เมนู

6. ลฑุกิโกปมสูตร


พระอุทายี


[175] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในอังคุตตราปชนบท มี
นิคมของชาวอังคุตตราปะชื่ออาปนะเป็นโคจรคาม ครั้งนั้น เวลาเข้าพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังอาปน-
นิคม ครั้นเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในอาปนนิคมแล้ว เวลาปัจฉาภัตกลับจาก
บิณฑบาตแล้วเสด็จเข้าไปยังไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง เพื่อประทับพักกลางวันที่โคน
ต้นไม้แห่งหนึ่งเวลาเช้าวันนั้น แม้ท่านพระอุทายีก็นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร
เข้าไปบิณฑบาตยังอาปนนิคม ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในอาปนนิคมแล้ว เวลา
ปัจฉาภัตกลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปยังไพรสณฑ์นั้น เพื่อพักกลางวัน ครั้น
ถึงไพรสณฑ์นั้นแล้ว นั่งพักกลางวันที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง ครั้งนั้น เมื่อท่าน
พระอุทายีอยู่ในที่ลับ เร้นอยู่ เกิดความดำริแห่งจิตอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงนำธรรมอันเป็นเหตุแห่งทุกข์เป็นอันมากของเราทั้งหลายออกไปได้หนอ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำธรรมอันเป็นเหตุแห่งสุขเป็นอันมากเข้ามาให้แก่เรา
ทั้งหลายหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนำอกุศลธรรมเป็นอันมากของเราทั้งหลาย
ออกไปได้หนอ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนำกุศลธรรมเป็นอันมากเข้ามาให้แก่
เราทั้งหลายหนอ ลำดับนั้นเวลาเย็น ท่านพระอุทายีออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

[176] ท่านพระอุทายีนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เมื่อข้า
พระองค์อยู่ในที่ลับ เร้นอยู่ ได้เกิดความดำริแห่งจิตอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงนำธรรมอันเป็นเหตุแห่งทุกข์เป็นอันมากของเราทั้งหลายออกไปได้
หนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำธรรมอันเป็นเหตุแห่งสุขเป็นอันมากเข้ามาให้
แก่เราทั้งหลายหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำอกุศลธรรมเป็นอันมากของเรา
ทั้งหลายออกไปได้หนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำกุศลธรรมเป็นอันมากเข้ามา
ให้แก่เราทั้งหลายหนอ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยเมื่อก่อน ข้าพระองค์เคยฉันได้ทั้งเวลาเย็น
ทั้งเวลาเช้า ทั้งเวลาวิกาลในกลางวัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้มีสมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอ
เตือน เธอทั้งหลายจงละการฉันโภชนะในเวลาวิกาลในเวลากลางวันนั้นเสียเถิด
ดังนี้ ข้าพระองค์นั้นมีความน้อยใจ มีความเสียใจ คฤหบดีทั้งหลายผู้มีศรัทธา
จะให้ของควรเคี้ยวของควรบริโภคอันประณีต ในเวลาวิกาลในกลางวัน แก่เรา
ทั้งหลาย แม้อันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการละ แม้อันนั้นของเราทั้งหลาย
เสียแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายนั้น เมื่อเห็นกะความรัก
ความเคารพ ความละอาย และความเกรงกลัว ในพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงละ
การฉันโภชนะในเวลาวิกาลในกลางวันนั้นเสีย ด้วยประการอย่างนี้.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายนั้นย่อมฉันในเวลาเย็น และ
เวลาเช้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้มีสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือน เธอทั้งหลายจงละเว้นการฉัน

โภชนะในเวลาวิกาลในราตรีนั้นเสียเถิด ดังนี้ ข้าพระองค์นั้นมีความน้อยใจ
มีความเสียใจว่า ความที่ภัตทั้งหลายเป็นของปรุงประณีตกว่าอันใด พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสการละอันนั้นของเราทั้งหลายเสียแล้ว พระสุคตตรัสการสละคืน
อันนั้นของเราทั้งหลายเสียแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว บุรุษ
คนใดได้ของสมควรจะแกงมาในกลางวัน จึงบอกภริยาอย่างนี้ว่า เอาเถิด จง
เก็บสิ่งนี้ไว้ เราทั้งหมดเทียว จักบริโภคพร้อมกันในเวลาเย็น อะไร ๆ ทั้ง
หมดที่สำหรับจะปรุง ย่อมมีรสในเวลากลางคืน กลางวันมีรสน้อย ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายนั้นเห็นกะความรัก ความเคารพ ความละ
อาย และความเกรงกลัวในพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงพากันละการบริโภคโภชนะ
ในเวลาวิกาลในราตรีนั้นเสีย ด้วยประการอย่างนี้.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว ภิกษุทั้งหลายเที่ยวไปบิณฑ-
บาตในเวลามืดค่ำ ย่อมเข้าไปในบ่อน้ำครำบ้าง ลงไปในหลุมโสโครกบ้าง บุก
เข้าไปยังป่าหนามบ้าง เหยียบขึ้นไปบนแม่โคกำลังหลับบ้าง พบกับโจรผู้ทำ
โจรกรรมแล้วบ้าง ยังไม่ได้ทำโจรกรรมบ้าง มาตุคามย่อมชักชวนภิกษุเหล่านั้น
ด้วยอสัทธรรมบ้าง.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว ข้าพระองค์เที่ยวบิณฑบาต
ในเวลามืดค่ำ หญิงคนหนึ่งล้างภาชนะอยู่ ได้เห็นข้าพระองค์โดยแสงฟ้าแลบ
แล้วตกใจกลัวร้องเสียงดังว่า ความไม่เจริญได้มีแก่เราแล้ว ปีศาจจะมากินเรา
หนอ. เมื่อหญิงนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้พูดกะหญิงนั้นว่า
ไม่ใช่ปีศาจดอกน้องหญิง เป็นภิกษุยืนเพื่อบิณฑบาต ดังนี้ หญิงนั้นกล่าว
ว่า บิดาของภิกษุตายเสียแล้ว มารดาของภิกษุตายเสียแล้ว ดูก่อนภิกษุ ท่าน
เอามีดสำหรับเชือดโคที่คมเชือดต้องเสียยังจะดีกว่า การที่ท่านเที่ยวบิณฑบาต

ในเวลาค่ำมืดเพราะเหตุแห่งท้องเช่นนั้น ไม่ดีเลย ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงเรื่องนั้นอยู่ มีความคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงนำธรรมอันเป็นเหตุแห่งทุกข์เป็นอันมากของเราทั้งหลายออกไปเสียได้หนอ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำธรรมอันเป็นเหตุเเห่งสุขเป็นอันมากเข้ามาให้แก่เรา
ทั้งหลายหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำอกุศลธรรมเป็นอันมากของเราทั้ง-
หลายออกไปเสียได้หนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำกุศลธรรมเป็นอันมากเข้า
มาให้แก่เราทั้งหลายหนอ.

อุปมาด้วยนางนกมูลไถ


[177] ก็อย่างนั้นแลอุทายี โมฆบุรุษบางพวกในธรรมวินัยนี้ เมื่อ
เรากล่าวว่า จงละโทษสิ่งนี้เสียเถิด เขากลับกล่าวอย่างนี้ว่า ทำไมจะต้องว่า
กล่าวเพราะเหตุแห่งโทษเพียงเล็กน้อยนี้เล่า พระสมณะนี้ช่างขัดเกลาหนักไป
เขาจึงไม่ละโทษนั้นด้วย ไม่เข้าไปตั้งความยำเกรงในเราด้วย ดูก่อนอุทายี อนึ่ง
โทษเพียงเล็กน้อยของภิกษุทั้งหลายผู้ใคร่ในสิกขานั้น ย่อมเป็นเครื่องผูกอันมี
กำลัง มั่น แน่นแฟ้น ไม่เปื่อย เป็นเหมือนท่อนไม้ใหญ่ ดูก่อนอุทายี เปรียบ
เหมือนนางนกมูลไถ ถ้าผูกไว้ด้วยเครื่องผูกคือเถาวัลย์หัวด้วน ย่อมรอเวลาที่
จะฆ่าหรือเวลาที่จะถูกมัดหรือเวลาตาย ในที่นั้นเอง ฉันใด ดูก่อนอุทายี ผู้ใด
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า เครื่องดักคือเถาวัลย์หัวด้วนสำหรับเขาใช้ดักนางนกมูลไถ
ซึ่งมันรอเวลาที่จะถูกฆ่า หรือเวลาที่จะถูกมัด หรือเวลาตายนั้น เป็นเครื่อง
ผูกไม่มีกำลัง บอบบาง เปื่อย ไม่มีแก่น ดังนี้ ผู้นั้นเมื่อกล่าว ชื่อว่าพึง
กล่าวโดยชอบหรือหนอ.
ไม่ชอบ พระเจ้าข้า เครื่องดักคือเถาวัลย์หัวด้วนสำหรับเขาใช้ดักนาง
นกมูลไถ ซึ่งมันรอเวลาที่จะถูกฆ่า หรือเวลาที่จะถูกมัด หรือเวลาตายในที่