เมนู

อรรถกถาโฆฏมุขสูตร



โฆฏมุขสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
ในพระสูตรนั้น บทว่า เขมิยัมพวัน ได้แก่ สวนมะม่วงอันมีชื่อ
อย่างนั้น1. คำว่า การบวชประกอบด้วยธรรม ได้แก่ การงดเว้นอันประ-
กอบด้วยธรรม. บทว่า เพราะไม่เห็น ความว่า เพราะไม่เห็นบัณฑิตเช่น
กับท่าน. คำว่า ก็หรือว่าในเหตุนี้ มีธรรมใดเป็นสภาพ ความว่า ก็หรือ
ว่าธรรมคือสภาวะนั้นเอง อันใดในที่นี้ เพราะไม่เห็นสภาวะอันนั้น . ด้วยบท
นี้ ท่านแสดงว่า ถ้อยคำของเราไม่เป็นประมาณ ธรรมอย่างเดียวเป็นประมาณ.
แต่นั้น พระเถระคิดว่า ในที่นี้พึงมีการงานมากเหมือนในเรือนอุโบสถ หมู่
จึงหลีกออกจากที่จงกรม เข้าไปนั่ง ณ บรรณศาลานั่งแล้ว . เพื่อจะแสดงเรื่อง
นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อกล่าวแล้วอย่างนี้ ดังนี้เป็นต้น . คำว่า พราหมณ์
4 คนเหล่านี้
ความว่า ได้ยินว่า พระเถระได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พราหมณ์
นี้กล่าวว่า ผู้เข้าถึงบรรพชาอันประกอบด้วยธรรมเป็นสมณะ หรือเป็นพราหมณ์
หามีไม่. พระเถระครั้นแสดงบุคคล 4 และบริษัท 2 แก่พราหมณ์นี้แล้ว
จึงเริ่มเทศนานี้ว่า เราจักถามบุคคลที่ 4 ว่า ท่านเห็นมีมากในบริษัทไหน
พราหมณ์เมื่อรู้อยู่กล่าวว่า ในบริษัทของผู้ไม่ครองเรือน เราจักให้พราหมณ์
นั้นกล่าวด้วยปากของตนนั่นเทียวว่า การงดเว้นที่ประกอบด้วยธรรมมีอยู่ ด้วย
ประการฉะนี้.

1. ส่วนนี้พระราชเทวีพระนามว่า เขมิยา ปลูกไว้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ผู้ยินดีแล้ว ยินดีแล้ว คือ กำหนัดนักแล้ว
เพราะราคะอันหนาแน่น. บทว่า กล่าวน่าเชื่อถือ คือ กล่าวมีเหตุ. สมดัง
คำที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่า ถ้อยคำของเราไม่เป็นประมาณ ธรรมอย่างเดียวเป็น
ประมาณ ด้วยคำว่า ประโยชน์อะไรแก่ท่านเล่า ท่านถามเพื่อจะเปลื้อง
เสียว่า ธรรมดาคฤหัสถ์พูดควรบ้าง ไม่ควรบ้าง.
บทว่า ให้ทำแล้ว ได้แก่ สร้างแล้ว ก็แล ครั้น ให้สร้างแล้ว กระทำ
กาละแล้วไปบังเกิดในสวรรค์. ได้ยินว่า ศิลปะที่ควรรู้ของเขานั้น ฆ่าทั้งมารดา
ฆ่าทั้งบิดาแล้ว ในบทว่า ตนพึงถูกศิลปะที่ควรรู้ฆ่า. ขึ้นชื่อว่าบุคคลรู้ศิลปะ
อย่างหนึ่ง สอนคนอื่นให้รู้ศิลปะนั้นแล้ว ไปเกิดในสวรรค์ไม่มี. ก็เทพบุตรนี้
อาศัยพระเถระกระทำบุญจึงไปบังเกิดในสวรรค์นั้น ก็แลครั้นบังเกิดแล้ว จึง
คิดว่า เรามาบังเกิดในที่นี้ด้วยกรรมอะไร ครั้นรู้ความจริงแล้ว เมื่อพระสงฆ์
ประชุมกันปฏิสังขรณ์โรงฉันที่เก่าแล้วในวันหนึ่ง จึงแปลงเพศเป็นมนุษย์มา
ถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระสงฆ์ประชุมกันเพื่ออะไร.
ภิกษุ. เพื่อปฏิสังขรณ์โรงฉัน.
เทพ. ใครให้สร้างศาลานี้ไว้.
ภิกษุ. นายโฆฏมุขะ.
เทพ. บัดนี้เขาไปไหน.
ภิกษุ. เขาตายเสียแล้ว.
เทพ. ก็ญาติไร ๆ ของเขามีบ้างไหม.
ภิกษุ. มีน้องหญิงคนหนึ่ง.
เทพ. จงให้เรียกเธอมา.

ภิกษุทั้งหลายให้เรียกเธอมาแล้ว. เขาก็เข้าไปหาหญิงนั้น กล่าวว่า
เราเป็นพี่ชายของเจ้า ชื่อโฆฏมุขะให้สร้างศาลานี้ไว้แล้ว ไปเกิดในสวรรค์
ฉันฝังทรัพย์ไว้ตรงโน้นแห่งหนึ่ง ตรงโน้นแห่งหนึ่ง เจ้าจงไปเอาทรัพย์นั้นมา
ให้สร้างโรงฉันนี้ด้วย เลี้ยงดูเด็ก ๆ ด้วย แล้วไหว้พระภิกษุสงฆ์ลอยขึ้นยัง
เวหาสไปสู่เทวโลกตามเดิม. คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ง่ายทั้งนั้นแล

จบอรรถกถาโฆฏมุขสูตรที่ 9

5. จังกีสูตร



[646] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในโกศลชนบทพร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงหมู่บ้านพราหมณ์ของชนชาวโกศลชื่อว่า โอปาสาทะ
ได้ทราบว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าไม้สาละอันชื่อว่า
เทพวัน ทางทิศเหนือแห่งหมู่บ้านโอปาสาทะ ก็สมัยนั้นแล พราหมณ์ชื่อว่า
จังกีปกครองหมู่บ้านโอปาสาทะ อันคับคั่งด้วยประชาชนและหมู่สัตว์ อุดมไปด้วย
หญ้า ไม้และน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร เป็นราชสมบัติอันพระเจ้าปเสนทิ-
โกศลโปรดพระราชทานเป็นรางวัลให้เป็นสิทธิ์.
[647] พราหมณ์และคฤหบดี ชาวบ้านโอปาสาทะได้สดับข่าวว่า
พระสมณโคดมศากยบุตรเสด็จออกผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในโกศล
ชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงหมู่บ้านโอปาสาทะ ประทับอยู่
ณ ป่าไม้สาละอันชื่อว่าเทพวัน ทางทิศเหนือแห่งหมู่บ้านโอปาสาทะ ก็กิตติศัพท์
อันงดงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ได้ขจรไปอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุ
นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์... เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อม
ทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น
งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถะทั้ง
พยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้0เห็นพระอรหันต์เห็นปานนั้น ย่อม
เป็นความดีแล.