เมนู

เจรจาโต้ตอบกันอย่างไรบ้าง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์
ภารทวาชโคตรตกใจ เกิดโลมชาติชูชัน ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าพเจ้าปรารถนาจะกราบทูลเรื่องนี้แก่ท่านพระโคดม แต่ท่านพระโคดมตรัส
เสียก่อนที่ข้าพเจ้ายังไม่ทันกราบทูล ก็และเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพราหมณ์
ภารทวาชโคตรเจรจากันยังค้างอยู่ในระหว่างนี้ ลำดับนั้น มาคัณฑิยปริพาชก
กำลังเดินเที่ยวไปมาแก้เมื่อยอยู่ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังโรงบูชาไฟ
ของพราหมณ์ภารทวาชโคตร แล้วได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้น
ผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

พระพุทธเจ้าตรัสซักถามมาคัณฑิยะเรื่องกามคุณ


[279] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะมาคัณฑิยปริพาชกผู้นั่งอยู่ ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่งว่า ดูก่อนมาคัณฑิยะ นัยน์ตามีรูปเป็นที่มายินดี. . . หูมีเสียง
เป็นที่มายินดี. . .จมูกมีกลิ่นเป็นที่มายินดี. . .ลิ้นมีรสเป็นที่มายินดี. . .กายมีโผฏ-
ฐัพพะเป็นที่มายินดี. . .ใจมีธรรมารมณ์เป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในธรรม อัน
ธรรมให้บันเทิงแล้ว ใจนั่นตถาคตทรมานแล้ว คุ้มครองแล้ว รักษาแล้ว
สำรวมแล้ว อนึ่งตถาคตย่อมแสดงธรรมเพื่อสำรวมใจมั่น ดูก่อนมาคัณฑิยะ
คำที่ท่านกล่าวว่าพระสมณโคดมเป็นผู้กำจัดความเจริญนั้น ท่านหมายเอาความ
ข้อนี้ละซิหนอ.
มา. ท่านพระโคดม ก็คำที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า พระสมณโคดมเป็นผู้
กำจัดความเจริญนี้ ข้าพเจ้าหมายเอาความข้อนี้แหละ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร
เพราะคำเช่นนี้ลงกันในสูตรของข้าพเจ้า.

[280] ดูก่อนมาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บาง
คนในโลกนี้เป็นผู้เคยได้รับบำเรอด้วยรูปทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งด้วยนัยน์ตา
ที่สัตว์ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัด สมัยต่อมา เขารู้ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็น
เครื่องออกไปแห่งรูปทั้งหลายตามความเป็นจริง แล้วละตัณหาในรูป บรรเทา
ความเร่าร้อนอันเกิดเพราะปรารภรูป เป็นผู้ปราศจากความกระหาย มีจิตสงบ
ในภายในอยู่ ดูก่อนมาคัณฑิยะ ก็ท่านจะพึงว่าอะไรแก่ท่านผู้นี้เล่า.
ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่พึงว่าอะไร.
ดูก่อนท่านมาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บางคน
ในโลกนี้เป็นผู้เคยได้รับบำเรอด้วยเสียงทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู . . . ด้วย
กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก. . .ด้วยรสทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น...
ด้วยโผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย ที่สัตว์ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ
น่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด สมัยต่อมา เขารู้ความเกิด
ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องออกไปแห่งโผฏฐัพพะทั้งหลาย ตาม
ความเป็นจริง แล้วละตัณหาในโผฏฐัพพะ บรรเทาความเร่าร้อนที่เกิดขึ้น
เพราะปรารภโผฏฐัพพะ เป็นผู้ปราศจากความกระหาย มีจิตสงบในภายในอยู่
ดูก่อนมาคัณฑิยะ ก็ท่านจะพึงว่าอะไรแก่ท่านผู้นี้เล่า.
ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่พึงว่าอะไร.
[281] ดูก่อนมาคัณฑิยะ เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ก็
เป็นผู้อิ่มหนำ เพียบพร้อมด้วยกามคุณห้า บำเรอตนด้วยรูปอันจะพึงรู้แจ้ง
ด้วยนัยน์ตา ที่สัตว์ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ด้วยเสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู . . . ด้วยกลิ่นอันจะ

พึงรู้แจ้งด้วยจมูก . . . ด้วยรสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น. . . ด้วยโผฏฐัพพะอันจะพึง
รู้แจ้งด้วยกาย ที่สัตว์ปรารถนารักใคร่ ชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็น
ที่ตั้งแห่งความกำหนัด ดูก่อนมาคัณฑิยะ ปราสาทของเรานั้น ได้มีถึง 3 แห่ง
คือปราสาทหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝน ปราสาทหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูหนาว ปราสาท
หนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูร้อน เรานั้นได้รับบำเรอด้วยดนตรี ล้วนแต่สตรีไม่มีบุรุษ
เจือปนในปราสาท เป็นที่อยู่ในฤดูฝนตลอดสี่เดือน ไม่ได้ลงภายใต้ปราสาท
สมัยต่อมา เรานั้นรู้ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องออกไป
แห่งกามทั้งหลายตามความเป็นจริง แล้วละตัณหาในกาม บรรเทาความเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะปรารภกาม เป็นผู้ปราศจากความระหาย มีจิตสงบในภายในอยู่
เรานั้นเห็นหมู่สัตว์อื่นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัดในกาม ถูกกามตัณหาเคี้ยว
กินอยู่ ถูกความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นเพราะปรารภกามเผาอยู่ เสพกามอยู่ เรานั้น
ย่อมไม่ทะเยอทะยานต่อสัตว์เหล่านั้น ไม่ยินดีในกามนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะเรายินดีด้วยความยินดีที่เว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรมอยู่ จึงไม่ทะเยอ
ทะยานต่อธรรมอันเลว ไม่ยินดีในธรรมอันเลวนั้น.
[282] ดูก่อนมาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนคฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี
เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้า
บำเรอตนด้วยรูปอันพึงจะรู้แจ้งด้วยนัยน์ตา ที่สัตว์ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ
น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ด้วยเสียงอันจะพึงรู้แจ้ง
ด้วยหู . . . ด้วยกลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก . . . ด้วยรสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น. . .
ด้วยโผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย ที่สัตว์ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ น่ารัก
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เขาประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต
มโนสุจริต เมื่อตายไปพึงเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ พึงเข้าถึงความเป็นสหายของ

เทวดาชั้นดาวดึงส์ เทพบุตรนั้นอันหมู่นางอัปสรแวดล้อมในนันทวัน เอิบอิ่ม
เพียบพร้อมด้วยกามคุณห้าอันเป็นทิพย์ บำเรอตนอยู่ในดาวดึงส์เทวโลก เทพ-
บุตรนั้นได้เห็นคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี ผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้า
บำเรอตนอยู่ ดูก่อนมาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เทพบุตรนั้น
อันหมู่นางอัปสรแวดล้อมอยู่ในนันทวัน เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้าอัน
เป็นทิพย์บำเรอตนอยู่ จะพึงทะเยอทะยานต่อคฤหบดีต่อบุตรคฤหบดีโน้น หรือ
ต่อกามคุณห้าของมนุษย์ หรือจะพึงเวียนมาเพราะกามของมนุษย์บ้างหรือหนอ.
ไม่เป็นอย่างนั้น ท่านพระโคดม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกามอัน
เป็นทิพย์น่าใคร่ยิ่งกว่า และประณีตกว่า กว่ากามของมนุษย์.
ดูก่อนมาคัณฑิยะ เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อยังครองเรือนอยู่ในกาล
ก่อนเอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้า บำเรอตนด้วยรูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วย
นัยน์ตาที่สัตว์ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง
แห่งความกำหนัด ด้วยเสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู. . . ด้วยกลิ่นอันจะพึงรู้แจ้ง
ด้วยจมูก . . . ด้วยรสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น. . . ด้วยโผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้ง
ด้วยกาย ที่สัตว์ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ น่ารักประกอบด้วยกาม เป็นที่
ตั้งแห่งความกำหนัด สมัยต่อมา เรานั้นรู้ความเกิด ความดับ คุณ โทษ
และอุบายเป็นเครื่องออกไป แห่งกามทั้งหลายตามความเป็นจริง แล้วละตัณหา
ในกาม ได้บรรเทาความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นเพราะปรารภกามได้แล้ว เป็นผู้
ปราศจากความระหาย มีจิตสงบในภายในอยู่ เรานั้นเห็นหมู่สัตว์อื่นที่ยังไม่
ปราศจากความกำหนัดในกาม ถูกกามตัณหาเคี้ยวกินอยู่ ถูกความเร่าร้อนที่
เกิดขึ้นเพราะปรารภกามเผาอยู่ เสพกามอยู่ ย่อมไม่ทะเยอทะยานต่อสัตว์
เหล่านั้น ไม่ยินดีในกามนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเรายินดีอยู่ ด้วยความ

ยินดีที่เว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรม ทั้งเป็นความยินดีที่ล่วงเลยความสุข
เป็นของทิพย์ตั้งอยู่ จึงไม่ทะเยอทะยานต่อธรรมอันเลว ไม่ยินดีในธรรมอันเลว
นั้นเลย.

เปรียบผู้บริโภคกามเหมือนคนโรคเรื้อน


[283] ดูก่อนมาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนบุรุษโรคเรื้อน มีตัวเป็นแผล
มีตัวอันสุก อันกิมิชาติบ่อนอยู่ เกาปากแผลอยู่ด้วยเล็บ ย่างกายให้ร้อนที่หลุม
ถ่านเพลิง มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของเขา พึงตั้งแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดให้
รักษา แพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดนั้น พึงทำยารักษาบุรุษนั้น บุรุษนั้นอาศัยยา
แล้วจึงหายจากโรคเรื้อน เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข มีเสรีภาพ มีอำนาจใน
ตนเองจะไปไหนได้ตามความพอใจ บุรุษนั้นได้เห็นบุรุษโรคเรื้อนคนอื่น มีตัว
เป็นแผลมีตัวสุก อันกิมิชาติบ่อนอยู เกาปากแผลอยู่ด้วยเล็บ ย่างกายให้ร้อน
ที่หลุมถ่านเพลิง ดูก่อนมาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษ
นั้นพึงทะเยอทะยานต่อบุรุษโรคเรื้อนคนโน้น ต่อหลุมถ่านเพลิง หรือต่อการ
กลับเสพยาบ้างหรือหนอ.
ไม่อย่างนั้น ท่านพระโคดม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเมื่อยังมีโรค
กิจที่ควรทำด้วยยาก็ต้องมี เมื่อไม่มีโรค กิจที่ควรทำด้วยยาก็ไม่ต้องมี.
ดูก่อนมาคัณทิยะ เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อยังครองเรือนอยู่ในกาล
ก่อนเอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้า บำเรอคนอยู่ด้วยรูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วย
นัยน์ตา ที่สัตว์ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่
ตั้งแห่งความกำหนัด ด้วยเสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู . . . ด้วยกลิ่นอันจะพึงรู้
แจ้งด้วยจมูก. . . ด้วยรสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น. . . ด้วยโผฏฐัพพะอันจะพึงรู้