เมนู

เถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่ จักละปฏิฆะได้ เธอจงเจริญ
อสุภภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวนาอยู่ จักละราคะได้ เธอจงเจริญ
อนิจจสัญญาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่ จักละ
อัสมิมานะได้.

อานาปานสติภาวนา


[146] ดูก่อนราหุล เธอจงเจริญอานาปานสติภาวนาเถิด เพราะ
อานาปานสติที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผล มีอานิสงส์ใหญ่
ก็อานาปานสติอันบุคคลเจริญอย่างไร ทำให้มากอย่างไร จึงมีผลใหญ่ มี
อานิสงส์ใหญ่ ดูก่อนราหุล ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้
ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอ
มีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออก
ยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัด
ว่า หายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า
จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้กองลม
ทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขารหายใจออก ย่อม
สำเหนียกว่า จักระงับกายสังขารหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปิติ
หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
จักกำหนดรู้สุขหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้สุขหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนด
รู้จิตสังขารหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับจิตสังขารหายใจออก ย่อม
สำเหนียกว่า จักระงับจิตสังขารหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิต

หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
จักทำจิตให้ร่าเริงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักทำจิตให้ร่าเริงหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า จักดำรงจิตมั่นหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักดำรงจิตมั่น
หายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า จักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จัก
เปลื้องจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยง
หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมอันปราศจากราคะหายใจออก ย่อมสำเหนียก
ว่า จักพิจารณาธรรมอันปราศจากราคะหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า จัก
พิจารณาธรรมเป็นที่ดับสนิทหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรม
เป็นที่ดับสนิทหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่สละคืน
หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่สละคืนหายใจเข้า ดูก่อน
ราหุล อานาปานสติที่บุคคลเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมมี
ผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ดูก่อนราหุล เมื่ออานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้ว
อย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ อันมีในภายหลัง อัน
บุคคลผู้เจริญอานาปานสติทราบชัดแล้ว ย่อมดับไป จะเป็นอันบุคคลผู้เจริญ
อานาปานสติไม่ทราบชัดแล้ว ดับไปหามิได้ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว ท่านพระราหุลมีใจยินดี
ชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้แล.

จบมหาราหุโลวาทสูตรที่ 2

2. อรรถกถามหาราหุโลวาทสูตร
มหาราหุโลราทสูตรมีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับ
มาอย่างนี้.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อนุพนฺธิ พระราหุลได้ตาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ ความว่า พระราหุลไม่ละสายตา
ตามไปเบื้องพระปฤษฎางค์ไม่ขาดระยะด้วยการตามไปทุกอิริยาบถ. ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงย่างพระบาทไปข้างหน้าด้วยความงดงาม. พระราหุลเถระ
เดินตามเสด็จพระทศพลไป ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปท่ามกลางป่าไม้
สาละมีดอกบานสะพรั่ง ทรงรุ่งเรืองดุจช้างตัวประเสริฐตกมันออกไปเพื่อหยั่ง
ลงสู่สมรภูมิ. พระราหุลภัททะรุ่งเรืองดุจลูกช้างตามไปข้างหลังช้างตัวประเสริฐ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรุ่งเรืองดุจไกรสรสีหราชออกจากาถ้ำแก้วไปแสวงหา
อาหารในเวลาเย็น. พระราหุลภัททะรุ่งเรืองดุจละกสีหะออกติดตามสีหมฤคราช.
พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจพญาเสือโคร่งมีกำลังที่เขี้ยวออกจากไพรสัณฑ์มณีบรรพต
อันมีสง่า. พระราหุลภัททะดุจลูกพญาเสือโคร่งติดตามพญาเสือโคร่ง. พระผู้มี
พระภาคเจ้าดุจพญาครุฑออกจากสระสิมพลี. พระราหุลภัททะดุจลูกพญาครุฑ
ตามไปข้างหลังพญาครุฑ. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจพญาหงส์ทองบินร่อนไปบน
ท้องฟ้าจากภูเขาจิตตกูฎ. พระราหุลภัททะดุจลูกหงส์บินร่อนตามพญาหงส์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจมหานาวาทองเคลื่อนลงสู่สระใหญ่. พระราหุลภัททะดุจ
เรือลำเล็กผูกติดช้างหลังแล่นตามเรือทอง. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจพระเจ้า
จักรพรรดิเสด็จไปบนท้องฟ้าด้วยอานุภาพจักรแก้ว. พระราหุลภัททะดุจ
ปริณายกแก้วติดตามพระเจ้าจักรพรรดิ. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจดวงดาวลอยบน

ท้องฟ้าซึ่งปราศจากฝน. พระราหุลภัททะดุจดาวประกายพรึกบริสุทธิ์ลอยไป
ตามดาวอธิบดี. เเม้พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระราหุลภัททะก็ทรงอุบัติในราช-
วงศ์โอกกากราชสืบเธอพระวงศ์จากพระเจ้ามหาสมมต. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า
แม้พระราหุลภัททะก็ทรงอุบัติในตระกูลกษัตริย์มีพระชาติบริสุทธิ์ เช่นกับ
น้ำนมที่ใส่ไว้ในสังข์. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระราหุลภัททะก็ทรงสละ
ราชสมบัติออกทรงผนวช. พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าประดับด้วยมหา-
ปุริสลักษณะ 32 ประการ แม้ของพระราหุลภัททะก็เป็นที่น่ารักอย่างยิ่ง ดุจ
ซุ้มประตูแก้วอันตั้งขึ้นในเทพนครและดุจดอกไม้สวรรค์บานแผ่ไปในที่ทั้งปวง.
ด้วยประการฉะนี้ แม้ทั้งสองพระองค์สมบูรณ์ด้วยอภินีหาร เป็นราช-
บรรพชิตเป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ มีพระฉวีดุจทองคำสมบูรณ์ด้วยลักษณะ เสด็จ
ดำเนินไปทางเดียวกัน รุ่งเรืองดุจครอบงำสริ แห่งสิริของจันทมณฑลทั้งสอง
สุริยมณฑลทั้งสอง ท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันตุสิตะ ปรนิมมิตวสวัตดี และ
มหาพรหมเป็นต้นทั้งสองซึ่งไปตามลำดับ. ในขณะนั้นท่านพระราหุลเสด็จไป
ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูพระตถาคตตั้งแต่พื้น
พระบาทจนถึงปลายพระเกสา. ท่านพระราหุลนั้นทอดพระเนตรเห็นความงดงาม
ของเพศพระพุทธเจ้าของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงมีพระสรีระวิจิตรด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการงดงาม ได้เป็นดุจเสด็จ
ไปท่ามกลางผงทองคำอันกระจัดกระจาย เพราะแวดล้อมด้วยพระรัศมีวาหนึ่ง
ดุจกนกบรรพตอันแวดล้อมด้วยสายฟ้า ดุจทองคำมีค่าวิจิตรด้วยรัตนะอันฉุดคร่า
ด้วยยนต์ แม้ทรงห่มคลุมด้วยผ้าบังสกุลจีวรสีแดง ก็ทรงงามดุจภูเขาทองอัน
ปกคลุมด้วยผ้ากัมพลแดง ดุจทองคำมีค่าประดับด้วยสายแก้วประพาฬ ดุจเจดีย์
ทองคำที่เขาบูชาด้วยผงชาด ดุจเสาทองฉาบด้วยน้ำครั่ง ดุจดวงจันทร์วันเพ็ญ
โผล่ขึ้นในขณะนั้นไปในระหว่างฝนสีแดง. สิริสมบัติของอัตภาพที่ได้เตรียมไว้

ด้วยอานุภาพแห่งสมติงสบารมี. จากนั้นพระราหุลเถระก็ตรวจดูตนบ้าง ทรง
ดำริว่า แม้เราก็งาม หากพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงครองความเป็นพระเจ้า
จักรพรรดิในมหาทวีปทั้ง 4 ได้ทรงประทานตำแหน่งปริณายกแก่เรา เมื่อเป็น
เช่นนั้น. ภาคพื้นชมพูทวีปจักงามยิ่งนัก จึงเกิดฉันทราคะอันอาศัยเรือน
เพราะอาศัยอัตภาพ
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินไปเบื้องหน้าก็ทรงดำริว่า บัดนี้
ราหุลมีร่างกายสมบูรณ์ด้วยผิวเนื้อและโลหิตแล้ว. เป็นเวลาที่จิตฟุ้งซ่านไปใน
รูปารมณ์เป็นต้นอันน่ากำหนัด. ราหุลยังกาลให้ล่วงไปเพราะเป็นผู้มักมากหรือ
หนอ. ครั้นแล้วพร้อมกับทรงคำนึงได้ทรงเห็นจิตตุปบาทของราหุลนั้น ดุจเห็น
ปลาในน้ำใสและดุจเห็นเงาหน้าในพื้นกระจกอันบริสุทธิ์. ก็ครั้นทรงเห็นแล้ว
ได้ทรงทำพระอัธยาศัยว่า ราหุลนี้เป็นโอรสของเรา เดินตามหลังเรา มาเกิด
ฉันทราคะอันอาศัยเรือนเพราะอาศัยอัตภาพว่า เรางาม ผิวพรรณของเราผ่อง
ใส. ราหุลแล่นไปในที่มิใช่น่าดำเนิน ไปนอกทาง เที่ยวไปในโคจร ไปยังทิศ
ที่ไม่ควรไปดุจคนเดินทางหลงทิศ. อนึ่งกิเลสของราหุลนี้เติบโตขึ้นในภายใน
ย่อมไม่เห็นแม้ประโยชน์ตน แม้ประโยชน์ผู้อื่น แม้ประโยชน์ทั้งสองตามความ
เป็นจริง. จากนั้นจักถือปฏิสนธิในนรกบ้าง ในกำเนิดเดียรัจฉานบ้าง ในปิตติ-
วิสัยบ้าง ในครรภ์มารดาอันคับแคบบ้าง เพราะเหตุนั้นจักตกไปในสังสาร-
วัฏอันไม่รู้เบื้องต้นที่สุด. เพราะ
ความโลภนี้ยังความพินาศให้เกิด
ความโลภยังจิตให้กำเริบ ภัยเกิดแต่ภายใน
ชนย่อมไม่รู้สึกถึงภัยนั้น คนโลภย่อมไม่รู้
อรรถ คนโลภย่อมไม่เห็นธรรม ความมืด
ตื้อย่อมมีในกาลที่ความโลภครองงำคน.
















































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































t แม้พระผู้้มีพระภาคเจ้าเสด็จคำเนิร.Aไปเบ่ ว.ิ งห.น าํ ก็.ทะงดำริว่า บัดนี้
ร่ าหุลมีร่างาr ายสมบูรณ์ด้วยผิวเนื้อและโลหิตแล้ว. เบในเวลาที่จิตพ ุ่ง ่P นไปํใน
รูปา)2มณ์เป็นต้นอัน น่ากำหนัด. ราหุลยังกาลให้ล่วงไปเพราะเป็น.ผู้มัก์มาก หรือ
หนอ. ครั้นแล้วพร้อมกับท.รงคำนี้ึงไค่ ทรงเห นจิตคุปบาทของราหุลนั้น ดุจเห็น
ปาเ า นน้ำใสและดุจเห็นเงา Aนา ในห 4นกระจกอันบริสุทธิ์ . กีครั้นทรงเห็นแล้ว
า7้ทรงทำพระอัธํยาศัยว่า ราหุลน้เป็นโอรสขอะเรา เดินคามา ลังเรา รJาเกิf
ฉ ันทราคะอันวค าศัยเรือนเพราะอาศัยL'่วัดคภาพว่า เรางา I ผิวพร์รณของเราผ่อง
ใ.ส. ราหุรษ แล่นไปในทีํมิใช่น่าดำเนิน ไปนอกท' ง เทีํยวไปในอโคจร ไปยังทิศA
ทีไม่ควรไปางุจคนเกPินทางหลงทิศ. อนึ่งกิเลสของราหุลน้เทิบโทขึ้นในภายใน
ย่อมไไj่เห็นแม้ประโยชน์์คน แม้ประโยชน์น์ผู้อีน แ J้ประโยชน์์ทั้งสองคามควา j ่่่
เป็นจริง. จากนั้น จักถือปฏิสนธิในนรกบ้าง โนกำเนิดเดียรัจฉานบ้าง นบิ่คติ0 .ส
วิสัยบ้่]ง ในครรภ์มารดาอันคับแคบบ้าง เพราะเหตุนั้นจักทกไปในสังสาร lII.
วัฏอันไม่รู้เบื้องต้นทีํสุคํ เพราะ I .ํ่ ่
ความใลภนั้ยังความพ้นาศให้เถิด .่่่
ความโ ภยังจ้ตให้กำเร้บ ภัยเ้ ดแต่ภายใน I.่่่
นย่อมไม่รู้สืกถึงภัยน้นั คนโลภย่อมไม่รู้
อรรถ คนใลกย่อมไม่เห็นธรรม ความมิด I
ติอยู่อมมีในกาลทิความใลภครอบงำคน. ้ I

เราไม่ควรเพิกเฉยราหุลนี้เหมือนอย่างเรือลำใหญ่เต็มไปด้วยรัตนะมาก
มายบรรจุน้ำไปในระหว่างกระดานแตก นายเรือไม่ควรเพิกเฉยแม้เพียงครู่เดียว
ฉะนั้น. เราจักข่มราหุลนั้นตราบเท่าที่กิเลสนี้ยังไม่ทำให้ศีลรัตนะเป็นต้นใน
ภายในของราหุลนั้นพินาศไปเสียก่อน. ในฐานะเห็นปานนี้ เป็นธรรมดาของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงเหลียวดูดุจพญาช้าง. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจึงทรงประทับยืนหมุนพระวรกายทั้งสิ้น ดุจปฏิมาทองหมุนกลับตรัส
เรียกพระราหุลภัททะ. พระอานนทเถระหมายถึงพระราหุลภัททะนั้นจึงกล่าว
คำมีอาทิว่า อถ โข ภควา อวโลเกตฺวา ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงผินพระพักตร์ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้นบทมีอาทิว่า ยํ กิญฺจิ รูปํ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง
พิสดารแล้วในขันธนิเทศในวิสุทธิมรรคโดยอาการทั้งปวง. บทมีอาทิว่า
เนตํ มม นั่นไม่ใช่ของเรา ท่านกล่าวไว้แล้วในมหาหัตถิปโทปมสูตร.
เพราะเหตุไร พระราหุลจึงทูลถามว่า รูปเมว นุโข ถควา ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า รูปเท่านั้นหรือพระเจ้าข้า. นัยว่าพระราหุลนั้นเกิดนัยขึ้น
เพราะสดับว่า รูปทั้งปวงนั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของ
เรา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอพึงเห็นรูปทั้งปวงอย่างนี้ด้วยวิปัสสนาปัญญา
ในเวทนาเป็นต้นจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ. เพราะฉะนั้นพระราหุลตั้งอยู่ในนัย
นั้นจึงทูลถาม. จริงอยู่ท่านพระราหุลนี้เป็นผู้ฉลาดในนัย เมื่อพระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสว่าสิ่งนี้ไม่ควรทำ ย่อมแทงตลอดแม้ตั้งร้อยนัยพันนัยว่า สิ่งนี้ควรทำ
สิ่งนี้ไม่ควรทำ. แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สิ่งนี้ควรทำก็มีนัยนี้เหมือน
กัน.

จริงอยู่ ท่านพระราหุลนี้เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา เกลี่ยทรายประมาณ
บาตรหนึ่งในบริเวณพระคันธกุฎีแต่เช้าตรู่ด้วยคิดว่า วันนี้เราจะได้รับโอวาท
ประมาณเท่านี้ ได้การตักเตือนประมาณเท่านี้ จากสำนักของพระสัมมาสัมพุทธ-
เจ้า จากสำนักของพระอุปัชฌาย์. แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงตั้งพระ-
ราหุลไว้ในเอตทัคคะ จึงทรงตั้งให้เป็นผู้เลิศในการศึกษาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้ใคร่ต่อการศึกษา ราหุลเป็นผู้เลิศของภิกษุเหล่านั้น.
แม้ท่านพระราหุลนั้นก็ได้บันลือสีหนาท ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์อย่าง
นั้นเหมือนกันว่า
พระธรรมราชาผู้เป็นพระชนกของเรา
ทรงตั้งเราไว้ในเอตทัคคะเฉพาะหน้าภิกษุ
สงฆ์ เพื่อความรู้ยิ่งสิ่งทั้งปวงนี้. พระธรรม
ราชาทรงยกย่องเราว่าเป็นผู้เลิศของภิกษุทั้ง
หลายผู้ใคร่การศึกษา และของภิกษุทั้งหลาย
ผู้บวชด้วยศรัทธา. พระธรรมราชาผู้ประ-
เสริฐ ผู้เป็นพระสหาย เป็นพระชนกของ
เรา และพระสารีบุตรผู้รักษาธรรม ผู้มีความ
อิ่มใจ เป็นพระอุปัชฌาย์ของเรา ทั้งหมด
เป็นคำสอนของพระชินเจ้า.

ลำดับนั้น เพราะไม่พึงเห็นแต่รูปอย่างเดียวเท่านั้น แม้เวทนาเป็นต้น
ก็พึงเห็นอย่างนั้น ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสแก่พระราหุลว่า รูปํปิ
ราหุล
เป็นอาทิ. บทว่า โกนุชฺช ตัดบทว่า โก นุ อชฺช วันนี้ใครหนอ
นัยว่า พระเถระได้มีปริวิตกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรามิได้ตรัสกถาโดย

ปริยายว่า ชื่อว่าสมณะพึงรู้ฉันทราคะอาศัยอัตภาพแล้วไม่พึงตรึกถึงวิตกเห็น
ปานนี้. มิได้ทรงส่งทูตไปว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงไป จงบอกราหุลว่า ท่านอย่า
ตรึกถึงวิตกเห็นปานนี้อีกเลย ตั้งเราไว้เฉพาะหน้าแล้วทรงประทานสุคโตวาท
เฉพาะหน้าดุจจับโจรพร้อมด้วยภัณฑะที่จุก. ชื่อว่าสุคโตวาทหาได้ยากโดย
อสงไขยกัป. ใครหนอเป็นผู้มีชาติแห่งบัณฑิต วิญญูชนได้รับโอวาทเฉพาะ
พระพักตร์พระพุทธเจ้าเห็นปานนี้แล้ว วันนี้จักเข้าไปยังบ้านเพื่อบิณฑบาต.
ลำดับนั้น ท่านพระราหุลสละอาหารกิจและกลับจากที่อันผู้อยู่ ณ ที่นั่ง
ได้รับโอวาทแล้ว นั่ง ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงเห็นท่าน
พระราหุลกลับ ก็มิได้ตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนราหุล เป็นเวลาภิกขาจารของเรา
เธออย่ากลับเลย เพราะเหตุไร. นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นได้มี
พระดำริว่า วันนี้ราหุลพิงบริโภคอมตโภชนะคือกายคตาสติก่อน.
บทว่า อทฺทสา โข อายสฺมา สารีปุตฺโต ท่านพระสารีบุตรได้เห็น
แล้วแล คือเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปแล้วท่านพระสารีบุตรไปภายหลังได้
เห็นแล้ว . ได้ยินว่า เมื่อท่านพระสารีบุตรอยู่รูปเดียว ก็มีวัตรอย่างหนึ่ง. เมื่อ
อยู่กับพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มีวัตรอย่างหนึ่ง. ในกาลใดพระอัครสาวกทั้งสองอยู่
ตามลำพัง. ในกาลนั้นท่านทั้งสองกวาดเสนาสนะแต่เช้าตรู่ชำระร่างกาย นั่งเข้า
สมาบัติ แล้วไปภิกษาจารตามความชอบใจของตน ๆ. อนึ่ง พระเถระทั้งสอง
เมื่ออยู่กับพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทำอย่างนั้น. ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จไปภิกษาจารก่อน. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ
ไปแล้ว พระเถระออกจากเสนาสนะของตน ดำริว่า ในที่ที่ภิกษุอยู่กันมาก ๆ
ภิกษุทั้งหมดสามารถจะทำให้เลื่อมใส หรือไม่สามารถ จึงไปในที่นั้น ๆ แล้ว
กวาดที่ที่ยังมิได้กวาด. หากว่า หยากเยื่อยังไม่ได้ทิ้ง ก็เอาทิ้งเสีย. เมื่อยังไม่

มีหม้อน้ำดื่ม ในที่ที่ควรตั้งน้ำดื่มไว้ก็ตั้งหม้อน้ำดื่มไว้. ไปเยี่ยมภิกษุไข้แล้ว
ถามว่า อาวุโส ผมจะนำอะไรมาถวายท่าน. ท่านต้องการอะไร. ไปหาภิกษุหนุ่ม
ที่ยังไม่ได้พรรษาแล้วสอนว่า อาวุโสทั้งหลาย ขอท่านจงยินดียิ่งเถิด. จงอย่า
เบื่อหน่ายพระพุทธศาสนาอันมีสาระในการปฏิบัติเลย. ครั้นทำอย่างนี้แล้วก็ไป
ภิกษาจารภายหลังภิกษุทั้งหมด. เหมือนอย่างว่า พระเจ้าจักรพรรดิ มีพระ
ประสงค์จะเสด็จไป ณ ที่ไหน ๆ ทรงแวดล้อมด้วยเสนาเสด็จไปก่อน. ปริณายก
แก้วจัดกองทัพออกไปภายหลัง ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นจักรพรรดิ
แห่งพระสัทธรรมก็ฉันนั้นทรงแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จออกไปก่อน พระ-
ธรรมเสนาบดีผู้เป็นปริณายกแก้ว ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทำกิจนี้-
เสร็จแล้ว จึงออกไปภายหลังภิกษุทั้งหมด. พระเถระนั้นออกไปอย่างนี้แล้วใน
วันนั้นได้เห็นพระราหุลภัททะนั่ง ณ โคนค้นไม้ต้นหนึ่ง. ด้วยเหตุนั้นท่านจึง
กล่าวว่า ปจฺฉา คจฺฉนฺโต อทฺทส ท่านพระสารีบุตรไปภายหลังได้เห็น
แล้ว .
เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านพระสารีบุตรจึงชักชวนในอานาปาน-
สติเล่า. เพราะสมควรแก่การนั่ง. ได้ยินว่า พระเถระมิได้นึกถึงว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสรูปกรรมฐานแก่พระราหุลนั้นแล้ว คิดว่า กรรมฐานนี้สมควร-
แก่การนั่งนี้ของพระราหุลนั้น โดยอาการที่พระราหุลนี้นั่งติดอยู่กับอาสนะอันไม่
ไหวติงจึงกล่าวอย่างนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อานาปานสตึ ท่านพระสารีบุตรแสดงว่า
ท่านจงกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกแล้วยังฌาน หมวด 4 หมวด 5 ให้
เกิดในอานาปานสตินั้น แล้วเจริญวิปัสสนา ถือเอาพระอรหัต. บทว่า มหปฺผลา
โหติ
มีผลมาก. มีผลมากอย่างไร. ภิกษุในศาสนานี้ ขวนขวายอานาปานสติ

นั่งเหนืออาสนะหนึ่ง ยังอาสวะทั้งหมดให้สิ้นไปแล้วบรรลุพระอรหัต. เมื่อไม่
สามารถอย่างนั้นก็เป็น สมสีสี (สิ้นชีวิตพร้อมทั้งสิ้นกิเลส) ในเวลาตาย.
เมื่อไม่สามารถอย่างนั้น ก็บังเกิดในเทวโลก ครั้นฟังธรรมของเทพบุตรผู้เป็น
ธรรมกถึกแล้วได้บรรลุพระอรหัต. พลาดไปจากนั้นเมื่อยังไม่เกิดพุทธุปบาทกาล
ย่อมทำให้แจ้งปัจเจกโพธิ. เมื่อยังไม่ทำให้แจ้งปัจเจกโพธินั้น ย่อมเป็น
ขิปปาภิญญา (รู้ได้เร็ว) เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ดุจพระ-
พาหิยเถระเป็นต้นฉะนั้น ย่อมมีผลมากด้วยประการฉะนี้. บทว่า มหานิสํสา
เป็นไวพจน์ของบทว่า มหปฺผลา. แม้ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้ว่า
อานาปานสฺสติ ยสฺส ปริปุณฺณา สุภาวิตา
อนุปุพฺพปริจีตา ยถา พุทฺเธน เทสิตา
โสมํ โลกํ ปกาเสติ อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา.
ผู้ใดเจริญอานาปานสติให้บริบูรณ์ สะ-
สมไว้โดยลำดับ เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้า
ทรงแสดงไว้ ผู้นั้นย่อมทำโลกให้สว่างไสว
ดุจพระจันทร์พ้นจากเมฆหมอกฉะนั้น.

พระเถระ เมื่อเห็นความที่อานาปานสติมีผลมากนี้ จึงได้ชักชวนสัทธิ-
วิหาริกในอานาปานสตินั้น. ด้วยประการฉะนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบอกรูป
กรรมฐาน พระเถระบอกอานาปานสติ เพราะเหตุนั้น แม้ทั้งสองท่านบอกกรรม
ฐานแล้วก็ไป. พระราหุลภัททะเป็นผู้ถูกทิ้งไว้ในวิหารนั่นแหละ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า แม้ทรงรู้ว่าพระราหุลภัททะถูกทิ้งไว้ ไม่ทรงรับขาทนียะโภชนียะด้วย
พระองค์เองแล้วก็มิได้เสด็จไป. มิได้ทรงส่งในมือของพระอานนทเถระ มิได้
ทรงให้สัญญาแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลมหาราชและอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้น.

เพราะชนเหล่านั้นได้เพียงสัญญาก็จะพึงนำของใส่หาบมา. แม้พระสารีบุตรเถระ
ก็มิได้ทำอะไร ๆ อย่างเดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้าฉันนั้น.
พระราหุลเถระอดอาหาร ขาดภัต. แต่ท่านพระราหุลนั้น แม้จิตก็มิ
ได้เกิดขึ้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงทราบว่าเราออกจากวิหาร ทรงรับ
บิณฑบาตที่พระองค์ได้แล้วด้วยพระองค์เองก็มิได้เสด็จมา. มิได้ทรงส่งไปในมือ
ของผู้อื่น. มิได้ทรงให้สัญญาแก่มนุษย์ทั้งหลาย. แม้พระอุปัชฌาย์ของเราก็รู้ว่า
เราถูกทิ้งไว้ ก็มิได้ทำอะไร ๆ อย่างนั้นเลย. ความเย่อหยิ่งหรือความดูหมิ่น
เพราะการทำนั้นเป็นปัจจัยจักมีแต่ไหน. อนึ่ง พระราหุลมนสิการเป็นลำดับถึง
กรรมฐานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบอก แม้ก่อนภัต แม้ภายหลังภัตว่า รูปไม่
เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกข์แม้อย่างนี้ เป็นอสุภะแม้อย่างนี้ เป็นอนัตตาแม้อย่างนี้
ดุจผู้ปรารถนาอยากได้ไฟในเวลาเย็นจึงคิดว่า พระอุปัชฌาย์บอกเราว่า ท่านจง
เจริญอานาปานสติ เราจักเชื่อท่าน. เพราะผู้ไม่เชื่ออาจารย์และอุปัชฌาย์ ชื่อว่า
เป็นผู้ว่ายาก. เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า ความบีบคั้นอันหยาบคายว่าเพราะการ
เกิดขึ้นแห่งการติเตียนว่า พระราหุลเป็นผู้ว่ายาก ไม่กระทำตามคำของอุปัชฌาย์
ดังนี้ ย่อมไม่มี.
พระราหุลประสงค์จะทูลถามถึงวิธีของภาวนาจึงได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า. เพื่อแสดงความนั้น พระอานนท์เถระจึงกล่าวบทมีอาทิว่า อถ โข
อายสฺมา ราหุโล
ดังนี้. ในบทเหล่านั้นบทว่า ปฏิสลฺลานา จากที่เร้น คือ
จากความเป็นผู้เดียว. คำว่า ยํ กิญฺจิ ราหุล ความว่า เพราะเหตุไรพระราหุล
ทูลถามถึงอานาปานสติ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสรูปกรรมฐานเล่า. ตอบว่า เพื่อ
ละฉันทราคะในรูป. นัยว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระดำริว่า ฉันทราคะเกิด
ขึ้นแก่พระราหุล เพราะอาศัยอัตภาพ. แม้ในหนหลังพระองค์ก็ได้ตรัสรูปกรรม-
ฐานไว้โดยย่อแก่พระราหุลนั้น, บัดนี้เราจักจำแนกไม่ปรุงแต่งอัตภาพโดยอาการ

40 แล้วยังฉันทราคะอาศัยอัตภาพนั้นอันยังไม่เกิดเป็นธรรมดาให้เกิดแก่ราหุล
นั้น. เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรจึงทำอากาศธาตุให้พิสดารเล่า. เพื่อแสดง
อุปาทารูป. เพราะท่านกล่าวถึงมหาภูตรูป 4 ไว้แล้วในหนหลัง. ไม่ได้กล่าวถึง
อุปาทารูป. ฉะนั้นเพื่อแสดงอุปาทารูปนั้นโดยมุขนี้ จึงยังอากาศธาตุให้พิสดาร.
อีกอย่างหนึ่งแม้ปริจฉินนรูป (รูปที่กำหนดไว้) ก็มาปรากฏด้วยอากาศภายใน.
เพื่อความปรากฏแจ่มแจ้งของรูปที่กำ-
หนดไว้ด้วยอากาศ เท่าที่ประดับไว้ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นนายก จึงทรงประกาศ
รูปนั้น.

บทที่ควรกล่าวในธาตุ 4 ในสูตรนี้และสูตรก่อน ได้กล่าวไว้แล้วใน
มหาหัตถิปโทปมสูตร.
พึงทราบวินิจฉัยในอากาศธาตุดังต่อไปนี้. บทว่า อากาสคตํ มีลักษณะ
ว่าง คือ เป็นสภาวธรรม. บทว่า อุปาทินฺนํ อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึด
มั่น ความว่า ยึดมั่นถือมั่นกอดรัดตั้งอยู่ในสรีระ. บทว่า กณฺณฉิทฺทํ คือ
ช่องหู ไม่สัมผัสด้วยเนื้อและเลือด. แม้ในบทว่า นาสจฺฉิทฺทํ ช่องจมูกเป็น
ต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า เยน จ คือโดยช่องใด. บทว่า อชฺโฌหรติ
ย่อมกลืนให้เข้าไปภายใน. บทนี้ท่านกล่าวหมายถึงที่ที่เป็นช่อง 1 คืบ 4 นิ้ว
ของมนุษย์ทั้งหลายตั้งแต่โคนลิ้นถึงพื้นท้อง. บทว่า ยตฺถ จ คือในโอกาสใด.
บทว่า สํติฏฺฐติ คือตั้งอยู่. บทนี้ท่านกล่าวหมายถึงพื้นท้องใหญ่ อันเป็นดังผ้า
กรองน้ำผืนใหญ่ของมนุษย์ทั้งหลาย. บทว่า อโธภาคํ นิกฺขมติ คือถ่ายออก
เบื้องล่าง. บทนี้ท่านกล่าวหมายถึง ไส้ใหญ่ ไส้หนึ่งประมาณ 32 ศอกในที่
21 แห่ง. ด้วยบทนี้ว่า ยํ วา ปน อญฺญํปิ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างอื่น ท่าน

แสดงถึงอากาศอัน. ไปในระหว่างหทัยและเนื้อเป็นต้น และอันตั้งอยู่โดยความ
เป็นขุมขน. คำที่เหลือในบทนี้พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในปฐวีธาตุเป็นต้น.
บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อตรัสบอกถึงลักษณะแห่งความเป็นผู้คงที่
แก่พระราหุลนั้นจึงตรัสบทมีอาทิว่า ปฐวีสมํ เสมอด้วยแผ่นดิน. บุคคลผู้ไม่
กำหนัด ไม่ประทุษร้ายในอารมณ์อันน่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา ชื่อว่า
ตาทีบุคคล (ผู้คงที่) ในบทว่า มนาปามนาปา นี้พึงทราบความดังต่อไป
นี้. ผัสสะสัมปยุตด้วยจิตสหรคตด้วยโลภะ 8 ชื่อว่า มนาปา เป็นที่ชอบใจ.
ผัสสะสัมปยุตด้วยโทมนัสจิต 2 ชื่อว่า อมนาปา ไม่เป็นที่ชอบใจ. บทว่า
จิตฺตํ น ปริยาทาย ฐสฺสนฺติ ผัสสะจักไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ได้ ความว่า
ผัสสะเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วจักไม่สามารถครอบงำจิตของท่าน ดุจจะทำให้อยู่ใน
กำมือได้. ฉันทราคะจักไม่เกิดเพราะอาศัยอัตภาพอีกว่า เรางาม ผิวพรรณของ
เราผ่องใสดังนี้. คูถนั้นแหละชื่อว่า คูถคตํ ในบทมีอาทิว่า คูถคตํ. ในบท
ทั้งปวงก็อย่างนี้.
บทว่า น กตฺถจิ ปติฎฺฐิโต เหมือนอากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน ๆ
คือ ไม่ตั้งอยู่แม้ในที่เดียวมีในแผ่นดินภูเขาและต้นไม้เป็นต้น. ผิว่า อากาศพึง
ตั้งอยู่บนแผ่นดินเมื่อแผ่นดินทำลายก็จะพึงทำลายไปด้วยกัน. เมื่อภูเขาพังก็จะ
พังไปด้วยกัน. เมื่อต้นไม้หักก็จะหักไปด้วยกันเท่านั้น.
เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภ ว่า เมตฺตํ ราหุล.
เพื่อแสดงเหตุแห่งความเป็นผู้คงที่. เพราะทรงแสดงเหตุแห่งความเป็นผู้คงที่
ไว้แล้วในหนหลัง. ใคร ๆ ไม่สามารถเพื่อเจริญ เพราะมิใช่เหตุว่า เราเป็น
ผู้คงที่. ใคร ๆ มิใช่ชื่อว่าเป็นผู้คงที่ด้วยเหตุเหล่านี้ว่า เราเป็นผู้ขวนขวายใน
ตระกูลสูง เป็นพหุสูต เป็นผู้มีลาภ. พระราชามหาอำมาตย์ของพระราชาเป็นต้น

ย่อมคบเรา. เราเป็นผู้คงที่ก็หามิได้. แต่เป็นผู้คงที่ด้วยการเจริญเมตตาเป็นต้น
เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงปรารภเทศนานี้เพื่อแสดงเหตุแห่ง
ความเป็นผู้คงที่.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ภาวยโต เจริญ คือ ยิ่งอุปจารภาวนาหรือ
อัปปนาภาวนาให้ถึง. บทว่า โย พยาปาโท พยาบาท คือ จักละความโกรธ
ในสัตว์ได้. บทว่า วิเหสา ความเบียดเบียน คือ เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย
ด้วยฝ่ามือเป็นต้น. บทว่า อรติ ความไม่ยินดี คือ ความเป็นผู้เบื่อหน่าย
ในเสนาสนะเป็นสงัด และในธรรมเป็นอธิกุศล. บทว่า ปฏิโฆ ความขุ่นเคือง
คือ กิเลสเป็นเครื่องให้เดือดร้อนในทุก ๆ แห่ง. บทว่า อสุภํ ไม่งาม คือ
เจริญอุปจาระและอัปปนาในซากศพที่พองอืดเป็นต้น. บทว่า อุทฺธุมาตกา
ซากศพพองอืด อสุภภาวนานี้ท่านกล่าวไว้โดยพิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค.
บทว่า ราโค ได้แก่ ราคะประกอบด้วยกามคุณ 5. บทว่า อนิจฺจสญฺญํ
อนิจจสัญญาภาวนา คือ สัญญาอันเกิดพร้อมกับอนิจจานุปัสสนา หรือวิปัสสนา
นั่นแหละ. แม้ความไม่มีสัญญาท่านก็กล่าวว่า สัญญา ด้วยหัวข้อแห่งสัญญา.
บทว่า อสฺมินาโน ถือว่าเรามีอยู่ คือ มีมานะว่า เรามีอยู่ในรูปเป็นต้น.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะยังปัญหาที่พระเถระถามให้พิสดารจึงกล่าวบท
มีอาทิว่า อานาปานสฺสติ ดังนี้. กรรมฐานนี้ กรรมฐานภาวนา และอรรถ
แห่งบาลี พร้อมด้วยอานิสงส์กถา ท่านกล่าวไว้พิสดารแล้วในอนุสสตินิเทศใน
วิสุทธิมรรคโดยอาการครบถ้วนทุกประการ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบพระ
ธรรมเทศนานี้ด้วยสามารถแห่งบุคคลผู้พึงแนะนำนั่นแหละ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถามหาราหุโลวาทสูตรที่ 2

3. จูฬมาลุงกยโอวาทสูตร


ทรงโอวาทพระมาลุงกยบุตร


[147] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระมาลุง.
กยบุตรไปในที่ลับ เร้นอยู่ เกิดความดำริแห่งจิตอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ไม่ทรงพยากรณ์ ทรงงด ทรงห้ามทิฏฐิเหล่านี้ คือ โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง
โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระ
อย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์
เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มีไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มิใช่
ไม่มีอยู่ก็มิใช่ ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ทิฏฐิเหล่านั้นแก่เรานั้น
เราไม่ชอบใจ ไม่ควรแก่เรา เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูล
ถามเนื้อความนั้น ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงพยากรณ์แก่เรา ฯ ล ฯ เราก็
จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักไม่ทรง
พยากรณ์ ฯลฯ เราก็จักลาสิกขามาเป็นคฤหัสถ์.

พระนาลุงกยบุตรบอกความปริวิตก


[148] ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระมาลุงกยบุตรออกจากที่เร้น เข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เมื่อข้าพระองค์ไปในที่ลับเร้นอยู่