เมนู

อรรถกถาพาหิติยสูตร



พาหิติยสูตร1 มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
ในพระสูตรนั้น บทว่า เอกปุณฺฑริกนาคํ ได้แก่ ช้างที่มีชื่อ
อย่างนี้. ได้ยินว่า เหนือซี่โครงของพญาช้าง นั้นมีที่ขาวอยู่ประมาณเท่าผล
ตาล เพราะฉะนั้น เขาจึงตั้งชื่อพระยาช้างนั้นว่า เอกปุณฑริกะ. บทว่า
สิริวฑฺฒํ มหามตฺตํ ได้แก่ มหาอำมาตย์มีชื่ออย่างนั้น ซึ่งขึ้นช้างอีก
เชือกหนึ่งต่างหากไปด้วย เพื่อจะสนทนาตามความผาสุก. บทว่า โน
ในคำว่า อายสฺมา โน นี้ เป็นนิบาตใช้ในการถาม. มหาอำมาตย์กำหนด
อาการที่พระเถระทรงสังฆาฏิและบาตรได้ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช.
บทว่า โอปารมฺโภ ความว่า ควรติเตียน คือ ควรแก่อันยกโทษ.
พระราชาตรัสถามว่า เราจะถามอย่างไร. พระราชาตรัสถามว่า พระสูตรนี้
เกิดขึ้นในเรื่องที่งาม เราจะถามเรื่องนั้น. บทว่า ยํ หิ มยํ ภนฺเต
ความว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เราทั้งหลายไม่อาจถือเอาบทว่า "อันสมณพราหมณ์
ผู้รู้แจ้ง" นี้ใดให้บริบูรณ์ด้วยปัญหาได้ เหตุอันนั้น ท่านพระอานนท์ผู้กล่าว
อยู่อย่างนี้ให้บริบูรณ์แล้ว . บทว่า อกุสโล ได้แก่ อันเกิดแต่ความไม่ฉลาด.
บทว่า สาวชฺโช ความว่า เป็นไปกับด้วยโทษ. บทว่า สพฺยาปชฺโฌ
ความว่า เป็นไปกับด้วยทุกข์. ในบทว่า ทุกฺขวิปาโก นี้ ท่านกล่าวถึง
วิบากที่ไหลออก. บทว่า ตสฺส ความว่า แก่กายสมาจารที่เป็นไปแล้วเพื่อ
ประโยชน์แก่ความเบียดเบียนตนเองเป็นต้น ดังที่กล่าวแล้วนั้น. ในคำว่า
ดูก่อนมหาบพิตร พระตถาคตละอกุศลธรรมได้ทั้งหมดแล ประกอบด้วย
กุศลธรรม นี้ คือ ทรงสรรเสริญการละอกุศลธรรมสิ้นทุกอย่างนั้นเองแล

1. ฉ. พาหิติกสูตร

เมื่อท่านกล่าวว่า "ขอถวายพระพรย่อมสรรเสริญ" คำถามย่อมมีด้วยประการใด
เป็นอันกล่าวอรรถด้วยประการนั้น อนึ่ง พยากรณ์อย่างนี้ ไม่พึงเป็นภาระ
เพราะแม้ผู้ที่ยังละอกุศลไม่ได้ ก็พึงสรรเสริญการละ อนึ่ง เพื่อแสดงว่า
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำอย่างไร ก็มีปรกติกล่าวอย่างนั้น เพราะทรงละ
อกุศลได้แล้ว จึงพยากรณ์อย่างนั้น. แม้ในฝ่ายขาวก็มีนัยนี้เหมือนกัน . บทว่า
พาหิติยานี้ เป็นชื่อของผ้าที่เกิดขึ้นในพาหิติรัฐ. คำว่า โดยยาว 16 ศอก
ความว่า โดยยาวมีประมาณ 16 ศอกถ้วน. คำว่า โดยกว้าง 8 ศอก
ความว่า โดยกว้าง 8 ศอกถ้วน. คำว่า ได้ทูลถวาย (ผ้าพาหิติกา)
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ความว่า ได้มอบถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ก็แลครั้นถวายแล้วได้ผูกทำเป็นเพดานในพระคันธกุฎี. ตั้งแต่นั้น พระคันธกุฎี
ก็งดงามโดยยิ่งกว่าประมาณ. คำที่เหลือในที่ทุกแห่ง ตื้นทั้งนั้นแหละ. อนึ่ง
เทศนาน จบแล้วด้วยสามารถแห่งไนยบุคคลแล.

จบอรรถกถาพาหิติยสูตรที่ 8

9. ธรรมเจติยสูตร



[559] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมของพวกเจ้าศากยะ
อันมีชื่อว่าเมทฬุปะ ในแคว้นสักกะ. ก็สมัยนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จ
ไปถึงนครกนิคมด้วยพระราชกรณียะบางอย่าง. ครั้งนั้นท้าวเธอรับสั่งกะทีฆ
การายนะเสนาบดีว่า ดูก่อนการายนะผู้สหาย ท่านจงเทียมยานที่ดี ๆ ไว้ เรา
จะไปดูภูมิภาคอันดีในพื้นที่อุทยาน. ทีฆการายนะเสนาบดีรับสนองพระราช
ดำรัสแล้ว ให้เทียมราชยานที่ดี ๆ ไว้ แล้วกราบทูลแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า
ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเทียมพระราชยานที่ดี ๆ ไว้ เพื่อใต้ฝ่าละอองธุลี
พระบาทพร้อมแล้ว ขอใต้ฝ่าพระบาททรงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด
ขอเดชะ.
[560] ลำดับนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จขึ้นทรงยานพระที่นั่ง
อย่างดีเสด็จออกจากนครกนิคม โดยกระบวนพระราชยานอย่างดี ๆ ด้วยพระ-
ราชานุภาพอันยิ่งใหญ่ เสด็จไปยังสวนอันรื่นรมย์ เสด็จพระราชดำเนินด้วย
ยานพระที่นั่งจนสุดภูมิประเทศที่ยานพระที่นั่งจะไปได้ จึงเสด็จลงทรงพระ-
ดำเนินเข้าไปยังสวน เสด็จพระราชดำเนินเที่ยวไป ๆ มา ๆ เป็นการพักผ่อน
ได้ทอดพระเนตรเห็นต้นไม้ล้วนน่าดู. ชวนให้เกิดความผ่องใส เงียบสงัด
ปราศจากเสียงอื้ออึง ปราศจากคนสัญจรไปมา ควรแก่การงานอันจะพึงทำใน
ที่ลับของมนุษย์ สมควรเป็นที่อยู่ของผู้ต้องการความสงัด ครั้นแล้วทรงเกิด
พระปีติปรารภถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าต้นไม้เหล่านี้นั้นล้วนน่าดู ชวนให้เกิด
ความผ่องใส เงียบสงัด ปราศจากเสียงอื้ออึง ปราศจากคนสัญจรไปมา ควร