เมนู

อรรถกถามฆเทวัมพสูตร

1

มฆเทวัมพสูตรมีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มฆเทวมฺพวเน ความว่า แต่ปางก่อน
พระราชาพระนานว่า มฆเทพตรัสสั่งให้ปลูกสวนมะม่วงแห่งนั้นไว้. เมื่อต้นไม้
เหล่านั้นหักรานสิ้นไปแล้ว ต่อมาพระราชาทั้งหลายองค์อื่น ๆ ก็ได้รับสั่งให้ปลูก
ไว้อีก. ก็สวนนั้น ถึงการนับว่า มฆเทวัมพวัน เพราะการร้องเรียกกันมาแต่เดิม.
บทว่า สิตํ ปาตฺวากาสิ ความว่า ในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริก
ไปในวิหาร ทรงเห็นภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ใจ จึงทรงรำพึงอยู่ว่า เราเคยอยู่ใน
ที่นี้มาหรือไม่หนอ จึงทรงเห็นว่า เมื่อก่อนเราเป็นพระราชา นามว่า มฆเทพ
ได้ปลูกสวนมะม่วงนี้ไว้. เราบวชในที่นี้แหละ เจริญพรหมวิหาร 8 ไปบังเกิด
ในพรหมโลก ก็เหตุนี้นั่นแล ยังไม่ปรากฏแก่ภิกษุสงฆ์ เราจักกระทำให้ปรากฏ
เมื่อจะทรงแสดงไรพระทนต์อันเลิศ ได้ทรงกระทำการแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ
แล้ว.
ชื่อว่า ธัมมิก ผู้มีธรรม เพราะอรรถว่า ทรงมีธรรม. ชื่อว่า พระ-
ธรรมราชา เพราะอรรถว่า ทรงเป็นพระราชาโดยธรรม. คำว่า ทรงตั้งอยู่ใน
ธรรม
คือ ทรงดำรงอยู่ในธรรมคือ กุศลกรรมบถ 10 ประการะ คำว่า ทรง
ประพฤติกรรม
คือ ทรงประพฤติราชธรรม. ในบทเหล่านั้น บทว่า
พฺราหฺมณคหปติเกสุ ความว่าพระองค์ทรงเป็นที่รักทรงรักษาระเบียบประเพณี
ที่พระราชาองค์ก่อน ๆ ให้แล้วแก่พวกพราหมณ์ ไม่ทรงยังกิจนั้นให้เสื่อมหายไป
ทรงกระทำโดยปรกตินิยมตลอดมา. พวกคหบดีทั้งหลาย ก็ทรงปฏิบัติเช่นกัน.

1. บาสี มฆเทวสุตฺตํ

คำที่ท่านกล่าวหมายถึงเรื่องนี้. ด้วยบทว่า ปกฺขสฺส ท่านรวมแม้ปาฏิหาริก
ปักษ์เข้าด้วย. คือ บัณฑิตพึงทราบว่า วันเหล่านี้ ชื่อว่า ปาฏิหาริกปักษ์ คือ
วัน 7 ค่ำ วัน 9 ค่ำ ด้วยอำนาจแห่งวันรับวันส่งแห่งวันอุโบสถในดิถีที่ 8 ค่ำ
วัน 13 ค่ำ และวันปาฏิบท ด้วยสามารถแห่งวันรับวันส่ง แห่งวันอุโบสถที่
14 ค่ำ ที่ 15 ค่ำ, พระองค์ทรงเข้าอยู่ประจำอุโบสถในวันเหล่านั้นทุกวัน.
บทว่า เทวทูตา ความว่า มัจจุ ความตาย ชื่อว่า เทวะ ชื่อว่า
เทวทูต เพราะอรรถว่า เป็นทูตของความตายนั้น. คือ บุคคลเมื่อผมหงอก
ปรากฏแล้ว ก็เหมือนยืนอยู่ในสำนักของพระยามัจจุราช. เพราะฉะนั้น
ผมที่งอกแล้ว ท่านจึงกล่าวว่า เป็นทูตของมัจจุเทวะ. ชื่อว่า เทวทูต เพราะ
อรรถว่า ทูตเหมือนเทวดาทั้งหลายก็มี. อุปมาเหมือนเมือเทวดาผู้ประดับแล้ว
ตกแต่งแล้ว มายืนอยู่ในอากาศ ร้องบอกว่า ในวันโน้นท่านจักตาย ดังนี้
เทวทูตนั้นก็เป็นเช่นนั้น เมื่อผมหงอกแล้ว ปรากฏแล้ว ก็เป็นเหมือนกับ
เทวดาพยากรณ์ให้ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะฉะนั้น ผมที่หงอกแล้ว ท่านจึง
เรียกว่า ทูต เป็นเช่นเดียวกับเทวะ ดังนี้. ชื่อว่า เทวทูต เพราะอรรถว่า
เป็นทูตแห่งวิสุทธิเทพก็ได้. แท้จริง พระโพธิสัตว์ทุก ๆ พระองค์ ทรงเห็น
คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิตก่อน ทรงสังเวชจึงออกบวช.
เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า
ขอถวายพระพร เราเห็นคนแก่ คน
มีทุกข์ คนเจ็บ และเห็นคนตาย สิ้นอายุ
ขัย และเห็นนักบวช ผู้นุ่งห่มผ้ากาสายะ
เหตุนั้น เราจึงออกบวช ดังนี้.

โดยปริยายนี้ ผมที่หงอกแล้ว ท่านจึงเรียกว่า เทวทูต เพราะเป็น
ทูตแห่งวิสุทธิเทพ. บทว่า กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา ทรงพระราชทาน
บ้านส่วยแก่ช่างกัลบก ความว่า ทรงพระราชทานบ้านที่เจริญที่สุด มีส่วย
เกิดขึ้นถึงแสนหนึ่ง. ทรงพระราชทาน เพราะเหตุไร. เพราะทรงสลดพระทัย.
จริงอยู่ พระองค์ทรงเกิดความสลดพระทัย เพราะทรงเห็น ผมหงอกที่อยู่ที่นิ้ว
พระหัตถ์ จะทรงมีพระชนม์อีกถึง 84,000 ปี. แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ทรง
สำคัญพระองค์เหมือนยืนอยู่ในสำนักของพระยามัจจุราชจึงทรงสลดพระทัย ทรง
พอพระทัยในบรรพชา. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พระเจ้ามฆเทพ ผู้เป็นอธิบดีในทิศ
ผู้ปราชญ์ ทรงเห็นผมหงอกบนพระเศียร
ทรงสลดพระทัย ทรงยินดีในบรรพชาแล้ว.

ยังกล่าวไว้ต่อไปอีกว่า
ผมหงอกงอกขึ้นบนเศียรของเรา ก็
นำเอาความหนุ่มไปเสีย เทวทูตปรากฏ
แล้ว เป็นสมัยที่เราควรออกบวช.

บทว่า ปุริสยุเค เมื่อยุคบุรุษเป็นไปอยู่ คือ เมื่อยุคบุรุษที่สมภพ
ในวงศ์. คำว่า เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ
ความว่า ก็แม้เมื่อจะบวชเป็นดาบส ก็ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุบวช.
ต่อแต่นั้นก็ทรงพันพระเกศาที่ยาวขึ้นมาไว้ ทรงชฏา เที่ยวไป. แม้พระโพธิ-
สัตว์ก็ทรงบวชเป็นดาบส. ก็ครั้นบวชแล้วก็ทรงไม่ประกอบเนื่อง ๆ ซึ่ง
อเนสนา ยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยภิกษาที่นำมาจากพระราชวัง ทรงเจริญ
พรหมวิหารธรรม. เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้กล่าวว่า พระองค์ ทรงมีพระ-
ทัยประกอบด้วยเมตตา
ดังนี้เป็นต้น.

บทว่า กุมารกีฬิกํ กีฬิ1 พระราชโอรส... ทรงเล่นอย่างพระ
กุมาร ความว่า อันพระพี่เลี้ยงจับอุ้มอยู่ด้วยสะเอว ทรงเล่นอยู่แล้ว. ก็พระ-
พี่เลี้ยงทั้งหลาย ยกพระกุมารนั้นประดุจกำแห่งดอกไม้เที่ยวไปอยู่. บทว่า
รญฺโญ มฆเทวสฺส ปุตฺโต ฯเปฯ ปพฺพชิ พระราชโอรสของพระเจ้ามฆเทพ
เสด็จออก ทรงผนวช ความว่า ในวันที่พระราชโอรสนี้ทรงผนวชได้เกิด
มงคลถึง 5 ประการ คือ ทำมตกภัตรถวายพระเจ้ามฆเทวะ 1 มงคล คือ
พระโอรสของพระเจ้ามฆเทวะออกบวช 1 มงคล คือ พระราชบุตรของพระราชา
ยกเศวตฉัตรขึ้นครองราชย์ 1 มงคล คือ พระราชบุตร ของพระราชา ที่ยก
เศวตฉัตรขึ้นครองราชย์ เป็นอุปราชย์ 1 มงคล คือ ขนานพระนามพระราช
โอรสของพระราชา ผู้ยกเศวตฉัตร 1. ประชาชนได้กระทำมงคล 5 ประการ
รวมในคราวเดียวกัน. ในพื้นชมพูทวีปได้ยกไถขึ้น คือ ไม่ต้องทำไร่ไถนา
บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์.
บทว่า ปุตฺปปุตฺตกา ความว่า ความสืบต่อกันมาของพระราชบุตร
ของพระเจ้ามฆเทวะนั้น เป็นไปแล้วอย่างนี้ คือ พระราชบุตร และพระเจ้า
หลานต่อ ๆ กัน ไป. บทว่า ปจฺฉิมโก อโหสิ (พระเจ้านิมิเป็นองค์สุดท้าย)
ความว่า กษัตริย์องค์สุดท้ายที่ได้ทรงบรรพชาแล้ว. ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์
ทรงบังเกิดในพรหมโลกแล้ว ทรงรำพึงอยู่ว่า "กัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้ใน
มนุษยโลกนั้นยังเป็นไปหรือหนอ" ดังนี้ ก็ทรงเห็นว่า ยังเป็นไปตลอดกาลนาน
มีประมาณเท่านี้ แต่บัดนี้จักไม่เป็นไปแล้ว พระองค์ทรงดำริว่า " ก็เราจัก
มิให้เชื้อสายของเราขาดตอนเสีย" ดังนี้ จงทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ
พระอรรคมเหษีแห่งพระราชาที่เกิดในวงศ์ของตน มาทรงบังเกิดเหมือนสืบต่อ

1. ฉ. กุมารกิฬิตํ กีฬิ

กุ่มแห่งวงศ์ของตน. ด้วยเหตุนั้นแหละ พระราชกุมารนั้นจึงทรงมีพระนามว่า
นิมิ.
ด้วยประการฉะนี้ พระราชานั้นจึงเป็นพระราชาองค์สุดท้ายทั้งหมด
ของพระราชาที่ออกบวชแล้ว ผู้ที่ออกบวชคนสุดท้ายจึงมีโดยประการฉะนี้.
อนึ่ง เมื่อว่าโดยคุณ ก็มีคุณอย่างมากมาย. แต่คุณที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทุก
พระองค์ ของพระเจ้านิมิราชนั้น มีคุณอยู่ 2 ประการ คือ พระองค์ทรงสละ
ทรัพย์ในประตูทั้ง 4 ประตูละหนึ่งแสนทุกวัน และทรงห้ามผู้มีได้รักษาอุโบสถ
เข้าเฝ้า. คือ เมื่อผู้ที่มิได้รักษาอุโบสถ ตั้งใจว่าจะเข้าเฝ้าพระราชาจึงไปแล้ว
นายประตูจะถามว่า "ท่านรักษาอุโบสถหรือมิได้รักษา". ผู้ใดมิได้รักษาอุโบสถ
ก็จะห้ามผู้นั้นเสียว่า พระราชาไม่ทรงให้ผู้ที่มิได้รักบาอุโบสถเข้าเฝ้า. ในคน
เหล่านั้นไม่มีโอกาสที่จะพูดว่า พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นชาวชนบทจักได้โภชนะ
ในกาลที่ไหน ดังนี้บ้าง. จริงอยู่ เจ้าพนักงานจะตกแต่งเตรียมโอ่งภัตรไว้หลายพัน
ที่ประตูทั้ง 4 และที่พระลานหลวง. เพราะฉะนั้น มหาชนจะโกนหนวดอาบน้ำ
ผลัดเปลี่ยนผ้าบริโภคโภชนะได้ตามชอบใจ ในที่ที่ปรารถนาแล้ว ๆ อธิษฐาน
องค์อุโบสถไปยังประตูพระราชวังได้. เมื่อนายประตูถามแล้ว ๆ ว่า "ท่าน
รักษาอุโบสถหรือ" ก็ตอบว่า "จ๊ะ รักษา" ด้วยเหตุนั้นแล นายประตูจึงจะ
พูดว่า "มาได้ " แล้ว นำเข้าไปยังประตูพระราชวัง. พระเจ้านิมิราชทรงมี
พระคุณที่ยิ่งใหญ่กว่า ด้วยคุณ 2 ประการเหล่านี้ ด้วยประการดังกล่าวมานี้.
บทว่า เทวานํ ตาวตึสานํ ความว่า พวกเทวดาที่บังเกิดในภพ
ชั้นดาวดึงส์. ได้ยินว่า เทวดาเหล่านั้นตั้งอยู่ในโอวาทของพระราชาผู้เสวยราช
ณ พระนครมิถิลา ในวิเทหรัฐ รักษาเบญจศีล กระทำอุโบสถกรรม จึงไป
บังเกิดในชั้นนั้น จึงกล่าวสรรเสริญคุณของพระราชา. คำว่า พวกเทวดาชั้น
ดาวดึงส์
ท่านกล่าวหมายเอาเทวดาเหล่านั้น.

บทว่า นิสินฺโน โหติ ความว่า พระราชาเสด็จขึ้นยังปราสาท
อันประเสริฐชั้นบน ประทับนั่งตรวจดูทาน และศีลอยู่. ได้ยินว่า ได้ทรง
มีพระดำริอย่างนี้ว่า ทานใหญ่กว่าศีล หรือศีลใหญ่กว่าทาน ถ้าทานใหญ่กว่า
เราก็จะท่วมทับ ให้แต่ท่านอย่างเดียว ถ้าหากศีลใหญ่กว่า ก็จักบำเพ็ญแต่ศีล
อย่างเดียว. เมื่อพระองค์ไม่อาจตกลงพระทัยได้ว่า อันนี้ใหญ่ สิ่งนี้ ใหญ่
ท้าวสักกะจึงเสด็จมาปรากฏเฉพาะพระพักตร์. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ว่า
อถ โข อานนฺท ฯเปฯ สมฺมุเข ปาตุรโหสิ. ได้ยินว่า พระองค์
ทรงดำริอย่างนี้ว่า พระราชาเกิดความสงสัยขึ้นเพื่อจะตัดความสงสัยของพระองค์
ข้าพระองค์จะตอบปัญหาและจะถือเอาปฏิญญาเพื่อเสด็จมาในที่นี้. เพราะฉะนั้น
จึงมาปรากฏเฉพาะพระพักตร์. พระราชาทรงเห็นรูปที่ไม่เคยเห็นก็ทรงเกิด
ความกลัว พระโลมาชูชัน. ที่นั้นท้าวสักกะตรัสกะพระราชานั้นว่า " อย่าทรง
กลัวไปเลย มหาราช ถามมาเถอะ จะวิสัชชนาถวาย จักบรรเทาความสงสัยของ
พระองค์ให้" ดังนี้. พระราชาตรัสถามปัญหาว่า
ข้าแต่มหาราชผู้เป็นใหญ่กว่าสรรพ
สัตว์ ข้าพระองค์ ขอถามพระองค์ ทาน 1
พรหมจรรย์ 1 (ศีล) ข้อไหนจะมีผลมาก
กว่ากัน.
1
ท้าวสักกะตรัสว่า "ชื่อว่า ทานจะใหญ่อย่างไร ศีลเท่านั้นใหญ่
เพราะเป็นคุณอันประเสริฐที่สุด ข้าแต่มหาราช แม้ข้าพระองค์ได้ให้ทานแก่
ชฎิลถึงหมื่นคนอยู่หมื่นปี แต่ปางก่อนยังไม่พ้นจากเปตวิสัย แต่ท่านผู้มีศีล
บริโภคทานของข้าพเจ้าได้ไปบังเกิดในพรหมโลก" ดังนี้ แล้วตรัสคาถา ดัง
ต่อไปนี้ว่า

1. ขุ. 6/105

บุคคลจะเข้าถึงความเป็นกษัตริย์ด้วย
พรหมจรรย์อย่างต่ำ และจะเข้าถึงความ
เป็นเทพด้วยพรหมจรรย์อย่างกลาง จัก
บริสุทธิ์ได้ ด้วยพรหมจรรย์อย่างสูง
เพราะผู้ไม่มีเรือนบำเพ็ญตบะทั้งหลายย่อม
เข้าถึงกายเหล่าใด กายเหล่านั้น อันใคร ๆ
ผู้บำเพ็ญเพียร ด้วยการอ้อนวอนได้โดย
ง่ายไม่ได้.

ท้าวสักกะทรงบรรเทาความสงสัยของพระราชาอย่างนี้แล้ว เพื่อจะให้ถือ
เอาปฏิญญาในการเสด็จไปยังเทวโลกจึงตรัสว่า ลาภา วต มหาราช ดังนี้
เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อวิกมฺปมาโน ความว่า ไม่ทรงเกรงกลัว.
บทว่า อธิวาเสสิ ความว่า พระราชาทรงรับเชิญแล้วด้วยพระดำรัสว่า
ข้าพระองค์ชักชวนมหาชนให้บำเพ็ญกุศล อันข้าพระองค์ได้มาเห็นที่เป็นที่อยู่
ของท่านผู้มีบุญทั้งหลายแล้ว ย่อมอาจเพื่อบอกกล่าวได้สะดวกในถิ่นแห่ง
มนุษย์ ดังนี้. บทว่า เอวํ ภทฺทนฺตวา ความว่า มาตลีเทพบุตร ทูลว่า
พระดำรัสของพระองค์เจริญ จงเป็นอย่างนั้น . บทว่า โยเชตฺวา ความว่า
เทียมรถม้าอาชาในยพันหนึ่งในยุคหนึ่งนั่นเทียว. แต่กิจที่พึงประกอบเฉพาะ
ส่วนหนึ่งของรถเหล่านั้นมิได้มี ย่อมอาลัยใจประกอบแล้วนั่นเทียว. ก็ทิพยรถ
นั้นใหญ่ยาวถึง 250 โยชน์. จากสายเชือกถึงงอนรถ 50โยชน์. ที่เนื่องกับ
เพลา 50 โยชน์. ส่วนข้างหลังจำเดิมแต่ที่เนื่องกับเพลา 50 โยชน์ ทั้งคันล้วน
แต่ประกอบด้วยรัตนะมีวรรณะเจ็ด. สูงเทียมเทวโลก. ต่ำเท่ามนุษยโลก
เพราะฉะนั้น ไม่พึงกำหนดว่า ส่งรถให้บ่ายหน้าไปภายใต้. เหมือนอย่างว่า

ส่งไปสู่ทางเดินตามปรกติฉันใด พอพวกมนุษย์รับประทานข้าวในเวลาเย็นอิ่ม
เสร็จแล้ว ส่งไปทำให้เป็นคู่กับพระจันทร์ฉันนั้นทีเดียว. ได้เป็นเหมือน
พระจันทร์ตั้งขึ้นเป็นคู่กันฉะนั้น. มหาชนเห็นแล้ว ต่างพูดกันว่า พระจันทร์
ขึ้นเป็นคู่กัน. เมื่อใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาจึงรู้กันว่าไม่ใช่พระจันทร์เป็นคู่กัน
เป็นวิมาน วิมานหนึ่ง ไม่ใช่วิมานอันหนึ่ง แต่เป็นรถคันหนึ่ง. แม้รถพอ
ใกล้เข้ามาแล้วๆ ก็เป็นรถตามธรรมดานั่นเอง แม้ม้าก็มีประมาณเท่ากับม้าตาม
ธรรมดานั้นแหละ. ครั้นนำรถมาด้วยอาการอย่างนี้แล้ว กระทำประทักษิณ
ปราสาทของพระราชา แล้วกลับรถ ณ สีหบัญชรด้านปราจีน กระทำให้บ่าย
หน้าไปทางด้านที่มา จอดรถที่สีหบัญชรเตรียมเสด็จขึ้น ว่าข้าแต่มหาราช ขอ
พระองค์เสด็จขึ้นประทับเถิด.
พระราชาทรงดำริว่า ทิพยยานเราได้แล้ว จึงยังไม่เสด็จขึ้นทันทีทันใด.
แต่ทรงประทานโอวาทแก่ชาวพระนครว่า จงดูเถิด พ่อเจ้า แม่เจ้า ทั้งหลาย
ข้อที่ท้าวสักกะเทวราชทรงส่งรถมารับเรานั้น พระองค์มิได้ส่งมาเพราะอาศัยชาติ
และโคตร หรือตระกูลและประเทศ แต่เพราะทรงเลื่อมใสในคุณคือศีลาจารวัตร
ของเราจึงส่งมา ถ้าหากว่าพวกท่านทั้งหลายจะรักษาศีล ก็คงจะส่งมาแก่ท่าน
ทั้งหลาย ชื่อว่า ศีลนี้สมควรแล้วเพื่อรักษา เรามิได้ไปเที่ยวยังเทวโลก ขอ
ท่านทั้งหลายเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด. ทรงสอนมหาชนให้ตั้งอยู่ในศีลห้าแล้วจึง
เสด็จขึ้นรถ. แต่นั้นมาตลีสารถีแสดงทางเป็น 2 ทางในอากาศคิดว่า แม้เราก็
จักการทำความที่สมควรแก่มหาราช จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อปิจ มหารา ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กตเมน ความว่า ข้าแต่มหาราช ในบรรดาทางเหล่านี้
ทางหนึ่งไปนรก ทางหนึ่งไปสวรรค์ ข้าพระเจ้าจะนำพระองค์ไปทางไหนใน
ทางเหล่านั้น. บทว่า เยน ความว่า ไปแล้วโดยทางใด สัตว์ทั้งหลายทำกรรม

อันลามก ย่อมเสวยผลแห่งกรรมอันลามก ในที่ใด ข้าพเจ้าย่อมอาจเพื่อเห็นที่
อันนั้น. แม้ในบทที่ 2 ก็มีนัยดังนี้. แม้ความแห่งคาถาในชาดกว่า
ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ผู้เป็น
ใหญ่ยิ่งทุกทิศ ข้าพเจ้าจะนำพระองค์ไป
ทางไหน สัตว์ผู้ทำกรรมชั่ว ไปทางหนึ่ง
สัตว์ผู้ทำกรรมดี ไปทางหนึ่งดังนี้.

เพราะเหตุนั้น พระเจ้านิมิราชจึงตรัสว่า
เราจักเห็นนรก อันเป็นที่อยู่แต่ง
ผู้ทำกรรมชั่วก่อน ซึ่งเป็นสถานที่ของผู้มี
กรรมชั่ว และเป็นทางไปของคนทุศีล.

บทว่า อุภเยเนว มํ ความว่า ดูก่อนมาตลี ท่านจงนำเราไปโดยทางทั้งสอง
เราใคร่จะเห็นนรก แม้เทวโลก ก็อยากเห็น. ข้าพเจ้าจะนำพระองค์ไปทาง
ไหนก่อน. จงนำไปโดยทางนรกก่อน. ลำดับนั้น มาตลีจึงแสดงมหานรก 15
ขุม แก่พระราชา ด้วยอานุภาพของตน. ในข้อนี้มีถ้อยคำกล่าวโดยพิสดาร
พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้ในชาดกว่า
มาตลีเทพบุตรแสดงเวตรณี นทีนรก
ที่ข้ามได้แสนยาก เดือดพล่านประกอบ
ด้วยน้ำกรด ร้อนแล้วเปรียบดังเปลวไฟ
แก่พระราชา.

มาตลีสารถี ครั้นแสดงนรกแล้วก็กลับรถบ่ายหน้าไปยังเทวโลก เมื่อแสดงวิมาน
ทั้งหลายของนางเทพธิดานามว่า ภรณี และของคณะเทพบุตรมีเทพบุตรนามว่า
โสณทินนะ เป็นหัวหน้า จึงนำไปยังเทวโลก. แม้ในข้อนั้นก็พึงทราบถ้อยคำ
อย่างพิสดารโดยนัยที่กล่าวไว้ ในชาดกนั่นแหละว่า

ก็นางเทพธิดาทิพระองค์หมายถึงนั้น
ชื่อภรณี เมื่อมีชีวิตอยู่รนโลก (มนุษย์ )
เป็นทาสีเกิดแต่ทาสี ในเรือนของ
พราหมณ์ผู้หนึ่ง นางรู้แจ้งซึ่งแขก มีกาล
อันถึงแล้ว (ให้นั่งในอาสนะ อังคาสด้วย
สลากภัตร ที่ถึงแก่ตนโดยเคารพ ยินดีต่อ
ภิกษุนั้นเป็นนิจ) ดุจมารดายินดีต่อบุตร
ผู้จากไปนาน มาถึงในครั้งเดียวฉะนั้น
เป็นผู้สำรวม (มีศีล) เป็นผู้จำแนกทาน (มี
จาคะ) จึงมาบังเกิดรื่นเริงอยู่ในวิมาน.

ก็เมือพระโพธิสัตว์เสด็จไปอย่างนี้ พอกงรถกระทบพื้นธรณีซุ้มประตูจิตกูฏ
เทพนครก็มีความโกลาหล. หมู่เทพพากันละทิ้งท้าวสักกเทวราชไว้แต่พระองค์
เดียว ไปทำการต้อนรับพระมหาสัตว์. ท้าวสักกะทรงเห็นพระมหาสัตว์นั้นมา
ถึงเทวดาทั้งหลายแล้ว เมื่อไม่ทรงอาจธำรงพระทัยได้ จึงตรัสว่า ดูก่อน
มหาราช ขอพระองค์จงทรงอภิรมย์ในเทวโลกทั้งหลาย ด้วยเทวานุภาพเถิด.
ได้ยินว่า ท้าวสักกะนั้น ทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า พระราชานี้เสด็จมาในวันนี้แล้ว
ทรงทำหมู่เทพให้อยู่พร้อมหน้าตน เพียงวันเดียวเท่านั้น ถ้าจักประทับอยู่สิ้น
หนึ่งวันสองวัน พวกเทพก็จะไม่ดูแลเรา ดังนี้. ท้าวสักกะนั้น ทรงริษยา
จึงตรัสอย่างนั้น ด้วยพระประสงค์นี้ว่า ดูก่อนมหาราช การที่พระองค์ประทับ
อยู่ในเทวโลกนี้จะไม่มีบุญ ขอพระองค์จงประทับอยู่ด้วยบุญของพวกอื่นเถิด.
พระโพธิสัตว์เมื่อทรงปฏิเสธว่า ท้าวสักกะแก่ไม่อาจแล้ว เพื่อดำรงพระทัยได้
เพราะอาศัยผู้อื่น แต่เป็นเหมือนภัณฑะที่ได้มา เพราะขอเขาได้มาฉะนั้น
จึงตรัสว่า พอละท่านผู้นิรทุกข์ ดังนี้ เป็นต้น. แม้ในชาดกท่านก็กล่าวไว้ว่า

สิ่งอันใดได้มาเพราะผู้อื่นให้ สิ่งนั้น
มีอุปมาเปรียบเทียบเหมือนอย่างยานที่ขอ
ยืมเขามา หรือทรัพย์ที่ยืมเขามา หม่อม
ฉันไม่ปรารถนา สิ่งที่ผู้อื่นให้
1
ควรกล่าวทุกเรื่อง.
ถามว่า ก็พระโพธิสัตว์เสด็จไปยังเทวโลกด้วยอัตตภาพมนุษย์กี่ครั้ง.
ตอบว่า สี่ครั้ง คือ เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระเจ้ามัน ธาตุราชครั้งหนึ่ง เมื่อ
เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสาธินครั้งหนึ่ง เมื่อเสวยพระชาติเป็นคุตติลวีณวาทก
พราหมณ์ครั้งหนึ่ง เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระเจ้านิมิตรั้งหนึ่ง. เมื่อครั้งเป็น
พระเจ้ามันธาตุ พระองค์ประทับอยู่ในเทวโลกสิ้นเวลาอสงไขยหนึ่ง. ก็เมื่อ
พระองค์ประทับ อยู่ในเทวโลกนั้น ท้าวสักกะเคลื่อนไปถึง 36 พระองค์. เมื่อครั้ง
เป็นพระเจ้าสาธินราชประทับอยู่สัปดาห์หนึ่ง. ด้วยการนับอย่างมนุษย์ก็เป็น
700 ปี. เมื่อครั้งเป็นคุตติลวีณวาทกะ และครั้งเป็นพระเจ้านิมิราช ประทับ
อยู่เพียงครู่เดียว. ด้วยการนับอย่างมนุษย์เป็น 7 วัน. คำว่า ตตฺเถว มิถิลํ
ปฏิเนสิ
ความว่า มาตลีสารถีได้นำกลับมาประดิษฐานไว้ ณ พระที่อันมีศิริ
ตามเดิมนั่นเทียว (ห้องประทับ).
คำว่า กฬารชนกะ เป็นพระนามของพระราชบุตรนั้น. อนึ่ง ชน
ทั้งหลายกล่าวว่ากฬารชนกะ เพราะมีจุดดำแดงเกิดขึ้น. คำว่า พระราช
กุมารนั้นมิได้เสด็จออกจากพระราชนิเวศนี้ ทรงผนวช
ความว่า
พระองค์ได้ตรัสคำมีประมาณเพียงเท่านี้. คำที่เหลือทั้งหมดได้ปรากฏตามเดิม
นั้นเทียว. ในคำว่า สมุทฺเฉโท โหติ นี้พึงทราบวิภาคดังนี้ ใครตัด
กัลยาณวัตร ขาดสูญไปเพราะอะไร ใครให้เป็นไป ย่อมชื่อว่าอันใครให้เป็น

1. ขุ. ชา 28/216

ไปแล้ว. ในข้อนั้น ภิกษุผู้มีศีลเมื่อไม่กระทำความเพียรด้วยคิดว่า เราไม่อาจ
ได้พระอรหัต ชื่อว่า ย่อมตัด. กัลยาณวัตร ย่อมชื่อว่าอันผู้ทุศีลตัดแล้ว
พระเสกบุคคลทั้ง 7 ย่อมให้เป็นไป. ย่อมชื่อว่าอันพระขีณาสพให้เป็นไปแล้ว
คำที่เหลือในที่ทุกแห่งตื้นทั้งนั้นแล.

จบ อรรถกถามฆเทวัมพสูตรที่ 3

4. มธุรสูตร



ปัญหาว่าด้วยวรรณะ 4



[464] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง ท่านพระมหากัจจานะ อยู่ที่ป่าคุนธาวันใกล้เมืองมธุรา.
พระเจ้ามธุรราชอวันตีบุตรได้ทรงสดับว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า
พระสมณะนามว่ากัจจานะ อยู่ที่ป่าคุนธาวันใกล้เมืองมธุรา กิตติศัพท์อันงาม
ของท่านกัจจานะนั้นขจรไปว่า เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา เป็นพหูสูต
มีถ้อยคำวิจิตร [แสดงธรรมได้กว้างขวาง] มีปฏิภาณงาม เป็นผู้ใหญ่และเป็น
พระอรหันต์ ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น เป็นความดี ดังนี้.
ลำดับนั้น พระเจ้ามธุรราชอวันตีบุตร รับสั่งให้เทียมยานอย่างดี ๆ เสด็จขึ้น
ประทับยานอย่างดี เสด็จออกจากเมืองมธุราโดยกระบวนพระที่นั่งอย่างดี ๆ ด้วย
ราชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อจะพบเห็นท่านพระมหากัจจานะ เสด็จไปด้วยยาน
จนสุดทางแล้ว จึงเสด็จลงจากยานพระที่นั่ง ทรงดำเนินเข้าไปหาท่านพระ-
มหากัจจานะถึงที่อยู่ ทรงปราศรัยกับท่านพระมหากัจจานะ ครั้นผ่านการ
ปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น
แล้วได้ตรัสกะท่านพระมหากัจจานะว่า ข้าแต่ท่านกัจจานะผู้เจริญ พราหมณ์
ทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า วรรณะที่ประเสริฐคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นเลว
วรรณะที่ขาวคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นดำ พวกพราหมณ์เท่านั้นบริสุทธิ์
ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์ทั้งหลายเป็นบุตรของพรหมเป็นโอรส
เกิดแต่ปากพรหม เกิดแต่พรหม อันพรหมสร้าง เป็นทายาทของพรหมดังนี้
เรื่องนี้ท่านพระกัจจานะจะว่าอย่างไร.