เมนู

อย่างนี้มิได้มี. ดูก่อนราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สามที่อาตมภาพได้บรรลุแล้วใน
ปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัด
แล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตน
ส่งไปแล้วอยู่.

ความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย



[509] ดูก่อนราชกุมาร อาตมภาพนั้นได้มีความคิดเห็นว่า ธรรมที่
เราบรรลุแล้วนี้เป็นธรรมลึก ยากที่จะเห็นได้ สัตว์อื่นจะตรัสรู้ตามได้ยาก
เป็นธรรมสงบระงับ ประณีต ไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งลงได้ด้วยความตรึก เป็น
ธรรมละเอียด อันบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง. ก็หมู่สัตว์นี้มีความอาลัยเป็นที่รื่นรมย์
ยินดีในความอาลัย บันเทิงนักในความอาลัย. ก็การที่หมู่สัตว์ผู้มีความอาลัย
เป็นที่รื่นรมย์ ยินดีในความอาลัย บันเทิงนักในความอาลัย จะเห็นรานะนี้ได้
โดยยาก คือ สภาพที่อาศัยกันเกิดขึ้นเพราะความมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย. แม้ฐานะ
นี้ก็เห็นได้ยาก คือ สภาพเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง
ความสิ้นตัณหา ความปราศจากความกำหนัด ความดับโดยไม่เหลือ นิพพาน.
ก็เราพึงแสดงธรรม และสัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่รู้ทั่วถึงธรรมของเรา นั้นจะพึง
เป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่า เป็นความลำบากเปล่าของเรา. ดูก่อนราชกุมาร
ทีนั้น คาถาอันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อน มาปรากฏแจ่มแจ้ง
กะอาตมภาพว่า
บัดนี้ ยังไม่สมควรจะประกาศธรรม
ที่เราบรรลุได้โดยยาก ธรรมนี้อันสัตว์
ทั้งหลาย ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำไม่-
ตรัสรู้ได้ง่าย สัตว์ทั้งหลาย อันราคะย้อม

แล้ว อันกองมืดหุ้มห่อแล้ว จักไม่เห็น
ธรรม อันยังสัตว์ให้ไปทวนกระแส
ละเอียด ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก เป็นอณู
ดั้งนี้.

ดูก่อนราชกุมาร เมื่ออาตมภาพเห็นตระหนักอยู่ดังนี้ จิตของอาตมาภาพ
ก็น้อมไปเพื่อความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อแสดงธรรม.
[510] ดูก่อนราชกุมาร ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม ทราบความ
ปริวิตกแห่งใจของอาตมภาพด้วยใจแล้ว ได้มีความปริวิตกว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ
โลกจะฉิบหายละหนอ ดูก่อนท่านผู้เจริญ โลกจะฉิบทายละหนอ เพราะจิตของ
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าน้อมไปเพื่อความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย
ไม่น้อมไปเพื่อแสดงธรรม. ครั้นแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหมหายไปในพรหมโลก
มาปรากฏข้างหน้าของอาตมภาพ เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง พึ่งเหยียดแขนที่
คู้ออก หรือพึงคู้แขนที่เหยียดเข้าฉะนั้น. ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม
ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีมาทางอาตมภาพแล้วได้กล่าวว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด
ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรมเถิด สัตว์ทั้งหลายผู้มีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยมีอยู่
ย่อมจะเสื่อมเพราะไม่ได้ฟังธรรม สัตว์ทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักยังมีอยู่. ดูก่อน
ราชกุมาร ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้ว ภายหลังได้กล่าว
คาถาประพันธ์อื่นนี้อีกว่า
ธรรมที่ผู้มีมลทินทั้งหลายคิดกันแล้ว
ไม่บริสุทธิ์ ได้ปรากฏในชนชาวมคธ
ทั้งหลายมาก่อนแล้ว ขอพระองค์จงเปิด
อริยมรรค อันเป็นประตูพระนิพพานเถิด

ขอสัตว์ทั้งหลายจงได้ฟังธรรมที่พระองค์ผู้
ปราศจากมลทิน ตรัสรู้แล้วเถิด ข้าแต่
พระองค์ผู้มีเมธาดี มีจักษุรอบคอบ ขอ
พระองค์ผู้ปราศจากความโศก จงเสด็จ
ขึ้นปัญญาปราสาทอันแล้วด้วยธรรม ทรง
พิจารณาดูประชุมชนผู้เกลื่อนกล่นด้วย
ความโศก อันชาติชราครอบงำแล้ว
เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีจักษุยืนอยู่บนยอด
ภูเขาหินล้วน พึงเห็นประชุมชนโดยรอบ
ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้กล้าทรงชนะ
สงความแล้ว ผู้นำสัตว์ออกจากกันดารผู้
ไม่เป็นหนี้ ขอจงเสด็จลุกขึ้นเที่ยวไปใน
โลกเถิด ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
ธรรมเถิด สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงจักมีอยู่.


สัตว์เปรียบด้วยดอกบัว 3 เหล่า



[511] ดูก่อนราชกุมาร ครั้นอาตมภาพทราบว่าท้าวสหัมบดีพรหม
อาราธนาและอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จึงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ.
เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีใน
จักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อน
ก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้
ได้ยากก็มี บางพวกมีปรกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี. เปรียบเหมือน
ในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง