เมนู

อรรถกถารัฏฐปาลสูตร



รัฏฐปาลสูตรเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
พึงทราบวินิจฉัยในรัฏฐปาลสูตรนั้น ดังต่อไปนี้ บทว่า ถุลฺลโกฏฺฐิติ
ได้แก่ แน่นยุ้ง คือ เต็มเปี่ยมเรือนยุ้ง. ได้ยินว่า ชนบทนั้น มีข้าวกล้าเป็น
นิตย์ คือ เมล็ดข้าวออกไปเข้าลานทุกเมื่อ. ด้วยเหตุนั้น ในนิคมนั้น ยุ้งทั้ง
หลายจึงเต็มอยู่เป็นนิตย์ เพราะฉะนั้น ชนบทนั้นจึงนับได้ว่า ถุลลโกฏฐิตะ
แปลว่า มีข้าวแน่นยุ้งทีเดียว. เหตุไร ท่านพระรัฐปาล จึงชื่อว่า รัฐปาละ.
ที่ชื่อว่า รัฐปาละ เพราะเป็นผู้สามารถ ดำรงรักษารัฐที่แบ่งแยกได้. ถามว่า
ชื่อของท่านพระรัฐปาละนั้น เกิดขึ้น เมื่อไร. ตอบว่า เมื่อครั้งพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ.
จริงอยู่ ปลาย 100,000 กัป ก่อนแต่กัปนี้ มนุษย์มีอายุ 100,000 ปี
พระศาสดาพระนามว่า ปทุมุตตระ อุบัติขึ้น มีภิกษุ 100,000 รูปเป็นบริวาร
เสด็จจาริก เพื่อโปรดโลกที่ท่านหมายเอากล่าวไว้ว่า
พระศาสดา พระนามว่า ปทุมุตตระ
มีพระชนก พระนามว่า พระเจ้าอานันทะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุชาดา ณ
นคร หงสวดี.

ครั้น พระปทุมุตตรพุทธเจ้า ยังไม่ทรงอุบัติ. กุฏุมพีสองคนแห่งกรุงหงสวดี
มีศรัทธาเลื่อมใส ทั้งโรงทานสำหรับคนเข็ญใจ คนเดินทางและยาจกเป็นต้น.
ครั้งนั้น ดาบส 500 ตน ผู้อยู่ในภูเขา มาถึงกรุงหงสวดี. คนทั้งสองนั้น ก็
แบ่งดาบส คนละครึ่งบำรุงกัน. ดาบสทั้งหลาย อยู่ชั่วเวลานิดหน่อย ก็กลับ

ไปยังภูเขา. พระสังฆเถระทั้งสองก็แยกย้ายไป. ครั้งนั้น กุฏุมพีทั้งสองนั้น ก็
ทำการบำรุง ดาบสเหล่านั้น จนตลอดชีวิต. เมื่อเหล่าดาบสบริโภค แล้ว
อนุโมทนา รูปหนึ่งกล่าว พรรณนาคุณของภพท้าวสักกะ. รูปหนึ่งพรรณนา
คุณภพของนาคราช เจ้าแผ่นดิน. บรรดากุฏุมพีทั้งสอง คนหนึ่งปรารถนาภพ
ท้าวสักกะ ก็บังเกิดเป็นท้าวสักกะ. คนหนึ่งปรารถนาภพนาค ก็เป็นนาคราช
ชื่อปาลิตะ. ท้าวสักกะเห็นนาคนั้นมายังที่บำรุงของตน จึงถามว่า ท่านยังยินดี
ยิ่ง ในกำเนิดนาคอยู่หรือ. ปาลิตะ นาคราชนั้นตอบว่า เราไม่ยินดีดอก.
ท้าวสักกะบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงถวายทาน แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ปทุมุตตระสิ แล้วทำความปรารถนาจะอยู่ในที่นี้ เราทั้งสองจะอยู่เป็นสุข.
นาคราชนิมนต์พระศาสดา มาถวายมหาทาน 7 วัน แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ซึ่งมี ภิกษุ 100,000 รูป เป็นบริวาร เห็นสามเณรโอรสของพระปทุมุตตร
ทศพล ชื่ออุปเรวตะ วันที่ 7 ถวายผ้าทิพย์แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประมุขจึงปรารถนาตำแหน่งของสามเณร. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรวจดู
อนาคตกาล ทรงเห็นว่าเขาจักเป็นราหุลกุมาร โอรสของพระพุทธเจ้าพระ-
นามว่าโคตมะ ในอาคตกาล จึงตรัสว่าความปรารถนาของท่านจักสำเร็จ.
นาคราชก็บอกความนั้นแก่ท้าวสักกะ. ท้าวสักกะฟังแล้วก็ถวายทาน 7 วัน
อย่างนั้นเหมือนกัน เห็นกุลบุตรชื่อรัฐปาละผู้ธำรงรัฐที่แบ่งแยกกัน แล้วบวช
ด้วยศรัทธา จึงทั้งความปรารถนาว่า ในอาคตกาล เมื่อพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์
อุบัติในโลก แม้ข้าพระองค์ก็บังเกิดในตระกูลที่สามารถธำรงรักษารัฐที่แบ่ง
แยกกัน พึงมีชื่อว่า รัฐปาละผู้บวชด้วยศรัทธาเหมือนกุลบุตรผู้นี้. พระ-
ศาสดาทรงทราบว่าความปรารถนาสำเร็จ จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

ตระกูลใดชื่อตระกูลรัฐปาละ จักมี
อยู่เพื่อเลี้ยงคนสี่วรรณะพร้อมทั้งพระราชา
กุลบุตรผู้นี้จักเกิดในตระกูลนั้น.

พึงทราบว่าชื่อนี้ ของท่านพระรัฐปาละนั้นเกิดขึ้น ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่า ปทุมุตตระด้วยประการฉะนี้.
บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ความคิดอะไร ๆ ว่า ยถา ยถา โข
เป็นต้น ได้มีแล้ว. คำสังเขปในคำนั้นมีดังนี้. เราแลรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วด้วยเหตุใด ๆ ก็เป็นอันเราพิจารณาใคร่ครวญแล้ว
ด้วยเหตุนั้น ๆ อย่างนี้ว่า พรหมจรรย์ คือ สิกขา 3 นั้นใด เราพึงประพฤติให้
บริบูรณ์โดยส่วนเดียว เพราะทำไม่ให้ขาดแม้วันหนึ่ง ให้ถึงจริมกจิต และพึง
ประพฤติให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียว ดังสังข์ขัด เช่น กับสังข์ที่ขัดสีแล้ว ได้แก่
เทียบกับสังข์ที่ชำระแล้ว เพราะทำให้ไม่มีมลทิน โดยมลทินคือกิเลสแม้ในวัน
หนึ่ง แล้วให้ถึงจริมกจิต. บทว่า อิทํ น สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา
ความว่า พรหมจรรย์นั้น อันผู้อยู่ท่ามกลางเรือนพระพฤติให้บริบูรณ์โดยส่วน
เดียว ฯลฯ กระทำไม่ได้ง่ายเลย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวดห่มผ้าอัน
เหมาะแก่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ที่ชื่อว่า กาสายะ เพราะย้อมด้วยน้ำฝาด
ออกจากเรือนบวชไม่มีเรือน. บทว่า อจิรปกฺกนฺเตสุ ถุลฺลโกฏฺฐิตเกสุ
พฺราหฺมณคหปติเกสุ เยน ภควา เตนูปสงฺกมิ
ความว่า ในเมื่อพรหมณ์
และคหบดี เหล่านั้นยังไม่ลุกไป รัฐปาลกุลบุตร ก็ไม่ทูลขอบรรพชาต่อพระ
ผู้มีพระภาคเจ้า. เพราะเหตุไร. เพราะญาติสาโลหิตมิตรทั้งหลาย ของเขาในที่
นั้นเป็นจำนวนมาก ก็หวังกันอยู่ คนเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านเป็นลูกคนเดียว
ของมารดาบิดา ท่านไม่ควรบวช แล้วพึงจับเขาที่แขนคร่ามา แต่นั้น บรรพชา

ก็จักเป็นอันตราย. เขาลุกขึ้นไปพร้อมกับบริษัทเดินไปหน่อยหนึ่งแล้วก็กลับ
ทำเลสว่ามีกิจเนื่องอยู่ด้วย สรีระบางอย่าง แล้วเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูล
ขอบรรพชา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข รฏฺฐปาโล กุลปุตฺโต
อจิรวุฏฺฐิตาย ปริสาย ฯเปฯ ปพฺพาเชตฺ มํ ภควา.
ก็เพราะนับจำเดิม
แต่ราหุลกุมารบวชแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงบวชบุตร ที่มารดาบิดาไม่
อนุญาต ฉะนั้น จึงตรัสถามเขาว่า อนุญฺญาโตสิ ปน ตฺวํ รฏฺฐปาล มา-
ตาปิตูหิ ฯลฯ ปพฺพชฺชาย.
ในคำว่า อมฺม ตาต นี้ รัฐปาละเรียกมารดา
ว่า อมฺม เรียกบิดาว่า ตาต. บทว่า เอกปุตฺตโก แปลว่า บุตรน้อยคน
เดียวเท่านั้น บุตรไรๆ อื่นไม่ว่าพี่หรือน้องไม่มี. ก็ในคำนี้ เมื่อควรจะกล่าวว่า
เอกปุตฺโต ก็กล่าวว่า เอกปุตฺตโก ด้วยอำนาจความเอ็นดู. บทว่า ปิโย
แปลว่าเกิดปีติ. บทว่า มนาโป แปลว่า เจริญใจ. บทว่า สุเข ฐิโต
แปลว่าตั้งอยู่ในสุขนั่นแหละ อธิบายว่า จำเริญสุข. บทว่า สุขปริหโฏ แปล
ว่า บริหารด้วยความสุข. ตั้งแต่เวลาเกิดมา เขามีแม่นมโดยอุ้มไม่วางมือ
เล่นด้วยเครื่องเล่นของเด็กมีรถม้าน้อย ๆ เป็นต้น ให้บริโภคเเต่โภชนะที่มีรสดี
ชื่อว่า บริหารด้วยความสุข. บทว่า น ตฺวํ ตาต รฏฺฐปาล กสฺสจิ ทุกฺขสฺส
ชานาสิ
ความว่า พ่อรัฐปาละ เจ้าไม่รู้ระลึกไม่ได้ถึงส่วนของความทุกข์แม้
ประมาณน้อย. บทว่า มรเณนปิ เต มยํ อกามกา วินา ภวิสฺสาม ความ
ว่า แม้ถ้าท่านจะพึงตายเสีย เมื่อพวกเรายังเป็นอยู่ไซร้ แม้เพราะความตาย
ของท่าน พวกเราไม่ต้องการ ไม่ปรารถนา ไม่ชอบใจตน ก็จำจักต้องพลัดพราก
หรือจักถึงความพลัดพรากท่านไป. บทว่า กึ ปน มยํ ตํ ความว่า เมื่อเป็น
เช่นนั้น เหตุที่เราจักอนุญาตให้ท่านเป็นอยู่ ชื่ออะไร. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบ
ความในคำว่า กึ ปน มยนฺตํ นี้อย่างนี้ว่า ด้วยเหตุไรพวกเราจึงจักอนุญาต
ให้ท่านมีชีวิตอยู่. บทว่า ตตฺเถว ความว่าในที่ที่มารดาบิดาไม่อนุญาตท่าน

ให้ดำรงอยู่. บทว่า อนนฺตรหิตาย ความว่า เพราะไม่ต้องการด้วยเครื่อง
ลาดอะไร ๆ. บทว่า ปริจาเรหิ ความว่าทะนุบำรุงดนตรีการฟ้อนและนักฟ้อน
เป็นต้น บำเรอตัวตามความสุขพร้อมด้วยเหล่าสหายในที่นั้น อธิบายว่า นำ
เข้าไปที่โน้นที่นี่. อีนัยหนึ่ง บทว่า ปริจาเรหิ ท่านอธิบายว่า ทะนุบำรุง
ดนตรีการฟ้อนและนักฟ้อนเเป็นต้น ร่าเริงยินดีเล่นกับเหล่าสหาย. บทว่า
กาเม ปริภุญฺชนฺโต ความว่า บริโภคโภคะพร้อมกับบุตรภริยาของตน. บทว่า
ปุญฺญานิ กโรนฺโต ความว่า ปรารภพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
กระทำกุศลกรรมชำระทางไปสู่สุคติ มีการมอบถวายทานเป็นต้น. บทว่า ตุณฺหี
อฺโหส
ได้แก่ ไม่พูดจาปราศรัย เพื่อตัดการพูดต่อไป. ครั้งนั้น มารดาบิดา
ของเขาพูด 3 ครั้งไม่ได้แม้คำตอบ จึงให้เรียกสหายมาพูดว่า สหายของเจ้า
นั้นอยากจะบวช ห้ามเขาทีเถอะ. แม้สหายเหล่านั้นเข้าไปหาเขาแล้ว พูด 3
ครั้ง. แม้สำหรับสหายเหล่านั้น เขาก็นิ่ง. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข
รฏฺฐปาลสฺส กุลปุตฺตฺสฺส สหายกา ฯเปฯ ตุณฺหี อโหสิ.

ครั้งนั้น เหล่าสหายของเขาก็คิด อย่างนี้ว่า ถ้าเพื่อนผู้นี้ไม่ได้บวช
ก็จักตายไซร้ เราก็จักไม่ได้คุณอะไร ๆ แต่เขาบวชแล้ว ทั้งมารดาบิดาก็จัก
เห็นเป็นครั้งคราวทั้งเราก็จักเห็น ก็ธรรมดาว่าการบรรพชานี้เป็นของหนัก
เขาจะต้องถือบาตรเดินไป เที่ยวบิณฑบาตรทุกวัน ๆ พรหมจรรย์ที่มีการ
นอนหนเดียว กินหนเดียว หนักนักหนา ก็เพื่อนของเรานี้เป็นชาวเมือง
สุขุมาลชาติ เขาเมื่อไม่อาจประพฤติพรหมจรรย์นั้นได้ ก็จะต้องมาในที่นี้อีก
แน่แท้ เอาเถอะเราจักให้มารดาบิดาของเขาอนุญาต. สหายเหล่านั้นได้กระทำ
อย่างนั้น . แม้มารดาบิดา กระทำกติกาสัญญานี้ว่า ก็เขาบวชแล้ว พึงอุทิศ
มารดาบิดา จึงอนุญาตเขา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข รฏฺฐปาลสฺส
กุลปุตฺตสฺส สหายา เยน รฏฺฐปาลสฺส กุลปุตฺตสฺส มาตาปิตโร ฯเปฯ

อนุญฺญาโตสิ มาตาปิตูหิ ฯเปฯ อุทฺทิสิตพฺพา. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
อุทฺทิสิตพฺพา ความว่า พึงมาแสดงตนอย่างที่มารดาบิดาเห็นได้บางครั้งบาง
คราว. บทว่า พลํ คเหตฺวา ความว่า บริโภคโภชนะอันสบาย บำรุงกายด้วย
การขัดสี. เป็นต้น เกิดกำลังกายแล้ว ไหว้มารดาบิดา ละเครือญาติ ที่มีน้ำตา
นองหน้า เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า ฯล ฯ ขอพระผู้มีพระภาค
เจ้า โปรดบวชข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก
ภิกษุรูปหนึ่งซึ่งยืนอยู่ในที่ใกล้ สั่งว่า ภิกษุ ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้รัฐปาละ
บรรพชาและอุปสมบท. ภิกษุนั้นรับพระพุทธพจน์ว่า สาธุ พระเจ้าข้า ได้
กุลบุตร ชื่อ รัฐปาละ ที่พระชินเจ้าประทานเป็นสัทธิวิหาริก ให้บรรพชา
และอุปสมบท. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อลตฺถ โข รฏฺฐปาโล
กุลปุตฺโต ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ อลตฺถ อุปสมฺปทํ.
บทว่า ปหิตตฺ-
โต วิหรนฺโต
ความว่า อยู่อย่างนี้ 12 ปี. จริงอยู่. ท่านผู้นี้เป็นไนยบุคคล
มีบุญแม้พร้อมด้วยบุญเก่าอยู่ ก็ต้องบำเพ็ญสมณธรรมด้วย ความมุ่งมั่นว่า
พระอรหัตวันนี้ พระอรหัตวันนี้ ปีที่ 12 จึงบรรลุพระอรหัต. บทว่า เยน
ภควา เตนูปสงฺกมิ
ความว่า พระเถระคิดว่า มารดา บิดาของเราอนุญาต
ให้บวช กล่าวว่า เจ้าต้องมาพบเราบางครั้งบางคราว แล้วจึงอนุญาต ก็มารดา
บิดาเป็นผู้กระทำกิจที่ทำได้ยาก ก็เราบวชด้วยอัธยาศรัย อันใด อัธยาศรัยอัน
นั้นอยู่เหนือกระหม่อมของเรา บัดนี้ เราจักทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้า แสดง
ตัวแก่มารดาบิดา แล้วประสงค์จะทูลลา จึงเข้าเฝ้า. บทว่า มนสากาสิ
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใส่พระทัยว่า เมื่อพระรัฐปาละไปแล้ว จักมี
อุปสรรคไร ๆ ไหมหนอ. ทรงทราบว่า จักมีแน่ ทรงตรวจดูว่า พระรัฐปาละ
จักสามารถย่ำยีอุปสรรคนั้นหรือหนอ ทรงเห็นว่า พระรัฐบาละนั้นบรรลุพระ-
อรหัต ก็ทรงทราบว่า จักสามารถ จึงทรงอนุญาต . ด้วยเหตุนั้น จึงกล่าวว่า

ยถา ภควา อญฺญาสิ ฯเปฯ กาลํ มญฺญสิ ดังนี้. บทว่า มิคาจิเร ได้แก่
พระอุทยาน มีชื่ออย่างนี้. ก็พระราชอุทยานนั้น พระราชาพระราชทาน แก่
เหล่าบรรพชิตที่มาถึงในกาลมิใช่เวลา เป็นอันทรงอนุญาตอย่างนี้ว่า จงใช้
สอยอุทยานนี้ตามความสบายเถิด. เพราะฉะนั้น พระเถระไม่เกิดแม้ความ
คิดว่า เราจะบอกบิดามารดาว่า เรามาแล้ว มารดาบิดานั้นจักส่งน้ำ ล้างเท้า
น้ำมันทาเท้า เป็นต้นแก่เรา แล้วเข้าไปยังพระราชอุทยาน นั้นแล. บทว่า
ปิณฺฑาย ปาวิสิ ได้แก่ เข้าไปบิณฑบาตในวันที่ 2. บทว่า มชฺณิมาย
ได้แก่ ซุ้มประตูกลางของเรือน มี 7 ซุ้มประตู. บทว่า อุลฺลิกฺขาเปติ
ได้แก่ ให้ช่างสระผม. บทว่า เอตทโวจ ได้เเก่ บิดาคิดว่า สมณะเหล่านี้
ให้บุตรที่รักคนเดียวของเราบวช เราไม่เห็นแม้แต่วันเดียว เหมือนมอบไว้ใน
มือโจร สมณะเหล่านี้ กระทำการหยาบช้าอย่างนี้ ยังจะเข้าใจว่า ที่นี้ควรจะเข้ามา
อีก ควรจะคร่าไปเสียจากที่นี้ จึงกล่าวคิดว่า เอตํ อิเมหิ มุณฺฑเกหิ. บทว่า
ญาติทาสี ได้แก่ ทาสีของพวกญาติ. บทว่า อภิโทสิกํ ได้แก่ ขนม
ที่ค้างคืน คือขนมที่ล่วงคืนหนึ่งไปแล้ว เป็นของบูด. ในคำนั้นมีความของ
บทดังนี้. ชื่อว่า อาภิโทส เพราะถูกโทษ คือ ความบูดครอบงำแล้ว.
อภิโทสนั้นแล ก็คืออาภิโทสิก. นี้เป็นชื่อของขนมที่ล่วงเลยคืนหนึ่งไปแล้ว
คือขนมที่ค้างคืนอันนั้น. บทว่า กุมฺมาสํ ได้แก่ ขนมที่ทำด้วยข้าวเหนียว.
บทว่า ฉฑฺเฑตุกามา โหติ ความว่า เพราะเหตุที โดยที่สุด แม้แต่ทาส
กรรมกรทั้งโค ก็ไม่ควรกิน ฉะนั้น ทาสีประสงค์ก็จะทิ้งขนมนั้นไปในภายนอก
เหมือนขยะ. บทว่า สเจตํ ตัดบทว่า สเจ เอตํ. พระเถระ เรียกทาสี
นางนมของตนนั้น ด้วยอริยโวหารว่า ภคินิ. บทว่า ฉฑฺฑนิยธมฺมํ
ความว่า มีอันจะต้องทิ้งไปเป็นสภาวะ. ท่านอธิบายไว้ว่า ดูก่อนน้องหญิง

ถ้าสิ่งนี้ มีอันจะต้องทิ้งไปในภายนอกเป็นธรรมดา ไม่หวงแหนไว้ไซร้ เจ้าจง
เกลี่ยลงในบาตรของเรานี้.
ถามว่า ทำไมพระเถระจึงได้กล่าวอย่างนี้ ไม่เป็นการขอหรือพูด
เหมือนขอหรือ. ตอบว่าไม่เป็น. เพระเหตุไร. เพราะเขาสละความหวงแหน
แล้ว. จริงอยู่ของใดมีอันจะต้องทิ้งไปเป็นธรรม เขาสละความหวงแหนแล้ว
เจ้าของไม่ใยดีในของใด ควรจะกล่าวว่า จงนำของนั้น มาให้ทั้งหมด จงเกลี่ยลง
ในบาตรนี้. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ท่านพระรัฐปาละนี้ เป็นผู้ดำรงอยู่ในอริยวงศ์
อันเลิศอยู่ จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า หตฺถานํ ได้แก่ มือทั้งสองตั้งแต่ข้อมือ
ของพระเถระผู้น้อมบาตรเพื่อรับภิกษา. บทว่า ปาทานํ ได้แก่ เท้าแม้
ทั้งสองทั้งแต่ชายผ้านุ่ง. บทว่า สรสฺส ได้แก่ เสียงที่เปล่งวาจาว่า น้องหญิง
ถ้าขอนั้นเป็นต้น. บทว่า นมิตฺตํ อคฺคเหสิ ความว่า นางทาสี เมื่อ
พิจารณาดูหลังมือเป็นต้น ก็ยึดคืน จำได้กำหนดอาการที่เคยกำหนดในเวลาที่
ท่านเป็นคฤหัสถ์ว่า หลังมือแลเท้าเหล่านี้ เช่นเดียวกับหลังเต่าทอง นิ้วมือที่
กลมดี เหมือนเกลียวหรดาล เสียงไพเราะเหมือนของรัฐบาลบุตรของเรา. ก็
เมื่อท่านพระรัฐบาลนั้น อยู่ป่าถึง 12 ปี และบริโภคโภชนะคือคำข้าว
ผิวพรรณของร่างกาย จึงเห็นเป็นคนอื่นไป. ด้วยเหตุนั้น ทาสีของญาติเห็น
เถระนั้น จึงจำไม่ได้ แต่ยังถือนิมิตได้. บทว่า รฏฺฐปาลสฺส มาตรํ เอตทโวจ
ความว่า แม้เหล่านางนม ผู้ทะนุถนอมอวัยวะน้อยใหญ่ของพระเถระให้ดื่มน้ำนม
เลี้ยงมาจนเติบโต ก็ไม่อาจพูดกับบุตรนายผู้บวชแล้วถึงความเป็นพระมหา-
ขีณาสพ เป็นต้นว่า ท่านเจ้าข้า ท่านหรือหนอ คือรัฐปาละ บุตรของเรา
จึงรีบเข้าเรือนกล่าวคำนี้ กะมารดาของรัฐปาละ ศัพท์ว่า ยคฺเฆ เป็นนิบาตลง
ในอรรถ ว่าบอกกล่าว. ศัพท์ว่า เช ในคำว่า สเจ เช สจฺจํ นี้ เป็น
นิบาต ในอรรถว่าร้องเรียก. จริงอยู่ คนทั้งหลายย่อมร้องเรียกคนที่เป็นทาส

ทาสีในชนบทนั้น. เพราะเหตุนั้นแล พึงเห็นความในบทนี้อย่างนี้ว่า แม่ทาสี
ผู้เจริญ ถ้าเจ้าพูดจริง. บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่าเหตุไร จึงเข้า ไป. นาง
คิดว่าสตรีทั้งหลายในสกุลใหญ่ เมื่อออกไปในภายนอก ย่อมได้รับการติเตียน
ก็นี้เป็นกิจด่วน จำเราจักบอกกิจนั้นแก่เศรษฐี เพราะฉะนั้น นางจึงเข้าไป.
บทว่า อญฺญตรํ กุฑฺฑมูลํ ความว่า ได้ยินว่า ในที่นั้นมีศาลาอยู่ใกล้เรือน
ของทานบดี. ที่ศาลานั้น เขาจัดอาสนะไว้ น้ำและน้ำข้าวเขาก็จัดตั้งไว้ในศาลา
นั้น บรรพชิตทั้งหลายเที่ยวบิณฑบาตร แล้วนั่งฉัน. ถ้าว่าบรรพชิตทั้งหลาย
ปรารถนา ก็จะถือเอาสิ่งของแม้ของทานบดีทั้งหลาย เพราะฉะนั้น แม้ที่นั้น
ก็พึงทราบว่า ใกล้ฝาแห่งหนึ่ง แห่งศาลาเช่นนี้ ของตระกูลตระกูลหนึ่ง. แท้จริง
บรรพชิตทั้งหลายหานั่งฉันในที่อันไม่สมควรอย่างมนุษย์ยากไร้ไม่. ศัพท์ว่า
อตฺถิ ในคำว่า อตฺถิ นาม ตาต นี้ ลงในอรรถว่า มีอยู่. ศัพท์ว่า นาม
เป็นนิบาตลงในอรรถว่า ถามหรือ สำคัญ. ท่านอธิบายว่า บิดาพึงกล่าวว่า
ซึ่งเจ้าจักมาถึงในที่เช่นนี้ บริโภคขนมค้างคืนของเราใด พ่อรัฐปาละ พวกเรา
นั้นมีทรัพย์อยู่หนอ มิใช่ไม่มีทรัพย์. บิดาพึงกล่าวว่า อนึ่ง เจ้าพึงนั่งในที่
เช่นนี้ บริโภคขนมค้างคืนของพวกเราใด พวกเรานั้น ยังมีชีวิตอยู่หนอ
มิใช่ผู้ตายไปแล้ว . อนึ่ง เจ้าแม้ถูกเลี้ยงเติบโตมาด้วยรสโภชนะอันดี ไม่พิการ
จะบริโภคขนมค้างคืนที่น่าเกลียดอันนี้ใด ดังบริโภคอมฤต พ่อรัฐปาละ คุณ-
เครื่องเป็นสมณะอาศัยพระศาสนา แนบแน่นภายในของเจ้า ชรอยจะมีอยู่.
ก็คหบดีนั้น ไม่อาจกล่าวเนื้อความนี้ให้บริบูรณ์ได้ เพราะถูกทุกข์ทิ่มแทง แล้ว
กล่าวได้แต่เพียงเท่านี้ว่า พ่อรัฐปาละ มีหรือ ที่เจ้าจักบริโภคขนมค้างคืน.
ก็ในข้อนี้ นักคิดอักษรกล่าวลักษณะนี้ไว้. ท่านทำคำอนาคตกาลว่า ปรภุญฺ-
ชิสฺสสิ
ใกล้บทในศัพท์ว่า อตฺถิ นี้ ด้วยอรรถอันไม่บริบูรณ์ ตามการ
กำหนดของตน. คำนั้นมีเนื้อความดังนี้ว่า มีอยู่หรือ พ่อรัฐปาละ ที่พ่อจะ

ฉันขนมกุมาสบูด แม้เราเห็นกับตาก็ไม่เชื่อ ทนไม่ได้. คฤหบดียืนจับที่
ขอบปากบาตรของพระเถระกล่าวคำมีประมาณเท่านี้ เมื่อบิดายืนจับที่ขอบปาก-
บาตรอยู่นั้นแล แม้พระเถระ ก็ฉันขนมบูดนั้น ที่ส่งกลิ่นบูดในที่ที่แตกเหมือน
ฟองไข่เน่า เป็นเช่นกับรากสุนัข . เล่าว่าปุถุชนก็ไม่อาจกินขนมเช่นนั้นได้. แต่
พระเถระดำรงอยู่ในอริยฤทธิ ฉันเหมือนกับฉันอมฤตรสทิพยโอชา รับน้ำด้วย
ธรรมกรก ล้างบาตร ปาก และมือเท้า กล่าวคำเป็นต้นว่า กุโต โน คหปติ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กุโต โน แปลว่า แต่ที่ไหนหนอ. บทว่า เนว
ทานํ
ความว่า ไม่ได้ทานโดยไทยธรรมเลย. บทว่า น ปจฺจกฺขานํ
ความว่า ไม่ได้แม้คำเรียกขาน โดยปฏิสันถารอย่างนี้ว่า พ่อรัฐปาละ เจ้า
พอทนบ้างหรือ มาด้วยความลำบากเล็กน้อยบ้างหรือ พ่อไม่ฉันอาหารใน
เรือนก่อนหรือ.
ก็เพราะเหตุไร พระเถระจึงกล่าวอย่างนี้. เพราะอนุเคราะห์บิดา.
ได้ยินว่า พระเถระคิดอย่างนี้ว่า บิดานี้ พูดกะเราฉันใด เห็นที่จะพูดกะ
บรรพชิตแม้อื่นฉันนั้น ก็ในพระพุทธศาสนา ภายในของเหล่าภิกษุผู้ปกปิด
คุณเช่นเรา เหมือนดอกปทุมในระหว่างใบ เหมือนไฟที่เถ้าปิด เหมือน
แก่นจันทน์ที่กะพี้ปิด เหมือนแก้วมุกดาที่ดินปิด เหมือนดวงจันทร์ที่เมฆฝนปิด
ย่อมไม่มี ถ้อยคำเห็นปานนี้ จักเป็นไปในภิกษุเหล่านั้น บิดาก็จักตั้งอยู่ใน
ความระมัดระวัง เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวอย่างนี้ด้วยความอนุเคราะห์.
บทว่า อหิ ตาต ความว่า คหบดีพูดว่า พ่อเอ่ยเรือนของเจ้าไม่มีดอก มา
เราไปเรือนกัน. บทว่า อลํ ได้แก่ พระเถระเมื่อปฏิเสธจึงกล่าวอย่างนี้
เพราะเป็นผู้ถือเอกาสนิกังคธุดงค์อย่างอุกฤษฏ์. บทว่า อธิวาเสสิ ความว่า
แต่พระเถระ โดยปกติเป็นผู้ถือสปทานจาริกังคธุดงค์อย่างอุกฤษฏ์ จึงไม่รับ
ภิกษา เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น แต่รับด้วยความอนุเคราะห์มารดา. ได้ยินว่า

มารดาของพระเถระรำลึกแล้วรำลึกเล่าถึงพระเถระ ก็เกิดความโศกอย่างใหญ่
ร้องห่มร้องไห้มีดวงตาฟกช้ำ. เพราะฉะนั้น พระเถระคิดว่า ถ้าเราจักไม่ไป
เยี่ยมมารดานั้น หัวใจของมารดาจะพึงแตก จึงรับด้วยความอนุเคราะห์ บทว่า
การาเปตฺวา ความว่า ให้กระทำเป็น 2 กอง คือ เงิน กองหนึ่ง ทอง กองหนึ่ง.
ถามว่าก็กองทรัพย์ใหญ่โตเพียงไร. ตอบว่าใหญ่เหมือนอย่างบุรุษยืนข้างนี้ ไม่
เห็นบุรุษ ขนาดสันทัดที่ยืนข้างโน้น. บิดาเมื่อแสดงกองกหาปณะ และกอง
ทอง จึงกล่าวว่า อิทนฺเต ตาต. บทว่า มตฺติกํ แปลว่า ทรัพย์มาข้างมารดา
อธิบายว่า ทรัพย์นี้เป็นของยายของเจ้า เมื่อมารดามาเรือนนี้ มารดาก็ให้ทรัพย์
เพื่อประโยชน์แก่ของหอม แลดอกไม้เป็นต้น . บทว่า อญฺญํ ปิตฺติกํ อญฺญํ
ปิตามหํ
ความว่า ทรัพย์ใดเป็นของบิดาและปู่ของเจ้า ทรัพย์นั้นที่เก็บไว้
และที่ใช้การงานอย่างอื่นมีมากเหลือเกิน. ก็ในคำนั้น คำว่า ปิตามหํ นี้พึง
ทราบว่า ลบตัทธิต. ปาฐะว่า เปตามหํ ก็มี. บทว่า สกฺกา ตาต รฏฺฐปาล
ความว่า พ่อรัฐบาล ไม่ใช่บรรพชิตอย่างเดียวที่สามารถทำบุญได้ แม้ผู้ครอง
เรือนบริโภคโภคะก็สามารถตั้งอยู่ในสรณะ 3 สมาทานสิกขาบท 5 ทำบุญมี
ทานเป็นต้น ยิ่ง ๆ ขึ้นไป มาเถอะพ่อ เจ้า ฯลฯ จงกระทำบุญ. พระเถระ
กล่าวอย่างนี้ว่า ตโตนิทานํ หมายถึงความโสกเป็นต้นที่เกิดแก่ผู้รักษาทรัพย์
นั้น ๆ และผู้ถึงความสิ้นทรัพย์ ด้วยอำนาจราชภัยเป็นต้น เพราะทรัพย์เป็นเหตุ
เพราะทรัพย์เป็นปัจจัย. ครั้นพระเถระกล่าวอย่างนั้น เศรษฐีคฤหบดีคิดว่า
เรานำทรัพย์นี้มาด้วยหมายจะให้บุตรนี้สึก บัดนี้ บุตรนั้น กลับเริ่มสอนธรรม
แก่เรา อย่าเลย เขาจักไม่ทำตามคำของเราแน่ แล้วจักลุกขึ้นไปให้เปิดประตู
ห้องนางใน ของบุตรนั้น ส่งคนไปบอกว่า ผู้นี้เป็นสามี พวกเจ้าจงไป ทำ
อย่างใดอย่างหนึ่ง พยายามจับตัวมาให้ได้. นางรำทั้งหลายผู้อยู่ในวัยทั้งสามออก
ไปล้อมพระเถระไว้. ท่านกล่าวคำว่า ปุราณทุติยิกา เป็นต้น หมายถึงหญิง

หัวหน้า 2 คน ในบรรดานางรำเหล่านั้น. บทว่า ปจฺเจกํ ปาเทสุ คเหตฺวา
ได้แก่ จับพระเถระนั้นที่เท้าคนละข้าง. เพราะเหตุไร นางรำเหล่านั้น จึงกล่าว
อย่างนี้ว่า พระลูกเจ้าพ่อเอ่ย นางอัปสรเป็นเช่นไร. ได้ยินว่า ครั้งนั้นคน
ทั้งหลายเห็นเจ้าหนุ่มบ้าง พราหมณ์หนุ่มบ้าง ลูกเศรษฐีบ้าง เป็นอันมากละ
สมบัติใหญ่บวชกัน ไม่รู้คุณของบรรพชา จึงตั้งคำถามว่า เหตุไร คนเหล่านี้
จึงบวช. ที่นั้นคนเหล่าอื่นจึงกล่าวว่า เพราะเหตุแห่งเทพอัปสร เทพนาฏกะ.
ถ้อยคำนั้นได้แพร่ไปอย่างกว้างขวาง. นางฟ้อนรำเหล่านั้นทั้งหมด จำถ้อยคำ
นั้นได้แล้วจึงกล่าวอย่างนี้. พระเถระเมื่อจะปฏิเสธจึงกล่าวว่า น โข มยํ ภคินี
น้องหญิง เราไม่ใช่ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะเหตุแห่ง นางอัปสร. บทว่า
สมุทาจรติ แปลว่า ย่อมร้องเรียก ย่อมกล่าว. บทว่า ตตฺเถว มุจฉิตา ปปตึสุ
ความว่า นางรำทั้งหลายเห็นพระเถระร้องเรียกด้วยวาทะว่าน้องหญิง จึงคิดว่า
พวกเรามิได้ออกไปข้างนอกถึง 12 ปี ด้วยคิดว่า วันนี้ ลูกเจ้าจักมา พวกเรา
พึงเป็นอยู่ด้วยอำนาจของทารกเหล่าใด เราอาศัยท่านก็ไม่ได้ทารกเหล่านั้น
เราเป็นผู้เสื่อมทั้งข้างโน้นทั้งข้างอื่น ชื่อว่าโลกนี้เป็นของเราหรือ เพราะฉะนั้น
พวกนางรำแม้เหล่านั้น เมื่อคิดเพื่อตนว่า บัดนี้เราไม่มีที่พึงแล้ว ก็เกิดความ
โศกอย่างแรงว่า บัดนี้ท่านผู้นี้ไม่ต้องการพวกเรา และพวกเราก็ยังเป็นภริยาอยู่
เขาคงจะสำคัญเหมือนเด็กหญิง นอนอยู่ในท้องแม่คนเดียวกับตน จึงล้มสลบ
ลงในที่นั้นนั่นแหละ อธิบายว่า ล้มไป. บทว่า มา โน วเหเฐถ ความว่า
อย่าแสดงทรัพย์และส่งมาตุคามมาเบียดเบียนเราเลย.
ถามว่า พระเถระ กล่าวอย่างนั่นเพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะอนุเคราะห์
มารดาบิดา. เล่ากันว่า เศรษฐีนั้น สำคัญว่า ขึ้นชื่อว่า เพศบรรพชิต เศร้า
หมอง เราจักให้เปลื้องเพศบรรพชิตออกให้อาบน้ำ บริโภคร่วมกันสามคน
จึงไม่ถวาย ภิกษาแก่พระเถระ. พระเถระคิดว่า มารดาบิดาเหล่านี้กระทำ

อันตรายในอาหารแก่พระขีณาสพ เช่นเราจะพึงประสบสิ่งที่มิใช่บุญเป็นอันมาก
จึงกล่าวอย่างนี้ ด้วยความอนุเคราะห์มารดาบิดานั้น. บทว่า คาถา อภาสิ
แปลว่า ได้กล่าวคาถาทั้งหลาย. บรรดาบทเหล่านั้นด้วยบทว่า ปสฺส พระเถระ
กล่าวหมายถึงคนที่อยู่ใกล้. บทว่า จิตฺตํ แปลว่า งดงามด้วยสิ่งที่ปัจจัยก่อขึ้น
บทว่า พิมฺพํ แปลว่า อัตตภาพ. บทว่า อรุกายํ ได้แก่ กลุ่มแผลคือ ปากแผล
ทั้ง 9. บทว่า สมุสฺสิตํ ได้แก่ที่ผูกกระดูก 300 ท่อนกับเอ็น 900 ฉาบด้วย
ชิ้นเนื้อ 900 ยกขึ้นโดยรอบ. บทว่า อาตุรํ ได้แก่ อาดูรเป็นนิจเพราะอาดูร
ด้วยชรา อาดูรด้วยโรค และอาดูรด้วยกิเลส. บทว่า พหุสงฺกปฺปํ ความว่า
มีความดำริอย่างมาก ด้วยความดำริคือความปรารถนาที่เกิดขึ้นแก่ศพเหล่าอื่น.
เป็นความจริง เหล่าบุรุษย่อมเกิดความดำริในร่างกายของสตรี เหล่าสตรีย่อม
เกิดความดำริในร่างกายของบุรุษเหล่านั้น. อนึ่ง เหล่ากาและสุนัขเป็นต้นย่อม
ปรารถนาร่างกายนั้น แม้ที่เป็นซากศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
มีความดำริมาก. บทว่า ยสฺส นตฺถิ ธุวํ ฐิติ ความว่า กายใดไม่มีความตั้งมั่น
โดยส่วนเดียว เหมือนมายาพยัพแดดฟองน้ำต่อมน้ำเป็นต้น ความที่ร่างกายนั้น
มีอันแตกไปเป็นของธรรมดา เป็นของแน่นอน. บทว่า ตเจน โอนทฺธํ ได้แก่
หุ้มด้วยหนังมนุษย์สด. บทว่า สห วตฺเถภิ โสภติ ความว่า แม้รูปที่แต่งให้
งดงามด้วยของหอมเป็นต้น ด้วยกุณฑลมณี ย่อมงดงามพร้อมด้วยผ้าที่แต่งรูป
เว้นผ้าเสียก็น่าเกลียดไม่ควรมองดู. บทว่า อลฺลตฺตกกตา ได้แก่ รดด้วยน้ำ
ครั่งสด. บทว่า จุณณกมกฺขิตํ ได้แก่ เอาปลายเมล็ดพรรณผักกาดเเคะต่อม
ที่ใบหน้าเป็นต้นออก เอาดินเค็มกำจัดเลือดร้าย เอาแป้งงาทำโลหิตให้ใส
เอาขมิ้นประเทืองผิว เอาแป้งผัดหน้า. ด้วยเหตุนั้น ร่างกายนั้นจึงงามอย่างยิ่ง.
ท่านกล่าวคำนั้นหมายเอากายนั้น. บทว่า อฏฺฐปทกตา ความว่า ทำด้วยน้ำ
ต่างลากไปกระทำให้เป็นวงกลม ๆ ชายหน้าผาก แต้มให้เป็นแปดลอน. บทว่า

อญฺชนี ได้แก่ หลอดหยอดตา. บทว่า โอทหิ แปลว่า ตั้งไว้. บทว่า ปาสํ
ได้แก่ ข่ายที่ทำด้วยป่าน. บทว่า นาสทา ได้แก่ ไม่กระทบ. บทว่า นิวาปํ
ได้แก่อาหารเช่นกับเหยื่อและหญ้าที่กล่าวไว้ใน นิวาปสูตร. บทว่า กนฺทนฺเต
แปลว่า ร่ำร้องรำพัน.
ก็พระเถระแสดงมารดาบิดาให้เป็นเหมือนพรานล่าเนื้อด้วยคาถานี้.
แสดงเหล่าญาตินอกนั้นเป็นเหมือนบริวารของพรานล่าเนื้อ เงินและทองเหมือน
ข่ายป่าน โภชนะที่ตนบริโภคเหมือนเหยื่อและหญ้า ตนเอง เหมือนเนื้อใหญ่.
เปรียบเหมือนเนื้อใหญ่เคี้ยวเหยื่อและหญ้าเป็นอาหารตามต้องการ ดื่มน้ำ
ชูคอ ตรวจดูบริวาร คิดว่า เราไปสู่ที่นี้จักปลอดภัย กระโดดขึ้นมิให้กระทบ
บ่วงของเหล่านายพรานเนื้อ ผู้กำลังคร่ำครวญอยู่เข้าป่าไป ถูกลมอ่อน ๆ โชย
อยู่ภายใต้พุ่มไม้ประดุจฉัตร มีเงาทึบ ยืนตรวจดูทางที่มาฉันใด พระเถระก็
ฉันนั้นเหมือนกัน ครั้นกล่าวคาถาเหล่านี้แล้ว ก็เหาะไปปรากฏที่พระราชอุทยาน
ชื่อว่ามิคาจิระ. ถามว่า ก็เพราะเหตุไรพระเถระจึงเหาะไป. ตอบว่า ได้ยินว่า
เศรษฐีบิดาของพระเถระนั้น ให้ทำลูกดาลไว้ที่ ซุ้มประตูทั้ง 7 สั่งนักมวยปล้ำ
ไว้ว่า ถ้าพระเถระจักออกไป จงจับมือเท้าพระเถระไว้เปลื้องผ้ากาสายออกให้
ถือเพศคฤหัสถ์. เพราะฉะนั้น พระเถระจึงคิดว่า มารดาบิดานั้น จับมือเท้า
พระมหาขีณาสพเช่นเรา จะพึงประสบสิ่งมิใช่บุญ ข้อนั้น อย่าได้มีแก่มารดาบิดา
เลย จึงได้เหาะไป. ก็พระเถระชาวปรสมุทร ยังยืนกล่าวคาถาเหล่านี้แล้วเหาะ
ไปปรากฏที่พระราชอุทยาน มิคาจิระของพระเจ้าโกรัพยะ. แนวทางถ้อยคำมี
ดังนี้. คำว่า มิคฺคโว เป็นชื่อของคนเฝ้าพระอุทยานนั้น. บทว่า โสเธนฺโต
ได้แก่ กระทำทางไปพระราชอุทยานให้เสมอ ให้ถากสถานที่ที่ควรจะถาก ให้
กวาดสถานที่ที่ควรจะกวาดและกระทำการเกลียทรายโรยดอกไม้ตั้งหม้อน้ำเต็ม
ตั้งต้นกล้วยเป็นต้น ไว้ภายในพระราชอุทยาน. บทว่า เยน ราชา โกรโพฺย

เตนูปสงฺกมิ ความว่า คนเฝ้าสวน คิดว่า พระราชาของเรา ตรัสชมกุลบุตร
ผู้นี้ทุกเมื่อ ทรงมีพระประสงค์จะพบแต่ไม่ทรงทราบว่า กุลบุตรผู้นั้นมาแล้ว
เพราะฉะนั้น บรรณาการนี้เป็นของยิ่งใหญ่ เราจักไปกราบทูลพระราช จึงเข้า
ไปเฝ้าพระเจ้าโกรัพยะ.
บทว่า กิตฺตยมาโน อโหสิ ความว่า ได้ยินว่า พระราชานั้น ระลึก
แล้วระลึกถึงพระเถระตรัส คุณว่า กุลบุตรผู้ละสมบัติใหญ่เห็นปานนั้นบวชแล้ว
กลับมาอีกก็ไม่ใยดี ทั้งในท่ามกลางหมู่พล ทั้งท่ามกลางนางรำ ชื่อว่า กระทำ
กิจที่ทำได้ยาก. พระเจ้าโกรัพยนี้ทรงถือเอาคุณข้อนั้นจึงตรัส อย่างนี้. บทว่า
วิสฺชเชถาติ วตฺวา ความว่า สิ่งใดสมควรแก่ผู้ใดในพวกคนสนิท มหา -
อำมาตย์และไพร่พลเป็นต้น ก็ให้พระราชทานสิ่งนั้นแก่ผู้นั้น. บทว่า อุสฺสตาย
อุสฺสตาย
ความว่า ที่คับคั่งแล้วคับคั่งแล้ว. ทรงพาบริษัทที่คับคั่งด้วยมหา-
อำมาตย์ข้าราชการผู้ใหญ่เป็นต้นเข้าไปแล้ว. พระราชทรงสำคัญว่า เครื่องลาด
ไม้ยังบางจึงเป็นอันทรงกระทำให้ชั้นดอกไม้เป็นต้นหนา กำหนดไว้กว้าง ไม่
บอกกล่าวแล้วนั่งในที่เช่นนั้น ไม่ควรจึงกล่าวอย่างนี้ว่า อิธ ภวํ รฏฺฐปาโล
กฏฺฐตฺถเร นิสีทตุ
พระรัฐปาละผู้เจริญ โปรดนั่งบนเครื่องลาด
ไม้ในที่นี้. บทว่า ปาริชุญฺญานิ ความว่า ภาวะคือความเสื่อมได้แก่ความ
สิ้นไป. บทว่า ชิณฺโณ ได้แก่ แก่เพราะชรา. บทว่า วุฑฺโฒ คือ เจริญด้วยวัย.
บทว่า มหลฺลโก คือ แก่โดยชาติ. บทว่า อทฺธคโต คือ ล่วงกาลผ่านวัย.
บทว่า วโยอนุปฺปตฺโต คือถึงปัจฉิมวัยแล้ว. บทว่า ปพฺพชติ ได้แก่ไปวิหาร
ใกล้ ๆ ไหว้ภิกษุ ให้ท่านเกิดความการุณอ้อนวอนว่า ครั้งผมเป็นหนุ่ม ทำ
กุศลไว้มาก บัดนี้ เป็นคนแก่ ชื่อว่า การบรรพชานี้เป็นของคนแก่ กระผม
จักกวาดลานเจดีย์ กระทำการแผ้วถางเป็นอยู่ โปรดให้ผมบวชเถิดขอรับ.
พระเถระก็ให้บวช ด้วยความกรุณา. ท่านกล่าวคำนี้หมายถึงการบวชเมื่อแก่

นั้น . แม้ในวารที่สอง ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อปฺปาพาโธ ได้แก่ ไม่มี
โรค. บทว่า อปฺปาตงฺโก ได้แก่ ไม่มีทุกข์. บทว่า สมเวปากินิยา ได้แก่
ประกอบด้วยไฟธาตุ ที่ย่อยอาหารสม่ำเสมอดี. บทว่า คหณิยา ได้แก่ เตโธ
ธาตุ ที่เกิดแต่กรรม. อาหารของผู้ใด ที่พอบริโภคแล้วย่อมย่อย ก็หรือว่า
ของผู้ใดย่อมตั้งอยู่อย่างนั้นเหมือนอาหารที่ยังเป็นห่ออยู่ ประกอบด้วยไฟธาตุ
ที่ย่อยสม่ำเสมอกันทั้งสองนั้น. ส่วนผู้ใดเวลาบริโภคแล้วก็เกิดความต้องการ
อาหาร ผู้นี้ชื่อว่าประกอบด้วยไฟธาตุที่ย่อยสม่ำเสมอดี. บทว่า นาติสีตาย
นาจฺจุณฺหาย
ได้แก่. ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนักด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ. บทว่า
อนฺปพฺเพน ความว่า ตามลำดับเป็นต้นว่า พระราชาทรงพิจารณา. ในวาระ
ที่สองก็พึงทราบโดยลำดับ มีราชภัยโจรภัยและฉาตกภัยเป็นต้น. บทว่า
ธมฺมุทฺเทสา อุทฺทิฏฐา ได้แก่ ยกธรรมนิทเทสขึ้นแสดง. บทว่า อุปนียคิ
ได้แก่ ไปใกล้ชรามรณะ หรือ ถูกนำไปในชรามรณะนั้นด้วยความสิ้นอายุ.
บทว่า อทฺธุโว คือ เว้นจากการตั้งอยู่ยั่งยืน. บทว่า อตาโณ ได้แก่ เว้นจาก
ความสามารถที่จะต่อต้าน. บทว่า อนภิสฺสโร ได้แก่ ไม่มีสรณะ คือ
เว้นจากความสามารถที่จะมีสรณะให้ยิ่งแล้วเบาใจ. บทว่า อสฺสโก คือ ไม่มี
ของตน เว้นจากของที่เป็นของตน. บทว่า สพฺพํ ปหาย คมนียํ ได้แก่
โลกจำต้องละสิ่งทั้งปวง ที่กำหนดว่าเป็นของตนไป. บทว่า ตณฺหาทาโส
แปลว่า เป็นทาสแห่งตัณหา. บทว่า หตถิสฺมิ แปลว่า ในเพราะศิลปะช้าง.
บทว่า กตาวี ได้แก่ กระทำกิจเสร็จแล้ว ศึกษาเสร็จแล้ว อธิบายว่ามีศิลปะ
คล่องแคล่ว. ในบททั้งปวงก็นัยนี้. บทว่า อูรุพลี ได้แก่สมบูรณ์ด้วยกำลังขา.
จริงอยู่ ผู้ใดมีกำลังขาที่จะจับโล่และอาวุธ เข้าไปสู่กองทัพของปรปักษ์ ทำลาย
สิ่งที่ยังมิได้ทำลาย ธำรงสิ่งที่ทำลายไว้ได้แล้วนำราชสมบัติที่อยู่ในมือของ
ปรปักษ์มาได้. ผู้นี้ชื่อว่า มีกำลังขา. บทว่า พาหุพลี ได้แก่ สมบูรณ์ด้วย

กำลังแขน. คำที่เหลือ ก็เช่นกับนัยก่อนนั่นแล. บทว่า อลมตฺโต แปลว่า
มีอัตตภาพอันสามารถ. บทว่า ปริโยธาย วตฺติสฺสนฺติ ได้แก่ กำหนดถือ
เอาว่า จักครอบงำอันตรายที่เกิดขึ้นเป็นไป. พระราชานั้นทรงนำเหตุแห่ง
ธัมมุทเทศ ในเบื้องสูงมากล่าวคำนี้ว่า ท่านรัฐบาลผู้เจริญ เงินทองเป็นอันมาก
ในราชกูลนี้มีอยู่.
บทว่า อถาปรํ เอตทโวจ ความว่า พระเถระได้กล่าวลำดับ
ธัมมุทเทส 4 โดยนัยเป็นต้นว่า เอตํ ปสฺสามิ โลเก. ในบทเหล่านั้น บทว่า
ภิยฺโย จ กาเม อภิปตฺถยนฺติ ความว่า ปรารถนาวัตถุกามและกิเลสกามยิ่ง ๆ
ขึ้นไปอย่างนี้ว่า ได้หนึ่งอยากได้สอง ได้สองอยากได้สี่. บทว่า ปสยฺห ได้แก่
ข่มคุณสมบัติ. บทว่า สสาครนฺตํ ได้แก่พร้อมด้วยมีสาครเป็นที่สุด. บทว่า
โอรํ สมุททสฺส ความว่า ไม่อิ่มด้วยรัฐของตน มีสมุทรเป็นของเขต. บทว่า
น หตฺถิ ตัดบทว่า น หิ อตฺถิ แปลว่า ไม่มีเลย. บทว่า อโห วตาโน ตัด
บทว่า อโห วต นุ. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า อมราติจาหุ
ตัดบทว่า อมรํอิติ จ อาหุ. ท่านอธิบายว่า ญาติล้อมญาติผู้ตาย คร่ำครวญ
ชนทั้งหลายกล่าวคำเป็นต้นแม้ว่า โอ หนอ พี่ของเราตาย บุตรของเราตาย.
บทว่า ผุสนฺติ ผสฺ สํ คือ ถูกต้องมรณผัสสะ. บทว่า ตเถว ผุฏฺโฐ ความว่า
คนโง่ฉันใด แม้นักปราชญ์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มรณผัสสะถูกต้องแล้ว ชื่อว่า
คนที่มรณผัสสะไม่ถูกต้องไม่มี. ข้อความแปลกันมีดังนี้ . บทว่า พาโล หิ
พาลฺยา วิธิโตว เสติ
ความว่า คนโง่อาศัยมรณผัสสะ แทงแล้วนอนอยู่ เพราะ
ความเป็นคนพาลถูกมรณผัสสะ กระทบแล้วนอนอยู่ ย่อมหวั่นไหว ย่อมผันแปร
ด้วยความวิปฏิสารเป็นต้นว่า เราไม่ได้กระทำความดีไว้หนอ. บทว่า ธีโร จ
น เวธติ
ความว่า คนฉลาดเห็นสุคตินิมิต ก็ไม่หวั่นไม่ไหว. บทว่า ยาย
โวสานํ อิธาธิคจฺฉติ
ความว่า บรรลุพระอรหัตที่สุดแห่งกิจทั้งปวงในโลกนี้

ด้วยปัญญาอันใด ก็ปัญญาอันนั้นสูงสุดกว่าทรัพย์. บทว่า อโพฺยสิตตฺตา
ความว่า เพราะยังอยู่ไม่จบพรหมจรรย์ อธิบายว่า เพราะยังไม่มีการบรรลุ
อรหัต. บทว่า ภวาภเวสุ ได้แก่ ในภพเลวและประณีต. บทว่า อุเปติ
คพฺภญฺจ ปรญฺจ โลกํ
ความว่า เมื่อคนเหล่านั้นกระทำบาปอยู่ สัตว์ผู้ใด
ผู้หนึ่งต้องประสบสังสารวัฏสืบ ๆ ไป ย่อมเข้าถึงครรภ์และโลกอื่น. บทว่า
ตสฺสปฺปปญฺโย ความว่า คนไม่มีปัญญาอื่นก็เชื่อถือคนไม่มีปัญญาเช่นนั้นนั้น.
บทว่า สกมฺมุนา หญฺญติ ความว่า ย่อมเดือนร้อนด้วยกรรมกรณ์ มีตีด้วย
หวายเป็นต้น ด้วยอำนาจกรรมที่ตนเองทำไว้. บทว่า เปจฺจ ปรมฺหิ โลเก
ความว่า ไปจากโลกนี้แล้ว เดือดร้อนในอบายโลกอื่น. บทว่า วิรูปรูเปน
มีรูปต่าง ๆ อธิบายว่า มีสภาวะต่าง ๆ. บทว่า กามคุเณสุ ได้แก่ เห็น
อาทีนพในกามคุณทั้งปวงทั้งในปัจจุบันและภายภาคหน้า. บทว่า ทหรา แปลว่า
อ่อน โดยที่สุดเพียงเป็นกลละ. บทว่า วุฑฺฒา คือเกินร้อยปี. บทว่า อปณฺณกํ
สามญฺญเมว เสยฺโย
ความว่า มหาราช อาตมภาพ บวชเพราะใคร่ครวญแล้วว่า
สามัญญผลเท่านั้นไม่ผัดไม่แยกเป็นสองนำสัตว์ออกจากทุกข์โดยส่วนเดียว เป็น
ธรรมอันยิ่งกว่าด้วย ประณีตกว่าด้วย เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงเห็น ทรง
สดับอย่างไร จึงตรัสข้อใด จงจำอาตมภาพว่า อาตมภาพเห็นและฟังข้อนี้จึง
ออกบวช แล้วก็จบเทศนาแล.

จบ อรรถกถารัฏฐปาลสูตรที่ 2

3. มฆเทวสูตร



[452] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่อัมพวัน ของพระเจ้า
มฆเทวะ ใกล้เมืองมิถิลา. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแย้มพระสรวลให้
ปรากฏ ณ ประเทศแห่งหนึ่ง. ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดว่า
อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแย้มพระสรวล
พระตถาคตทั้งหลายไม่ทรงแย้มพระสรวลโดยหาเหตุมิได้ ดังนี้แล้ว จึงทำ
จีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ทูล
ถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงแย้มพระสรวล พระตถาคตทั้งหลายไม่ทรงแย้มพระสรวลโดย
หาเหตุมิได้.
[453] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้ว
ในเมืองมิถิลานี้แหละ ได้มีพระราชาพระนามว่ามฆเทวะ ทรงประกอบในธรรม
เป็นพระธรรมราชา เป็นพระมหาราชาผู้ทรงทั้งอยู่ในธรรม ทรงประพฤติ
ราชธรรมในพราหมณคหบดี ในชาวนิคมและชาวชนบท ทรงรักษาอุโบสถ
ทุกวันที่สิบสี่สิบห้าและแปดคำแห่งปักษ์. ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น ด้วยล่วงปี
เป็นอันมาก ล่วงร้อยปีเป็นอันมาก ล่วงพันปีเป็นอันมาก พระเจ้ามฆเทวะ
รับสั่งกะช่างกัลบกว่า ดูก่อนเพื่อนกัลบก ท่านเห็นผมหงอกเกิดบนศีรษะของ
เราเมื่อใด พึงบอกเราเมื่อนั้น . ช่างกลบกทูลรับพระเจ้ามฆเทวะว่า อย่างนั้น
ขอเดชะ. ด้วยล่วงปีเป็นอันมาก ล่วงร้อยปีเป็นอันมาก ล่วงพันปีเป็น
อันมาก ช่างกัลบกได้เห็นพระเกศาหงอกเกิดบนพระเศียรของพระเจ้ามฆเทวะ