาจกล่าวให้
พอควรแก่ประมาณได้ เรื่องที่ควรแก่ประมาณนั้น ควรกล่าวในการพรรณนา
พระพุทธรัศมีนั้น. ไม่ควรพูดว่า กล่าวยาก. เมื่อบริษัทประชุมกันอย่างนี้
แล้ว พระเถระลุกขึ้น ขอให้พระศาสดาประทานโอกาสเพื่อพยากรณ์ปัญหา.
ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงดำริว่า ถ้าเมื่อภิกษุนี้ยืนถามปัญหา พวก
ภิกษุที่เหลือจักลุกขึ้นด้วยคิดกันว่า อาจารย์ของพวกเราลุกขึ้นแล้ว เมื่อเป็น
อย่างนั้น จักเป็นอันกระทำความไม่เคารพในพระตถาคต. ถ้าภิกษุเหล่านั้น
จักนั่งทูลถาม (ปัญหา) จักเป็นอันกระทำความไม่เคารพในอาจารย์ จักไม่
อาจทำจิตให้แน่วแน่รับธรรมเทศนา. แต่เมื่ออาจารย์นั่ง ภิกษุเหล่านั้นจักนั่ง
แต่นั้นจักเป็นผู้มีจิตแน่วแน่ อาจรับพระธรรมเทศนาได้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้
มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสแก่ภิกษุที่ยืน รับสั่งให้นั่งลง ฉะนี้แล.
บทว่า อิเม นุ โข ภนฺเต ความว่า กระทำเหมือนถามด้วยความ
สงสัย. ก็พระเถระกำหนดพิจารณาความเกิดแห่งเบญจขันธ์แล้ว บรรลุพระ-
อรหัต เป็นพระมหาขีณาสพ. ความสงสัยของพระเถระนี้ย่อมไม่มี ก็แม้รู้

อยู่ ทำเป็นเหมือนไม่รู้ตามก็ควร. ก็ถ้าทำเหมือนรู้ตาม เมื่อจะแก้แก่เขาย่อม
กล่าวแต่บางส่วนเท่านั้นด้วยสำคัญว่าผู้นี้รู้. แต่เมื่อทำเป็นไม่รู้ตาม เมื่อจะ
กล่าว ย่อมนำเอาเหตุการณ์ทุกด้านมากล่าวให้ปรากฏ. ก็บางคนแม้ไม่รู้ก็ทำเป็น
เหมือนรู้ตาม. พระเถระจะการทำอย่างไรกะคำเห็นปานนี้ ก็พระเถระรู้อยู่ที
เดียว พึงทราบว่า ถามเหมือนไม่รู้. บทว่า ฉนฺทมูลกา แปลว่า มีตัณหา
เป็นมูล. บทว่า เอวํ รูโป สยํ ความว่า ถ้าประสงค์เป็นคนขาว ย่อม
ปรารถนาว่า ขอเราจงเป็นคนมีวรรณะเหมือนหรดาล หรือเหมือนมโนศิลา
หรือเหมือนทอง. ถ้าประสงค์จะเป็นคนดำก็ปรารถนาว่า ขอเราจงเป็นผู้มี
วรรณะเหมือนดอกอุบลเขียว เหมือนดอกอัญชัน หรือเหมือนดอกฝ้าย. บทว่า
เอวํเวทโน ได้แก่ ปรารถนาว่า ขอเราจงเป็นผู้มีเวทนาเป็นกุศล หรือเป็น
ผู้มีเวทนาเป็นสุข. แม้ในสัญญาเป็นต้นก็มีนัยนี้แหละ. ก็เพราะธรรมดาว่า
ความปรารถนาในอดีต ย่อมมีไม่ได้ และแม้ถึงจะปรารถนาก็ไม่อาจได้มัน
แม้ในปัจจุบันก็ไม่ได้ คนขาวปรารถนาความเป็นคนดำ แล้วจะเป็นคนดำไป
ในปัจจุบันก็ไม่ได้ คนดำจะเป็นคนขาว คนสูงจะเป็นคนเตี้ย หรือคนเตี้ย
จะเป็นคนสูงก็ไม่ได้ แต่เมื่อบุคคลให้ทาน สมาทานศีลแล้วปรารถนาว่า ขอ
เราจงเป็นกษัตริย์หรือจงเป็นพราหมณ์ในอนาคตกาลเถิด ดังนี้ ความปรารถนา
ย่อมสำเร็จ ฉะนั้นท่านถือเอาแต่อนาคตเท่านั้น.
บทว่า ขนฺธาธิวจนํ ได้แก่ ถามว่า การบัญญัติว่าขันธ์แห่งขันธ์
ทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่าใด. บทว่า มหาภูตเหตุ ความว่า
ก็เหตุท่านเรียกว่าเหตุ ในคำเป็นต้น ว่า กุศลเหตุ 3 ประการ. อวิชชา ชื่อ
ว่า สาธารณเหตุ เพราะเป็นเหตุทั่วไปแก่ปุญญาภิสังขารเป็นต้น. กุศลกรรม
และอกุศลกรรมเป็นเหตุสูงสุดในการให้ผลของตนๆ. ในที่นี้ท่านประสงค์เอา

ปัจจัยเหตุในอธิการว่าด้วยปัจจัยเหตุนั้น มหาภูตรูป คือ ปฐวีธาตุเป็นเหตุ
เละเป็นปัจจัย เพื่อแสดงการบัญญัติภูตรูป 3 นอกนี้ และอุปาทายรูป. พึง
ทราบ การประกอบความแม้ในบทที่เหลืออย่างนี้. บทว่า ผสฺโส ความว่า
ผัสสะ เป็นเหตุและเป็นปัจจัยแห่งการบัญญัติขันธ์ 3 โดยพระบาลีว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย บุคคลผู้ถูกกระทบย่อมรู้สึก ย่อมจำได้ ย่อมคิด (ปรุงแต่ง) ดังนี้.
ในบทว่า วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส นี้มีความว่า รูป 30 ถ้วน และขันธ์ 3 ที่
สัมปยุตกับวิญญาณ โดยกำหนดอย่างสูง ย่อมเกิดแก่คัพภเสยยกสัตว์ทั้งหลาย
พร้อมกับปฏิสนธิวิญญาณก่อน นามรูปนั้นเป็นเหตุและปัจจัยแห่งการบัญญัติ
ปฏิสนธิวิญญาณ. ในจักขุทวาร จักขุปสาทรูป กับรูปารมณ์ จัดเป็นรูปขันธ์
ขันธ์ 3 ที่สัมปยุตกับวิญญาณ จัดเป็นนาม. นามรูปนั้นเป็นเหตุและเป็นปัจจัย
แห่งการบัญญัติจักขุวิญญาณ. ในวิญญาณที่เหลือมีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า กถํ ปน ภนฺเต ความว่า ในที่นี้ (ภิกษุ) เมื่อถามวัฏฏะ
ว่า มีได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร จึงกล่าวอย่างนั้น. บทว่า สกิกายทิฏฺฐิ
น โหติ
ความว่า เมื่อจะถามวิวัฏฏะนี้ จึงกล่าวอย่างนั้น. ด้วยคำว่า นี้
เป็นความชอบใจในรูป
นี้ตรัสปริญญาปฏิเวธการแทงตลอดด้วยการกำหนด
รู้และทุกขสัจด้วยคำนี้ว่า นี้เป็นโทษในรูป ดังนี้ ตรัสปหานปฏิเวธการ
แทงตลอดด้วยการละ และสมุทัยสัจ ด้วยคำนี้ว่า นี้เป็นการสลัดออกในรูป
ดังนี้ ตรัสสัจฉิกิริยปฏิเวธ การแทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งและนิโรธสัจ.
ธรรมทั้งหลายมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น ในฐานะ 3 ประการเหล่านี้ นี้เป็นภาวนา
ปฏิเวธ การแทงตลอดด้วยภาวนา และเป็นมรรคสัจ แม้ในบทที่เหลือทั้ง
หลาย ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า พหิทฺธา คือในกายที่มีวิญญาณของผู้อื่น. ก็ด้วย บทว่า
สพฺพนิมิตฺเตสุ นี้ ทรงสงเคราะห์เอาแม้สิ่งที่ไม่เนื่องกับอินทรีย์. อีกอย่าง

หนึ่ง ในคำว่า สวิญฺญาเณ กาเย ดังนี้ ถือเอากายทั้งของตนและของคน
อื่นด้วยเหมือนกัน. และถือเอาสิ่งที่ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ ด้วยการถือเอานิมิต
ทุกอย่างในภายนอก.
บทว่า อนตฺตกตานิ (ที่อนัตตาทำ) ได้แก่ ตั้งอยู่ในอนัตตากระทำ.
บทว่า กตมตฺตานํ ผุสิสฺสนฺติ ความว่า หยั่งลงสู่ความเห็นว่าเที่ยง
(สัสสตทิฏฐิ) ว่า ตั้งอยู่ในตน เช่นไรจึงแสดงผลดังนี้ จึงได้กล่าวอย่างนั้น.
บทว่า ตณฺหาธิปเตยฺเยน คือมีตัณหาเป็นใหญ่. บทว่า ตตฺร ตตฺร ได้
แก่ ในธรรมทั้งหลายนั้นๆ. บทว่า สฏฺฐิมตฺตานํ ความว่า ภิกษุเหล่านี้ละ
กรรมฐานตามปกติเสียแล้ว พิจารณากรรมฐานใหม่อย่างอื่น ไม่ทำลายบัลลังก์
บรรลุพระอรหัตในที่นั่งนั่นแล. บทที่เหลือในที่ทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.
จบ อรรถกถามหาปุณณมสูตรที่ 9

10. จูฬปุณณสูตร



ว่าด้วยอสัตบุรุษและสัตบุรุษ



[130] ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกาวิสาขา
มิคารมารดา ในพระวิหารบุพพาราม กรุงสาวัตถี สมัยนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ามีภิกษุสงฆ์ห้อมล้อม ประทับนั่งกลางแจ้ง ในราตรีมีจันทร์เพ็ญ วัน
นั้นเป็นวันอุโบสถ 15 ค่ำ.
[131] ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเหลียวดูภิกษุสงฆ์ซึ่งนิ่ง
เงียบโดยลำดับ จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษ
จะพึงรู้จักอสัตบุรุษว่า ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษหรือไม่หนอ.
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนี้หามิได้เลย พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถูกละ ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษ
ว่า ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็
อสัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษว่า ผู้นี้เป็นสัตบุรุษไหมเล่า.
ภิ. ข้อนี้หามิได้เลย พระเจ้าข้า.
พ . ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถูกละ แม้ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษ
ว่า ผู้นี้เป็นสัตบุรุษ นั่นก็ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส.
[132] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยธรรม
ของอสัตบุรุษ ภักดีต่ออสัตบุรุษ มีความคิดอย่างอสัตบุรุษ มีความรู้อย่าง
อสัตบุรุษ มีถ้อยคำอย่างอสัตบุรุษ มีการงานอย่างอสัตบุรุษ มีความเห็น
อย่างอสัตบุรุษ ย่อมให้ทานอย่างอสัตบุรุษ.