เมนู

[132] ดูก่อนราหุล สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีต-
กาล ได้ชำระกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมแล้ว สมณะหรือพราหมณ์ทั้ง
หมดนั้น พิจารณา ๆ อย่างนี้นั่นเอง แล้วจึงชำระกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
แม้สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอนาคตกาล จักชำระกายกรรม
วจีกรรม มโนกรรม สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้น ก็จักพิจารณา ๆ อย่าง
นี้นั่นเอง แล้วจึงชำระกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ถึงสมณะหรือพราหมณ์
เหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบัน กำลังชำระกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอยู่
สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้น ก็พิจารณา ๆ อย่างนี้นั่นเอง แล้วจึงชำระ
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เพราะเหตุนั้นแหละ ราหุล เธอพึงศึกษาว่า
เราจักพิจารณา ๆ แล้วจึงชำระกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ดูก่อนราหุล
เธอพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว ท่านพระราหุลมีใจยินดี
ชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้แล.
จบจูฬราหุโลวาทสูตรที่ 1

อรรถกถาภิกขุวรรค


1. อรรถกถาอัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตร1


อัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตร

มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อมฺพลฏฺฐิกายํ วิหรติ ท่านพระราหุลอยู่ ณ
ปราสาทชื่อว่า อัมพลัฏฐิกา คือ เมื่อเขาสร้างย่อส่วนของเรือนตั้งไว้ท้าย

1. บาลีเป็น จูฬราหุโลวาทสูตร

พระเวฬุวันวิหาร เพื่อเป็นที่อยู่ของผู้ต้องการความสงัด พระราหุลเจริญปริเวก
อยู่ ณ ปราสาทอันมีชื่ออย่างนี้ว่า อัมพลัฏฐิกา. ชื่อว่า หนามย่อมแหลม
ตั้งแต่เกิด. แม้ท่านพระราหุลนี้ก็เหมือนอย่างนั้น เจริญปวิเวกอยู่ ณ ที่นั้น
ครั้งเป็นสามเณรมีพระชนม์ 7 พรรษา. บทว่า ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้น คือ เสด็จออกจากผลสมาบัติ. บทว่า
อาสนํ คือ ณ ที่นี้ก็มีอาสนะที่ปูลาดไว้เป็นปรกติอยู่แล้ว พระราหุลก็ยังปัด
อาสนะนั้นตั้งไว้. บทว่า อุทกาทาเน คือ ภาชนะใส่น้ำ. ปาฐะว่า อุทกาธาน
บ้าง.
บทว่า อายสฺมนฺตํ ราหุลํ อามนฺเตสิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
เรียกท่านพระราหุล คือ ตรัสเรียกเพื่อประทานโอวาท. จริงอยู่ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาไว้มากแก่พระราหุลเถระ. พระองค์ตรัส
สามเณรปัญหาแก่พระเถระไว้เช่นกัน. อนึ่ง พระองค์ตรัสราหุลสังยุต มหา-
ราหุโลวาทสูตร จุลลราหุโลวาทสูตร รวมทั้งอัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตรนี้เข้า
ด้วยกัน.
จริงอยู่ ท่านพระราหุลนี้ เมื่อพระชนม์ 7 พรรษา ทรงจับชายจีวร
ทูลขอมรดกกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระสมณะ ขอได้ทรงประทาน
มรดกแก่ข้าพระองค์เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมอบให้แก่พระธรรมเสนาบดี
สารีบุตรเถระบวชให้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า ชื่อว่า เด็กหนุ่มย่อมพูด
ถ้อยคำที่ควรและไม่ควร เราจะให้โอวาทแก่ราหุล ดังนี้แล้วตรัสเรียกพระราหุล
เถระ มีพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนราหุล ชื่อว่า สามเณรไม่ควรกล่าวติรัจฉาน
กถา. เธอเมื่อจะกล่าว ควรกล่าวกถาเห็นปานนี้ คือ คำถาม 10 ข้อ การแก้

55 ข้อ ปัญหา 1 อุเทศ 1 ไวยากรณ์ 1 ปัญหา 2 ฯ ล ฯ ปัญหา 10
อุเทศ 10 ไวยากรณ์ 10 อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงไม่ทรงละแล้ว. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสสามเณรปัญหานี้ว่า เอกนฺนาม กึ อะไรชื่อว่า 1 สพฺเพ
สตฺตา อาหารฏฺฐิติกา
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร ฯลฯ
ทส นาม กึ อะไรชื่อว่า 10 ทสหงฺเคหิ สมนฺนาคโต อรหาติ วุจฺจติ
ผู้ประกอบด้วยองค์ 10 เรากล่าวว่าเป็นอรหันต์. พระพุทธองค์ทรงดำริต่อไป
ว่า ชื่อว่า เด็กหนุ่มย่อมกล่าวเท็จด้วยคำน่ารัก ย่อมกล่าวสิ่งที่ไม่เห็นว่า เรา
ได้เห็นแล้ว กล่าวสิ่งที่เห็นว่า เราไม่เห็น เราจะให้โอวาทแก่ราหุลนั้น แม้
แลดูด้วยตาก็เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย จึงทรงแสดงอุปมาด้วยภาชนะใส่น้ำ 4 ก่อน
จากนั้นทรงแสดงอุปมาด้วยช้าง 2 จากนั้นทรงแสดงอุปมาด้วยแว่น 1 แล้ว
จึงตรัสพระสูตรนี้. ทรงแสดงการเว้นตัณหาในปัจจัย 4 การละฉันทราคะใน
กามคุณ 5 และความที่อุปนิสัยแห่งกัลยาณมิตรเป็นคุณยิ่งใหญ่ แล้วจึงตรัส
ราหุลสูตร. เพื่อทรงแสดงว่า ไม่ควรทำฉันทราคะในภพทั้งหลาย ในที่ที่มา
แล้ว ๆจึงตรัสราหุลสังยุต. เพื่อทรงแสดงว่า ไม่ควรทำฉันทราคะ
อันอาศัยเรือน อาศัยอัตภาพว่า เรางาม วรรณะของเราผ่องใส. แล้วจึงตรัส
มหาราหุโลวาทสูตร. ในมหาราหุโลวาทสูตรนั้น ไม่ควรกล่าวว่า ราหุลสูตร
ท่านกล่าวไว้แล้วในกาลนี้. เพราะราหุลสูตรนั้นท่านกล่าวด้วยโอวาทเนือง ๆ.
ท่านตรัสราหุลสังยุต ตั้งแต่พระราหุลมีพระชนม์ได้ 7 พรรษาจนถึงเป็น
ภิกษุยังไม่มีพรรษา. ท่านตรัสมหาราหุโลวาทสูตรในเมื่อพระราหุลเป็นสามเณร
มีพระชนม์ 18 พรรษา ท่านตรัสจุลลราหุโลวาทสูตรในเมื่อพระราหุลเป็น
ภิกษุได้ครึ่งพรรษา. ท่านตรัสกุมารกปัญหา และอัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตรนี้
ในเมื่อพระราหุลเป็นสามเณรมีพระชนม์ 7 พรรษา.

ในพระสูตรเหล่านั้น ท่านตรัสราหุโลวาทสูตร เพื่อโอวาทเนือง ๆ
ตรัสราหุลสังยุต เพื่อถือเอาห้องวิปัสสนาของพระเถระ ตรัสมหาราหุโลวาทสูตร
เพื่อกำจัดฉันทราคะที่อาศัยเรือน ตรัสจุลลราหุโลวาทสูตร เพื่อยึดเอาพระ-
อรหัต ในเวลาที่ธรรมเจริญด้วยวิมุตติ 15 ของพระเถระแก่กล้าแล้ว . พระราหุล-
เถระหมายถึงพระสูตรนี้ เมื่อจะสรรเสริญพระคุณของพระตถาคตในท่ามกลาง
ภิกษุสงฆ์ จึงกล่าวคาถานี้ว่า.
กิกีว พีชํ รกฺเขยฺย จมรี วาลมุตฺตมํ
นิปโก สีลสมฺปนฺโน มมํ รกฺขิ ตถาคโต
พระตถาคตผู้มีพระปัญญาเฉลียวฉลาด
ทรงสมบูรณ์ด้วยศีล ทรงรักษาเราเหมือน
นกต้อยตีวิด พึงรักษาพืชพันธุ์ เหมือน
เนื้อจามรีรักษาขนหางสูงสุดฉะนั้น.

ท่านตรัสสามเณรปัญหา เพื่อละถ้อยคำอันไม่ควรตรัส ในอัมพลัฏฐิก-
ราหุโลวาทสูตรนี้ เพื่อมิให้ทำสัมปชานมุสาวาท (พูดเท็จทั้ง ๆ ที่รู้อยู่).
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปสฺสสิ โน แก้เป็น ปสฺสนิ นุ คือ เธอ
เห็นหรือหนอ. บทว่า ปริตฺตํ คือหน่อยหนึ่ง. บทว่า สามญฺญํ คือ สมณธรรม.
บทว่า นิกฺกุชฺชิตฺวา คือคว่ำ. บทว่า อุกฺกุชฺชิตฺวา คือหงาย. บทว่า
เสยฺยถาปิ ราหุล รญฺโญ นาโค ดูก่อนราหุล เหมือนช้างต้นของพระราชา
ท่านกล่าวอุปมานี้ เพื่อแสดงความเปรียบเทียบของผู้ไม่มีสังวรในการกล่าวเท็จ
ทั้งรู้อยู่.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อีสาทนฺโต มีงาอันงอนงาม คือ มีงาเช่นกับ
งอนไถ. บทว่า อุรุฬฺหวา เป็นพาหนะที่เจริญยิ่ง คือน่าขี่. บทว่า อภิชาโต

คือ มีกำเนิดดี สมบูรณ์ด้วยชาติ. บทว่า สงฺคามาวจโร คือ เคยเข้าสงคราม.
บทว่า กมฺมํ กโรติ ย่อมทำกรรม คือ ประหารข้าศึกที่เข้ามาแล้ว ๆ ให้
ล้มลง. อนึ่ง พึงทราบความในบทมีอาทิว่า ด้วยกายเบื้องหน้า ดังนี้ คือ
ยังซุ้มแผ่นกระดานและกำแพงโล้นให้ล้มลงด้วยกายเบื้องหน้าก่อน. ด้วยกาย
เบื้องหลังก็เหมือนกัน. กำหนดกรรมด้วยศีรษะแล้วกลับแลดูด้วยคิดว่า เราจัก
ย่ำยีประเทศนี้. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ก็ทำลายสิ่งตั้งร้อยตั้งพันให้ออกเป็นสองส่วน
ชื่อว่าทำกรรมด้วยศีรษะ การประหารลูกศรที่มาแล้ว ๆ ให้ตกไปด้วยหู ชื่อว่า
ทำกรรมด้วยหู. การทิ่มแทงเท้าช้างข้าศึก ม้าข้าศึก กองช้าง กองม้า และ
พลเดินเท้าเป็นต้น ชื่อว่าทำกรรมด้วยงา. การตัดทำลายด้วยไม้ยาวหรือด้วย
สากเหล็กที่ผูกไว้ที่หาง ชื่อว่าทำกรรมด้วยหาง. บทว่า รกฺขเตว โสณฺฑํ
ย่อมรักษาไว้แต่งวงเท่านั้น คือ ใส่งวงไว้ในปากรักษาไว้. บทว่า ตตฺถ คือ
ในการที่ช้างรักษางวงนั้น. บทว่า อปริจฺจตฺตํ คือ ไม่ยอมสละ ถึงจะเห็น
ผู้อื่นชนะและเราแพ้.
บทว่า โสณฺฑายปิ กมฺมํ กโรติ ย่อมทำกรรมแม้ด้วยงวง คือ
จับค้อนเหล็ก หรือสากไม้ตะเคียน แล้วย่ำยีที่ประมาณ 18 ศอกได้โดยรอบ
บทว่า ปริจฺจตฺตํ ยอมเสียสละแล้ว คือ บัดนี้ไม่กลัวแต่อะไร ๆ อีกแล้ว
ในกองทัพช้างเป็นต้น ย่อมเห็นชัยชนะของเรา.
บทว่า นาหนฺตสฺส กิญฺจิ ปาปํ บุคคลผู้ไม่มีความละอายในการ
กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ ที่จะไม่ทำบาปกรรมแม้น้อยหนึ่งไม่มี ความว่า บุคคลนั้น
จะไม่พึงทำกรรมน้อยหนึ่งในการล่วงอาบัติทุกกฏเป็นต้น หรือในกรรมมีมาตุ-
ฆาตเป็นต้นไม่มี บทว่า ตสฺมา ติห เต ความว่า เพราะผู้กล่าวเท็จทั้งที่
รู้อยู่จะไม่ทำบาปไม่มี ฉะนั้นเธอพึงศึกษาว่า เราจักไม่กล่าวเท็จแม้เพราะหัวเราะ
แม้เพราะใคร่จะเล่น.

บทว่า ปจฺจเวกฺขณตฺโถ คือ มีประโยชน์สำหรับส่องดู. อธิบายว่า
มีประโยชน์ส่องดูโทษที่ใบหน้า. บทว่า ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา คือ
ตรวจดูแล้ว ตรวจดูอีก. บทว่า สสกฺกํ น กรณียํ คือ ไม่พึงทำโดยส่วนเดียว
เท่านั้น. บทว่า ปฏิสํหเรยฺยาสิ พึงเลิก คือ พึงกลับอย่าพึงทำ. บทว่า
อนุปทชฺเชยฺยาสิ พึงเพิ่ม คือพึงให้เกิดขึ้น พึงค้ำจุนไว้ พึงทำบ่อย ๆ. บทว่า
อโหรตฺตานุสิกฺขิตา คือศึกษาทั้งกลางคืนทั้งกลางวัน. บทว่า อฏฺฏิยิตพฺพํ
พึงกระดาก คือ พึงระอา พึงบีบคั้น. บทว่า หรายิตพฺพํ คือพึงละอาย. บทว่า
ชิคุจฺฉิตพฺพํ พึงเกลียด คือ พึงให้เกิดความเกลียดดุจเห็นคูถ. อนึ่ง เพราะ
มโนกรรมมิใช่วัตถุแห่งเทศนาอันควรแสดงไว้ในที่นี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงไม่
กล่าวไว้. ก็ในฐานะอย่างไรเล่า จึงควรชำระกายกรรมและวจีกรรม. ในฐานะ
อย่างไรจึงควรชำระมโนกรรม. ควรชำระกายกรรมและวจีกรรม ในเวลาก่อน
อาหารครั้งหนึ่งก่อน เมื่อฉันอาหารแล้วควรนั่งในที่พักกลางวันพิจารณาว่า ตั้ง
แต่อรุณขึ้นจนถึงนั่งในที่นี้ กายกรรม หรือวจีกรรมอันไม่สมควรแก่ผู้อื่นใน
ระหว่างนี้ มีอยู่แก่เราหรือไม่หนอ. หากรู้ว่ามี ควรแสดงข้อที่ควรแสดง ควร
ทำให้แจ้งข้อที่ควรทำให้แจ้ง. หากไม่มี ควรมีปีติปราโมทย์. อนึ่ง ควรชำระ
มโนกรรม ในที่แสวงหาบิณฑบาตครั้งหนึ่ง, ชำระอย่างไร. ควรชำระว่า วันนี้
ความพอใจก็ดี ความกำหนัดก็ดี ความคับแค้นก็ดี ในรูปเป็นต้นในที่แสวงหา
บิณฑบาตมีอยู่หรือหนอ. หากมี ควรตั้งจิตว่า เราจักไม่ทำอย่างนี้อีก. หากไม่มี
ควรมีปีติปราโมทย์.
บทว่า สมณา วา พฺราหฺมณา วา ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจก-
พุทธเจ้า หรือ พระสาวกของพระตถาคต. บทว่า ตสฺมา ติห ความว่า
เพราะสมณพราหมณ์ทั้งหลาย แม้ในอดีตก็ชำระแล้วอย่างนี้ แม้ในอนาคตก็จัก

ชำระอย่างนี้ แม้ในปัจจุบันก็ย่อมชำระอย่างนี้ ฉะนั้นแม้พวกเธอ เมื่อศึกษา
ตามสมณพราหมณ์เหล่านั้น ก็พึงศึกษาอย่างนี้. บทที่เหลือในที่ทั้งปวงง่าย
ทั้งนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระธรรมเทศนานี้ให้จบลงด้วยสามารถแห่ง
บุคคลที่ควรแนะนำ ดุจเทวดาผู้วิเศษถือเอายอดแห่งกองรัตนะอันตั้งขึ้น
จนถึงภวัคคพรหม ด้วยกองแห่งแก้วมณีที่ประกอบกัน.

จบอรรถกถาอัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตรที่ 1

2. มหาราหุโลวาทสูตร


ทรงโอวาทพระราหุล


[133] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นเวลาเช้า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาต
ยังนครสาวัตถี เวลาเช้า แม้ท่านพระราหุลก็ครองอันตรวาสก แล้วถือบาตร
และจีวรตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ ครั้งนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงผินพักตร์ไปรับสั่งกะท่านพระราหุลว่า ดูก่อนราหุล รูปอย่างใด
อย่างหนึ่งเป็นอดีต เป็นอนาคตและเป็นปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอก
ก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี อยู่ในที่ใกล้
ก็ดี รูปทั้งปวงนี้ เธอพึงเห็น ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่น
ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ดังนี้.
พระราหุลทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า รูปเท่านั้นหรือ ข้าแต่
พระสุคตเจ้า รูปเท่านั้นหรือ.
พ. ดูก่อนราหุล ทั้งรูป ทั้งเวทนา ทั้งสัญญา ทั้งสังขาร ทั้งวิญญาณ.
[134] ครั้งนั้น ท่านพระราหุลคิดว่า วันนี้ ใครหนออันพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงโอวาท ด้วยโอวาทในที่เฉพาะพระพักตร์แล้วจักเข้าบ้านเพื่อ
บิณฑบาตเล่า ดังนี้แล้ว กลับจากที่นั้นแล้วนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติ
ไว้เฉพาะหน้า ณ โคนไม้ แห่งหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรได้เห็นท่านพระราหุลผู้
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง แล้ว