เมนู

6 อาเนญชสัปปายสูตร



ว่าด้วยปฏิปทาส่วนโลกิยะและโลกุตระ



[80] ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่นิคมชื่อกัมมาสธรรมของ
ชาวกุรุ ในแคว้นกุรุ. สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระดำรัสแล้ว.
[81] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาม
ไม่เที่ยง เป็นของว่างเปล่า เลือนหายไปเป็นธรรมดา ลักษณะของกาม
ดังนี้ ได้ทำความล่อลวงเป็นที่บ่นถึงของคนพาล กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มี
ในภพภายหน้า และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้าทั้งสอง
อย่างนี้ เป็นแก่งแห่งมาร เป็นวิสัยแห่งมาร เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นโคจร
ของมาร บาปอกุศลทางใจเหล่านี้ คือ อภิชฌาบ้าง พยาบาทบ้าง สารัมภะ
บ้าง เป็นอยู่ในกามนี้ กามนั่นเอง ย่อมเป็นอันตรายแก่อริยสาวก ผู้ตามศึกษา
อยู่ในธรรมวินัยนี้.
[82] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นในเรื่องกาม
นั้นดังนี้ว่า กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า และกามสัญญาทั้งที่มี
ในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า ทั้งสองอย่างนี้ เป็นแก่งแห่งมาร เป็นวิสัย
แห่งมาร เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นโคจรของมาร บาปอกุศลทางใจเหล่านี้
คืออภิชฌาบ้าง พยาบาทบ้าง สารัมภะบ้าง เป็นไปอยู่ในกามนี้ กามนั่นเอง
ย่อมเป็นอันตรายแก่อริยสาวกผู้ตามศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้ ถ้ากระไรเราพึงมี
จิตเป็นมหัคคตะอย่างไพบูลย์ อธิษฐานใจครอบโลกอยู่ เพราะเมื่อเรามีจิตเป็น

มหัคคตะอย่างไพบูลย์ อธิษฐานใจครอบโลกอยู่ บาปอกุศลทางใจ คืออภิชฌา
ก็ดี พยาบาทก็ดี สารัมภะก็ดี นั้นจักไม่มี เพราะละอกุศลเหล่านั้นได้ จิต
ของเราที่ไม่เป็นกามาวจรนั่นแหละ จักกลายเป็นจิตหาประมาณมิได้ อันเรา
อบรมดีแล้ว เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้น
อยู่ จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใสก็จะเข้าถึงอาเนญชสมาบัติ
หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณอันจะเป็น
ไปในภพนั้น ๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงสภาพหาความหวั่นไหวมิได้ นั่นเป็น
ฐานะที่มีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติเป็น
ที่สบายข้อที่ 1.
[83] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง อริยสาวกพิจารณาเห็น
ดังนี้ ซึ่งกามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า และกามสัญญาทั้งที่มีใน
ภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า ซึ่งรูปบางชนิดและรูปทั้งหมด คือ มหาภูต 4
และรูปอาศัยมหาภูตทั้ง 4 เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ด้วยประการนี้
เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใสก็จะ
เข้าถึงอาเนญชสมาบัติหรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไป ข้อ
ที่วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้น ๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงสภาพหาความ
หวั่นไหวมิได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทา
มีอาเนญชสมาบัติเป็นที่สบายข้อที่ 2.
[84] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณา
เห็นดังนี้ว่า กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า และกามสัญญาทั้งที่มีใน
ภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า. รูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า และรูป
สัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งทีมีในภพภายหน้า ทั้งสองอย่างนี้ เป็นของไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น ไม่ควรยินดี ไม่ควรบ่นถึง ไม่ควรติดใจ เมื่ออริยสาวก

นั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ
เมื่อมีความผ่องใสก็จะเข้าถึงอาเนญชสมาบัติ หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ใน
ปัจจุบัน เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปในภาพนั้น ๆ พึงเป็นวิญญาณ
เข้าถึงสภาพหาความหวั่นไหวมิได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติเป็นที่สบายข้อที่ 3.
[85] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณา
เห็นดังนี้ว่า กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า และกามสัญญาทั้งที่มี
ในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า รูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้าและ
รูปสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า และอาเนญชสัญญาทั้งหมดนี้
ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ใด ที่นั้นคืออากิญจัญญายตนะอันดีประณีต เมื่ออริย-
สาวกปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใสในอาย-
ตนะ เมื่อมีความผ่องใสก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ หรือจะน้อมใจไปใน
ปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้น ๆ พึง
เป็นวิญญาณเข้าถึงภพอากิญจัญญายตนะ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายข้อที่ 1.
[86] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง อริยสาวกอยู่ในป่าก็ดี
อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า สิ่งนี้ว่างเปล่า
จากตนหรือจากความเป็นของตน เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มาก
ด้วยปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใสก็จะเข้าถึง
อากิญจัญญายตนะ หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไป ข้อที่
วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้น ๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพอากิญจัญญายตนะ
นั่นเป็นฐานะที่มีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอากิญจัญ-
ญายตนสมาบัติเป็นที่สบายข้อที่ 2.

[87] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณา
เห็นดังนี้ว่า เราไม่มีในที่ไหนๆ สิ่งน้อยหนึ่งของใคร ๆ หามีในเรานั้นไม่ และ
สิ่งน้อยหนึ่งของเราก็หามีในที่ไหน ๆ ไม่ ในใคร ๆ ย่อมไม่มีสิ่งน้อยหนึ่งเลย
เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อมผ่อง
ใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส ก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ หรือจะน้อม
ใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปในภพ
นั้นๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพอากิญจัญญายตนะ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ ดู
ก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอากิญจัญญายตนะ สมาบัติเป็นที่
สบายข้อที่ 3.
[88] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณา
เห็นดังนี้ว่า กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า และกามสัญญา ทั้งที่มี
ในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า. รูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้าอยู่ และรูป
สัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า และอาเนญชสัญญา อากิญจัญญาย-
ตนสัญญา สัญญาทั้งหมดนี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ใด ที่นั่นคือเนวสัญญานา-
สัญญายตนะอันดี ประณีต เมื่ออริยสาวกปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิ-
ปทานั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใสก็จะเข้าถึงเนวสัญญา
นาสัญญายตนะ หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไป ข้อที่
วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้น ๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพเนวสัญญานาสัญ-
ญายตนะ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามี
เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบาย.
[98] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้
ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็น
ผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ย่อมได้อุเบกขาโดยเฉพาะ ด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมี
แก่เรา และจักไม่มีแก่เรา เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้น ๆ เสีย

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนั้นพึงปรินิพพานหรือหนอ หรือว่าไม่พึงปริ-
นิพพาน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ภิกษุบางรูปพึงปรินิพพาน
ในอัตภาพนี้ก็มี บางรูปไม่พึงปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี.
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้
ภิกษุบางรูปปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี บางรูปไม่ปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี.
[90] พ. ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติแล้ว
อย่างนี้ ย่อมได้อุเบกขาโดยเฉพาะด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และ
จักไม่มีแก่เรา เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้น ๆ เสีย เธอยินดี
บ่นถึง ติดใจอุเบกขานั้นอยู่ เมื่อเธอยินดี บ่นถึง ติดใจอุเบกขานั้นอยู่
วิญญาณย่อมเป็นอันอาศัยอุเบกขานั้น ยึดมั่น อุเบกขานั้น ดูก่อนอานนท์ ภิกษุ
ผู้มีความยึดมั่นอยู่ ย่อมปรินิพพานไม่ได้.
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา จะเข้าถือเอา
ที่ไหน.
พ. ดูก่อนอานนท์ ย่อมเข้าถือเอาเนวสัญญานาสัญญายตนภพ.
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอทราบว่า ภิกษุนั้นเมื่อเข้า
ถือเอา ชื่อว่าย่อมเข้าถือเอาแดนอันประเสริฐสุดที่ควรเข้าถือเอาหรือ.
พ. ดูก่อนอานนท์ ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา ย่อมเข้าถือเอาแดนอัน
ประเสริฐสุดที่ควรเข้าถือเอาได้ ก็แดนอันประเสริฐสุดที่ควรเข้าถือเอาได้นี้
คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ.
[91] ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนี้
ย่อมได้เฉพาะอุเบกขาด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และจักไม่มีแก่
เรา เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้น ๆ เสีย เธอไม่ยินดี ไม่บ่น
ถึง ไม่ติดใจอุเบกขานั้นอยู่ เมื่อเธอไม่ยินดี ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจอุเบกขานั้น

อยู่ วิญญาณก็ไม่เป็นอันอาศัยอุเบกขานั้น และไม่ยึดมั่น อุเบกขานั้น ดูก่อน
อานนท์ ภิกษุผู้ไม่มีความยึดมั่น ย่อมปรินิพพานได้.
อา. น่าอัศจรรย์จริง พระพุทธเจ้าข้า ไม่น่าเป็นไปได้ พระพุทธ-
เจ้าข้า อาศัยเหตุนี้ เป็นอันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกปฏิปทาเครื่อง
ข้ามพ้นโอฆะแก่พวกข้าพระองค์แล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิโมกข์ของพระ
อริยะเป็นไฉน.
[92] พ. ดูก่อนอานนท์ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณา
เห็นดังนี้ ซึ่งกามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า และกามสัญญาทั้งที่มี
ในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า ซึ่งรูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า
และรูปสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพภายหน้า ซึ่งอาเนญชสัญญาซึ่งอากิญ-
จัญญายตนสัญญา ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ซึ่งสักกายะเท่าที่มีอยู่นี้
ซึ่งอมตะ คือความหลุดพ้นแห่งจิตเพราะไม่ถือมั่น ดูก่อนอานนท์ ด้วยประ-
การนี้แล เราแสดงปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติเป็นที่สบายแล้ว เราแสดงปฏิปทา
มีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายแล้ว เราแสดงปฏิปทามีเนวสัญญานา-
สัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายแล้ว อาศัยเหตุนี้ เป็นอันเราแสดงปฏิปทาเครื่อง
ข้ามพ้นโอฆะ คือวิโมกข์ของพระอริยะแล้ว ดูก่อนอานนท์ กิจใดอันศาสดา
ผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลผู้อนุเคราะห์ อาศัยความอนุเคราะห์พึงทำแก่สาวก
ทั้งหลาย กิจนั้นเราทำแล้วแก่พวกเธอ ดูก่อนอานนท์ นั่นโคนไม้ นั่นเรือน
ว่างเธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลัง
นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่พวกเธอ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสุภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ชื่นชม
ยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล.
จบ อาเนญชสัปปายสูตรที่ 6

อรรถกถาอาเนญชสัปปายสูตร



อาเนญชสัปปายสูตร

มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-
พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้น ดังต่อไปนี้. บทว่า อนิจฺจา คือ
ชื่อว่าไม่เทียง เพราะอรรถว่ามีแล้วกลับไม่มี. บทว่า กามา หมายถึงวัตถุ
กามบ้าง กิเลสกามบ้าง. บทว่า ตุจฺฉา คือ ชื่อว่าว่างเปล่า เพราะเว้นจากแก่น
สาร คือ ความเที่ยง ความยั่งยืน และความเป็นตัวตน แต่ไม่ควรถือว่า
ไม่มี ท่านอธิบายว่า เพราะเมื่อพูดว่า กำมือเปล่า ชื่อว่ากำมือไม่มี หา
มิได้. ก็สภาวะอันใด ไม่มีอะไร ๆ ในภายใน สภาวะอันนั้นเรียกว่า ว่าง
เปล่า. บทว่า มุสา แปลว่า หายไป. บทว่า โมสธมฺมา ความว่า มีการ
หายไปเป็นสภาวะ คือ ไม่ปรากฏ เหมือนนา เหมือนสวน และเหมือนเงิน
ทอง ที่หายไป ไม่ปรากฏเหมือนเห็นในฝัน 2 - 3 วันก็หายไป ด้วยเหตุนั้น จึง
ตรัสว่า มีการหายไปเป็นธรรมดา. บทว่า มายากตเมตํ ความว่า ย่อม
ปรากฏ เหมือนท่าน้ำให้เห็นเป็นแก้วมณี ทำใบพุทราให้เห็นเป็นกหาปณะ
ก็หรือสิ่งอื่นๆ เมื่อคนยืนใกล้ ๆ มองดูสิ่งเห็นปานนั้น ของก็จะปรากฏเหมือน
อย่างนั้น แต่เมื่อเลยที่ใกล้ไป สิ่งนั้น ๆ ก็ปรากฏเป็นปกติอย่างเดิม. แม้กาม
ทั้งหลายก็อย่างนั้นเหมือนกัน ท่านกล่าวว่า ทำความลวง เพราะอรรถว่า
ปรากฏเป็นอีกอย่างหนึ่ง. อีกอย่างหนึ่ง นักเล่นกล เอาน้ำเป็นต้น มาแสดง
ลวงโดยทำให้เห็นเป็นแก้วมณีเป็นต้น ฉันใด แม้กามทั้งหลายก็ฉันนั้น
แสดงลวงสภาวะที่ไม่เที่ยงเป็นต้น โดยให้เห็นว่า เที่ยง เป็นต้น เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า ทำการลวง เพราะอรรถว่า เป็นตัวลวง. บทว่า พาลลาปนํ
ความว่า ชื่อว่าเป็นที่บ่นถึงของคนพาลเพราะทำให้คนพาลบ่นถึงอย่างนี้ว่า