เมนู

เรื่องป่ากลิงคะ1



ดังได้สดับมา ครั้งพระเจ้านาฬิกีระทรงราชย์ ณ แคว้นกลิงคะ ดาบส
500 รูป ณ ป่าหิมพานต์ ผู้ไม่เคยได้กลิ่นสตรี ทรงหนังเสือเหลืองชฎาและผ้า
เปลือกไม้ มีรากไม้ผลไม้ป่าเป็นอาหารอยู่มานาน ประสงค์จะเสพอาหารมีรส
เปรี้ยว เค็มก็พากันมายังถิ่นมนุษย์ ถึงนครของพระเจ้านาฬิกีระ แคว้นกลิงคะตาม
ลำดับ ดาบสเหล่านั้นทรงชฎาหนังเสือเหลืองและผ้าเปลือกไม้แสดงกิริยาอันสงบ
สมควรแก่เพศนักบวช เข้าไปขออาหารยังนคร. ครั้งพระพุทธเจ้ายังไม่เกิด คน
ทั้งหลายเห็นดาบสนักบวชก็เลื่อมใส จัดแจงที่นั่งและที่ยืน มีมือถือภาชนะใส่
อาหาร นิมนต์ให้นั่งแล้ว จัดอาหารถวาย. เหล่าดาบสบริโภคอาหารเสร็จแล้ว
ก็อนุโมทนาคนทั้งหลายได้ฟังแล้ว ก็มีจิตเลื่อมใส ถามว่า พระผู้เจริญทั้งหลาย
จะไปไหน. ดาบสตอบว่า จะไปตามที่ที่มีความผาสุก. คนเหล่านั้นก็พูดเชิงนิมนต์
ว่า พระคุณเจ้าไม่ควรไปที่อื่น อยู่เสียที่พระราชอุทยานเถิด พวกเรากินอาหาร
เช้าแล้ว จักมาฟังธรรมกถา. เหล่าดาบสก็รับ ไปยังพระราชอุทยาน. ชาวเมือง
กินอาหารแล้ว ก็นุ่งผ้าสะอาด ห่มผ้าสะอาด หมายจะฟังธรรมกถาเดินกันไป
เป็นหมู่ ๆ มุ่งหน้าไปยังพระราชอุทยาน. พระราชาประทับยืนบนปราสาท ทอด
พระเนตรเห็นคนเหล่านั้น กำลังเดินไป จึงตรัสถามเจ้าหน้าที่ผู้รับใช้ว่า พนาย
ทำไม ชาวเมืองเหล่านั้น จึงนุ่งห่มผ้าสะอาด เดินมุ่งหน้าไปยังสวน ที่สวน
นั้น เขามีการชุมนุมหรือฟ้อนรำกันหรือ. เจ้าหน้าที่กราบทูลว่า ไม่มีดอก
พระเจ้าข้า พวกเขาต้องการจะไปฟังธรรมกถาในสำนักเหล่าดาบส. ตรัสว่า
ถ้าอย่างนั้น เราจะไปด้วย บอกให้พวกเขาไปกับเรา. เจ้าหน้าที่ก็ไปบอกแก่
คนเหล่านั้นว่า พระราชาก็มีพระราชประสงค์จะเสด็จไป พวกท่านจงแวดล้อม
พระราชากันเถิด. โดยปกติ พวกชาวเมืองดีใจกันอยู่แล้ว ครั้นฟังคำนั้น ก็

1. บาลีเป็นกาลิงคะ

ดีใจยิ่งขึ้นไปว่า พระราชาของเราไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ทุศีล เหล่าดาบส
มีธรรม อาศัยดาบสเหล่านั้น พระราชาจักตั้งอยู่ในธรรมก็ได้. พระราชาเสด็จ
ออก มีชาวเมืองแวดล้อม เสด็จไปยังพระราชอุทยานทรงปฏิสันถารกับเหล่า
ดาบส แล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. เหล่าดาบสเห็นพระราชาก็มอบ
หมายให้ดาบสรูปหนึ่งผู้ฉลาด กล่าวธรรมกถาถวายพระราชา ด้วยถ้อยคำ
ละเมียดละไม ดาบสมองดูหมิ่นคน เมื่อจะกล่าวโทษในเวรทั้ง 5 และอานิสงส์ใน
ศีล 5 จึงกล่าวโทษในเวรทั้ง 5 ว่า ไม่ควรฆ่าสัตว์ ไม่ควรลักทรัพย์ ไม่
ควรประพฤติผิดในกาม ไม่ควรพูดเท็จ ไม่ควรดื่มน้ำเมา ขึ้นชื่อว่าปาณาติบาต
ย่อมส่งผลให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย อทินนาทาน
เป็นต้นก็เหมือนกัน เมื่อหมกไหม้ในนรกแล้ว มาสู่มนุษยโลก ปาณาติบาต
ก็ส่งผลให้เป็นผู้มีอายุสั้น ด้วยเศษแห่งวิบาก อทินนาทานก็ส่งผลให้เป็นผู้มี
โภคทรัพย์น้อย มิจฉาจารก็ส่งผลให้เป็นผู้มีศัตรูมาก มุสาวาทก็ส่งผลให้เป็น
ผู้ถูกกล่าวตู่ (ใส่ความ) มัชชปานะ (ดื่มน้ำเมา) ก็ส่งผลให้เป็นคนบ้า. แม้
โดยปกติ พระราชาก็เป็นผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่เลื่อมใสเป็นผู้ทุศีล ธรรมดาว่า
สีลกถา เป็นทุกถา (คำเลว) สำหรับคนทุศีล จึงเป็นเสมือนหอกทิ่มหู เพราะ
ฉะนั้น ท้าวเธอจึงทรงดำริว่า เรามาหมายจะยกย่องดาบสเหล่านี้ แต่ดาบส
เหล่านี้กลับพูดกระทบกระเทือนทิ่มแทงเราผู้เดียว ท่ามกลางบริษัท ตั้งแต่เรา
มา เราจักกระทำให้สาสมแก่ดาบสเหล่านั้น. เมื่อจบธรรมกถา ท้าวเธอก็
นิมนต์ว่า ท่านอาจารย์ทั้งหลาย พรุ่งนี้ขอได้โปรดรับอาหารที่บ้านโยม แล้ว
เสด็จกลับ. วันรุ่งขึ้นท้าวเธอให้นำไหขนาดใหญ่ ๆ มาแล้วบรรจุคูถ (อุจจาระ)
จนเต็มแล้ว เอาใบกล้วยมาผูกปากไหเหล่านั้นไว้ ให้เอาไปตั้งไว้ ณ ที่นั้น ๆ
ใส่น้ำผึ้ง น้ำมันยาง ต้นกากะทิง และหนามงิ้วหนา ๆ เป็นต้น จนเต็มหม้อ

วางไว้หัวบันได ทั้งให้พวกนักมวยร่างใหญ่ผูกสายรัดเอว ถือค้อนคอยทีในที่
นั้นแหละ ประทับยืนกล่าวว่า พวกดาบสขี้โกงเบียดเบียนเรายิ่งนัก ตั้งแต่
ดาบสเหล่านั้นลงจากปราสาท พวกเจ้าจงเอาหม้อสาดหนามงิ้วไปที่หัวบันได
เอาค้อนตีศีรษะ จับคอเหวี่ยงไปที่บันได. ที่เชิงบันไดก็ให้ผูกสุนัขดุ ๆ เอาไว้.
ฝ่ายเหล่าดาบสก็คิดว่า พวกเราจักบริโภคอาหารในเรือนหลวง วัน
พรุ่งนี้ก็สอนซึ่งกันและกันว่า ขึ้นชื่อว่าเรือนหลวง น่าสงสัย น่ามีภัย ธรรมดา
บรรพชิตพึงสำรวมในทวารทั้ง 6 ไม่ควรถือนิมิตในอารมณ์ที่เห็นแล้ว ๆ พึงตั้ง
เฉพาะความสำรวมในจักษุทวาร วันรุ่งขึ้น เหล่าดาบสก็กำหนดรู้เวลาทำอาหาร
จึงนุ่งผ้าเปลือกไม้ ห่มหนังเสือเหลืองเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง มุ่นชฎา ถือภาชนะใส่
อาหาร ขึ้นสู่พระราชนิเวศน์ตามลำดับ พระราชาทรงทราบว่า ดาบสขึ้นมาแล้ว
ก็ให้นำเอาใบกล้วยออกจากปากไหคูถ กลิ่นเหม็นก็กระทบโพรงจมูกของดาบส
ถึงอาการประหนึ่งเยื่อสมองตกล่วงไป. ดาบสผู้ใหญ่ก็จ้องมองพระราชา
พระราชาตรัสว่า มาซิ ท่านผู้เจริญ จงฉัน จงนำไปตามความต้องการ นั่นเป็น
ของเหมาะแก่พวกท่าน เมื่อวานเรามาหมายจะยกย่องพวกท่าน แต่พวกท่าน
กลับพูดกระทบเสียดแทงเราผู้เดียว ท่ามกลางบริษัท พวกท่านจงฉันของที่
เหมาะแก่พวกท่าน แล้วสั่งให้เอากระบวย ตักคูถไปถวายดาบสผู้ใหญ่ ดาบสก็
ได้แต่พูดว่า ชิชิ แล้วก็กลับไป. พระราชาตรัสว่า พวกท่านต้องไปทางนี้ทาง
เดียว แล้วให้สัญญาณแก่คนทั้งหลาย ให้เอาหม้อ สาดหนามงิ้วที่บันได.
พวกนักมวยก็เอาค้อนตีศีรษะ จับคอเหวี่ยงไปทำบันใด ดาบสแม้รูปเดียว ก็
ไม่อาจยืนได้ที่บันได. ดาบสทั้งหลายก็กลิ้งลงมาถึงเชิงบันได เมื่อถึงเชิงบันได
แล้ว ฝูงสุนัขดุคิดว่าแผ่นผ้า ๆ ก็รุมกันกัดกิน บรรดาดาบสเหล่านั้น แม้
รูปใดลุกขึ้นหนีไปได้ รูปนั้นก็ต้องตกลงไปในหลุม ฝูงสุนัขก็ตามไปกัดกิน

ดาบสนั้นในหลุมนั้นนั่นแหละ ดังนั้น ร่างกระดูกของดาบสเหล่านั้น จึงไม่
หลงเหลืออยู่เลย. พระราชา ทรงปลงชีวิตดาบส 500 รูป ผู้สมบูรณ์ด้วย
ตบะลงด้วยเวลาวันเดียวเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้. ครั้งนั้น เหล่าเทวดา
บันดาลฝน 9 ชนิด ให้ตกลงมาอีกในแว่นแคว้นของพระราชาพระองค์นั้นโดย
นัยก่อนนั้นแล แคว้นของพระราชาพระองค์นั้น ถูกกลบด้วยกองทรายสูงถึง
60 โยชน์ เพราะเหตุนั้น สรภังคโพธิสัตว์ จึงกล่าวว่า
โย สญฺญเต ปพฺพชิโต อวญฺจยิ1
ธมฺมํ ภณนฺเต สมเณ อทูสเก
ตนฺนาฬิกีรํ สฺนขา ปรตฺถ
สงฺคมฺม ขาทนฺติ วิผนฺทมานํ.
พระเจ้านาฬิกีระพระองค์ใด ทรง
ลวงเหล่านักบวชผู้สำรวม ผู้กล่าวธรรม ผู้
สงบ ไม่เบียดเบียนใคร ฝูงสุนัขย่อมรุมกัน
กัดกินพระเจ้านาฬิกีระพระองค์นั้น ผู้ซึ่ง
กลัวตัวสั่นอยู่ในโลกอื่น.

พึงทราบว่า ป่ากาลิงคะ เป็นป่าไปด้วยประการฉะนี้.

เรื่องป่ามาตังคะ


ในอดีตกาล ณ นครพาราณสี เศรษฐีผู้มีทรัพย์สมบัติ 40 โกฏิ มี
ธิดาคนหนึ่งชื่อ ทิฏฐมังคลิกา สะสวยน่ารักน่าชม นางเป็นที่ปรารถนาของ
คนเป็นอันมาก เพราะนางเพียบพร้อม ด้วยรูปสมบัติ โภคสมบัติ และกุล

1. บาลีสรภังคชาดกว่า อเหฐยิ.