เมนู

อรรถกถาจูฬสัจจกสูตร


จูฬสัจจกสูตรมีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหาวเน กูฏาคารสาลายํ ความว่า ป่า
ใหญ่มีกำหนดเกิดเอง มิได้ปลูก ชื่อว่า มหาวัน. ส่วนป่ามหาวันใกสักรุงกบิล-
พัสดุ์ เนื่องเป็นอันเดียวกันกับป่าหิมพานต์ แต่ไม่มีกำหนด ตั้งจดมหาสมุทร.
ป่านี้ หาเป็นเช่นนั้นไม่ ชื่อว่า ป่ามหาวัน เพราะอรรถว่า เป็นป่าใหญ่มีกำ
หนด. ส่วนกูฏาคารศาลา เมื่อสร้างอารามเสร็จแล้ว จึงทำกูฏาคารไว้ภาย
ใน มุงหลังคาด้วยเครื่องมุงอย่างหงส์และนกกระจาบมุงแล้ว พึงทราบ
ว่า เป็นพระคันธกุฏีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงพร้อมด้วยอาการทั้งปวง.
บทว่า สจฺจโก นิคนฺถปุตฺโต ความว่า ได้ยินว่า ในกาลก่อน ชาย
นิครนถ์คนหนึ่ง หญิงคนหนึ่ง เรียนได้วาทะคนละ 500 แล้ว คิดว่า เรา
จักยกวาทะ ดังนี้ เมื่อเที่ยวไปในชมพูทวีปมาอยู่ร่วมกันในกรุงเวสาลี.
พวกเจ้าลิจฉวีเห็นแล้ว จึงถามว่า ท่านเป็นใคร ท่านเป็นใคร ดังนี้. ชาย
นิครนถ์กราบทูลว่า ข้าพระองค์เที่ยวไปในชมพูทวีปด้วยคิดว่า ข้าพระองค์
จักยกวาทะ ดังนี้.หญิงนิครนถ์ก็ได้กราบทูลอย่างนั้น. เจ้าลิจฉวีตรัสว่า
ขอท่านจงยกวาทะ กันและกันในที่นี้เถิด. หญิงนิครนถ์ จึงได้ถามวาทะ
500 ที่ตนเรียนแล้ว. ชายนิครนถ์ได้ตอบแล้ว เมื่อชายนิครนถ์ถาม หญิง
นิครนถ์ก็ตอบได้หมด. แม้คนหนึ่งไม่มีชนะ ไม่มีแพ้กัน ทั้ง 2 คน ได้เป็นผู้
เสมอๆ กัน.เจ้าลิจฉวีตรัสว่า ท่านแม้ทั้ง 2 คนเสมอๆ กัน จักเที่ยวไปทำ
อะไร จงอยู่ในที่นี้เถิด พระราชทานเรือน ทรงตั้งส่วยให้. เพราะการอยู่ร่วมกัน

ของคนทั้ง 2 เหล่านั้น เกิดธิดา 4 คน คือ ชื่อสัจจาคนหนึ่ง ชื่อโลลาคน
หนึ่ง ชื่อปฏาจาราคนหนึ่ง ชื่อสิลาวตกาคนหนึ่ง ธิดาเหล่านั้นก็ได้เป็นบัณฑิต
ด้วยกัน ได้เรียนวาทะคนละ 500 อันมารดาบิดาเรียนมาแล้ว. หญิงเหล่า
นั้นเจริญวัยได้กล่าวกะมารดาบิดาว่า แม่ชื่อว่า กุลทาริกาของเราไม่ต้องให้
เงินและทองเป็นต้นแล้ว ส่งไปยังเรือนแห่งตระกูล ส่วนผู้ใดอยู่ครอง
เรือน ย่อมสามารถเพื่อจะย่ำยีวาทะ ของหญิงเหล่านั้นได้ หญิงเหล่านั้นจะ
เป็นบาทบริจาริกาของผู้นั้น ผู้ใดเป็นนักบวช ย่อมสามารถเพื่อจะย่ำยีวาทะ
ของหญิงเหล่านั้นได้ หญิงเหล่านั้น ก็จะได้บวชในสำนักของผู้นั้น พ่อแม่จัก
ทำอย่างไร ดังนี้หญิง 4 คน ถือเพศเป็นนักบวชด้วยคิดว่า แม้พวกพวกเรา
จักกระทำอย่างนี้แหละ คิดว่า ชื่อว่า ชมพูทวีปนี้ ย่อมปรากฏด้วยไม้หว้าดัง
นี้ ถือกิ่งไม้หว้าท่องเที่ยวไป ถึงหมู่บ้านใด ก็ปักธงไม้หว้า บนกองฝุ่น
หรือกองทรายแล้ว จึงกล่าวว่า ผู้ใดสามารถยกวาทะ เชิญผู้นั้น เหยียบธงนี้
เถิด เข้าไปหมู่บ้าน พวกเขาเที่ยวไปทุกๆ หมู่บ้านอย่างนี้ - ถึงกรุง
สาวัตถี ปักธงไม้หว้าไว้ที่ประตูหมู่บ้าน เหมืออย่างนั้น บอกแก่พวกมนุษย์ที่
มาถึงแล้ว เข้าไปภายในพระนคร.
ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอาศัยกรุงสาวัตถีประทับอยู่ใน
พระเชตวัน ครั้งนั้นท่านสารีบุตร ถามอาการที่ป่วย มัวจัดสถานที่ที่ เขายัง
ไม่ได้จัด เมื่อเข้าไปที่หมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต จึงสายกว่าภิกษุเหล่าอื่น เพราะมี
กิจมาก ได้เห็นธงไม้หว้าที่ประตูหมู่บ้าน จึงถามพวกเด็กว่า นี้อะไรกัน
พวกเขาได้บอกความนั้น. พระเถระกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงเหยียบ
เถิด.พวกเด็กกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้า ไม่สามารถ กลัว
อยู่. พระเถระกล่าวว่า พวกเจ้าไม่ต้องกลัว. พระเถระกล่าวว่า เมื่อนางปริพา-
ชิกาถามว่า ใครให้เหยียบธงไม้หว้าของเรา พวกเธอพึงบอกว่า พระสารี-

บุตรผู้เป็นพุทธสาวกให้เหยียบ ท่านอยากจะยกวาทะ จงไปยังสำนักของ
พระเถระที่พระเชตวัน.
พวกเด็กฟังคำของพระเถระจึงพากันเหยียบธงไม้หว้าทิ้งไป. พระ
เถระเที่ยวบิณฑบาตแล้วกลับไปยังวิหาร. พวกปริพาชิกา ออกจากหมู่บ้าน
แล้ว จึงถามว่า ใครให้เหยียบธงของเรา. พวกเด็กบอกความนั้น.พวกปริพาชิกา
เข้าไปหมู่บ้านอีก ไปคนละทางบอกแล้วว่า ได้ยินว่า สารีบุตรเป็นพุทธ-
สาวกจักโต้วาทะ กับพวกเรา ท่านประสงค์จะฟังจงออกไปเถิด.มหาชน
ออกไปแล้ว. ปริพาชิกามาแล้ว สู่พระเชตวันกับมหาชนนั้น. พระเถระคิด
ว่า มาตุคามจะมาในที่พักของเราไม่เป็นความผาสุกดังนี้ จึงนั่งในท่ามกลาง
วิหาร. นางปริพาชิกาไปถามพระเถระว่า ท่านให้เหยียบธงของเรา
หรือ ? พระเถระกล่าวว่า ถูกแล้ว เราให้เหยียบเอง ดังนี้. นางปริพาชิกา
กล่าวว่า เราจักโต้วาทะกับท่าน. พระเถระกล่าวว่า ดีละ เชิญโต้เถิด ใคร
ถามใครตอบ. นางปริพาชิกากล่าวว่า เราถาม. พระเถระกล่าวว่า ก็ท่าน
เป็นมาตุคามเชิญถามก่อนเถิด. พวกนางปริพาชิกา 4 คน เหล่านั้น ยืนอยู่
ใน 4 ทิศ ได้ถามพันวาทะที่ได้เรียนในสำนักของมารดาบิดา. พระเถระ
กล่าวทำคำถามไม่ให้ยุ่งยาก ไม่ให้มีปม เหมือนตัดก้านบัวด้วยมีดฉะนั้น.
ครั้นกล่าวแล้ว จึงกล่าวเชิญถามอีก. นางปริพาชิกา กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้
เจริญ ดิฉันรู้เท่านี้แหละ. พระเถระกล่าวว่า ท่านถามพันวาทะแล้ว เราก็
ได้ตอบแล้ว แต่เราจักขอถามปัญหาสักข้อหนึ่ง ท่านจงต้องตอบปัญหา
นั้น. นางปริพาชิกาเหล่านั้น เห็นวิสัยของพระเถระไม่อาจที่จะพูดว่า ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ถามเถิด พวกดิฉันจักตอบชี้แจง ดังนี้จึงกล่าวอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้
เจริญ ขอท่านจงถามเถิด เมื่อพวกดิฉันรู้จักตอบชี้แจง. พระเถระกล่าว
ว่า ปัญหานี้ต้องให้กุลบุตรบรรพชาให้ศึกษาเป็นครั้งแรกแล้ว จึงถาม
ว่า อะไรชื่อว่าหนึ่ง นางปริพาชิกาเหล่านั้น ไม่เห็นต้น ไม่เห็นปลาย. พระ

เถระกล่าวว่า ตอบซิ.นางปริพาชิกากล่าวว่า พวกดิฉัน ไม่เห็นเจ้าค่ะ พระ
เถระกล่าวว่า ท่านถามตั้งพันวาทะ เราก็ตอบแล้ว ท่านไม่สามารถจะตอบ
ปัญหาข้อเดียวของเรา เมื่อเป็นอย่างนี้ ใครเล่าเป็นฝ่ายชนะ ใครเล่าเป็นฝ่าย
แพ้. นางปริพาชิกากล่าวว่า ท่านเป็นฝ่ายชนะ พวกดิฉันเป็นฝ่ายแพ้เจ้าค่ะ
พระเถระกล่าวว่า คราวนี้ ท่านจักทำอย่างไร. นางปริพาชิกาบอกคำที่มารดา
บิดากล่าวแล้ว จึงกล่าวว่า พวกดิฉันจักบวชในสำนักของท่าน. พระเถระ
กล่าวว่า ท่านเป็นมาตุคาม ไม่ควรจะบวชในสำนักของเรา แต่ท่านถือสาส์น
ของเราไปยังสำนักภิกษุณีบวชเถิด. นางปริพาชิการับว่า สาธุ ถือสาส์น
ของพระเถระไปสำนักภิกษุณีสงฆ์บวชแล้ว ก็แลครั้นบวชแล้ว เป็นผู้ไม่
ประมาท มีความเพียร ไม่ช้าก็ได้บรรลุพระอรหัต.
สัจจกนิครนถ์นี้เป็นน้องชายของนางปริพาชิกา 4 คนนั้น เป็นผู้มี
ปัญญายิ่งกว่านาง 4 คนเหล่านั้น ได้เรียนพันวาทะแต่สำนักของมารดาบิดา
และต่อจากนั้นได้เรียนลัทธิภายนอกมากกว่า ไม่ไปไหน สอนราชกุมารให้
ศึกษาศิลปะอยู่ในกรุงเวสาลีนั้น เขากลัวว่า ท้องของเราน่าจะแตก เพราะ
เต็มด้วยปัญญาเกินไป เอาแผ่นเหล็กคาดท้องเที่ยวไป. ท่านหมายเอาผู้
นี้ จึงกล่าวว่า สจฺจโก นิคนฺถปุตฺโต ดังนี้.
บทว่า ภสฺสปฺปวาทิโก ได้แก่ กถามรรคท่านกล่าว ภัสสะ ชื่อว่า
เป็นนักโต้ตอบเพราะอรรถว่า พูดคือกล่าวตอบภัสสะนั้น. บทว่า ปณฺฑิตวาโท
ได้แก่ พูดยกตนว่าเป็นบัณฑิต. บทว่า สาธุ สมฺมโต พหุชนสฺส ความ
ว่า ย่อมอ้างสิ่งใด ๆ มาด้วยนักขัตตวาร. โดยมากสิ่งนั้นๆ ย่อมเป็นอย่าง
นั้น เพราะฉะนั้น ชนเป็นอันมากย่อมยกว่า เป็นเจ้าลัทธิดี เจริญ. บทว่า
วาเทน วาทํ สมารทฺโธ ได้แก่ ยกความผิดขึ้นด้วยกถามรรค. บทว่า
อายสฺมา อสฺสชิ ได้แก่ พระอัสสชิเถระเป็นอาจารย์ของพระสารีบุตรเถระ.

บทว่า ชงฺฆาวิหารํ อนุจงฺกมมาโน ความว่า จงกรมอยู่จากพระตำหนักของ
เจ้าลิจฉวีนั้นๆ เพื่อไปยังพระตำหนักนั้นๆ. บทว่า เยนายสฺมา อสฺสชิ
เต ปสงฺกมิ
ความว่า ถามว่า เข้าไปหาเพราะเหตุไร. ตอบว่า เพื่อรู้ลัทธิ.
ได้ยินว่า สัจจกนิครนถ์ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราเที่ยวเดินด้วยคิดว่า เรา
จักยกวาทะของพระสมณโคดม ไม่ยกขึ้นว่า เราไม่รู้ลัทธิของพระสมณ-
โคดม ก็ผู้ที่รู้ลัทธิของผู้อื่น ยกวาทะขึ้น เป็นอันถือว่ายกขึ้นดีแล้ว ส่วนพระ-
อัสสชิเถระนี้ปรากฏเป็นสาวกของพระสมณโคดม ท่านเป็นผู้ฉลาดในลัทธิ
ของศาสดาของตน เราถามลัทธินั้นแล้ว ยังถ้อยคำให้ตั้งอยู่แล้ว จักยกวาทะ
ต่อพระสมณโคดมดังนี้ เพราะฉะนั้น จึงเข้าไปหา. บทว่า วิเนติ ความว่า
สัจจกนิครนถ์ถามว่า สมณโคดม แนะนำอย่างไร ให้ศึกษาอย่างไร ดังนี้.
ก็เพราะเมื่อพระเถระกล่าวว่า เป็นทุกข์ย่อมเป็นโอกาสแห่ง
การโต้แย้ง ก็มรรคผลมาแล้วโดยปริยายว่า เป็นทุกข์เมื่อพระเถระกล่าว
ว่า ทุกข์ ดังนี้ สัจจกนิครนถ์นี้ พึงถามพระเถระว่า อัสสชิผู้เจริญ ท่านบวช
เพื่ออะไร จากนั้น พระเถระตอบว่า เพื่อมรรคผล พึงยกความผิดขึ้นว่า
อัสสชิ นี้ไม่ใช่คำสอนของท่านนั้น ความอาฆาตอย่างแรง ความแออัด
ในนรกนั้น ไม่มีเพื่อความสุขของท่าน ท่านจะมาลุกลี้ลุกลนเที่ยวทำทุกข์ให้
เสื่อมโทรม ฉะนั้น ไม่ควรทำปริยายกถาแก่ผู้เป็นนักโต้ตอบ คิดว่า เขาจะตั้ง
อยู่ไม่ได้ ฉันใด เราจักกล่าวกถาโดยตรงแก่เขาฉันนั้น จึงยกพระดำรัสนี้
ว่า รูปํ ภิกฺขเว อนิจฺจํ เป็นต้น ด้วยอำนาจอนิจจัง อัน อนัตตา. บทว่า ทุ สฺสุตํ
คือไม่ควรฟัง.บทว่า สณฺฐาคาเร ได้แก่ ศาลาคืออาคารที่ประชุมสอนอรรถ
แก่ราชตระกูล. บทว่า เยน เต ลิจฺฉวี เตนุปสงฺกมิ ความว่า ได้ยินว่า สัจจก-
นิครนถ์นั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราไม่ยกวาทะต่อพระสมณโคดม เพราะ
ไม่รู้ลัทธิในกาลก่อน แต่เดี๋ยวนี้ เรารู้ลัทธิอันพระมหาสาวกของสมณโคดม
นั้นกล่าวแล้ว ก็แหละ ลิจฉวี 500 เหล่านี้ เป็นศิษย์เรา มาประชุมกันแล้ว

เราจักไปพร้อมกับลิจฉวีเหล่านั้น แล้วจึงยกวาทะขึ้นต่อพระสมณโคดม ดังนี้
เพราะฉะนั้น จึงเข้าไปหา. บทว่า ญาตญญตเรน ความว่า บรรดาพระปัญจ-
วัคคีย์เถระผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้น รูปใดรูปหนึ่ง. บทว่า ปติฏฺฐิตํ ความว่า
พระอัสสชิเถระนั้นยังดำรงอยู่ ฉันใด สมณโคดมจักดำรงอยู่ฉันนั้น เมื่อเป็น
เช่นนั้น เขาจักกล่าวข้ออื่นอีก. บัดนี้ เมื่อจะหันหลังกลับ จึงทูลว่า เราจะทำ
อะไรก็ได้ ในที่นั้น
. บทว่า อากฑฺเฒยฺย ได้แก่ พึงกระชากให้หันหน้ามา
หาตน. บทว่า ปริกฑฺเฒยฺย ความว่า พึงดึงมาให้หมอบอยู่ข้างหน้า. บท
ว่า สมฺปริกฑฺเยฺย ความว่าฉุดกระชากอยู่ไปมา. บทว่า โสณฺฑิธุตฺโต
แปลว่า นักเลงสุรา. บทว่า ถาลํ กณฺเณ คเหตฺวา ความว่า ผู้ใคร่จะล้างกะทะ
สำหรับกลั่นสุรา จับที่หูทั้ง 2 แล้วสลัดกากทิ้ง. บทว่า โอธุเนยฺย ได้แก่
เทคว่ำหน้า. บทว่า นิทฺธเมยฺย ได้แก่ หงายหน้าขึ้น. บทว่า นิปโปเฐยฺย
ได้แก่ พึงกระแทกบ่อยๆ มนุษย์นำเอาเปลือกป่านมัดเป็นกำๆ แช่น้ำเพื่อทำ
ผ้าป่าน.ในบทว่า สาณโธวิกํ นาม นี้ในวันที่ 3 เปลือกป่านเหล่านั้น เป็นของ
เปียกชุ่มดี. ต่อมาพวกมนุษย์นำเอาน้ำส้มข้าวต้มและสุราเป็นต้นไปที่
นั้น ถือเอากำป่านไปทุบบนแผ่นกระดาน 3 หน ข้างขวา ข้างซ้ายหรือข้าง
หน้าคือบนแผ่นกระดานข้างขวาหนหนึ่ง ข้างซ้ายหนหนึ่ง ข้างหน้าหน
หนึ่ง กินพลางดื่มพลางเคี้ยวกินพลาง น้ำส้มข้าวต้มและสุราเป็นต้น ช่วยกัน
ล้างสุราเป็นต้น เป็นกีฬาใหญ่ ช้างของพระราชาเห็นกีฬานั้นแล้ว ลงน้ำลึก
เอางวงดูดน้ำแล้ว เล่นพ่นบนกระพองหนหนึ่ง บนหลังหนหนึ่ง ที่สีข้างทั้งสอง
หนหนึ่ง บนระหว่างหลังหนหนึ่ง เพราะอาศัยเหตุนั้น การเล่นกีฬานั้น เรียกชื่อ
ว่า เล่นซักป่าน สัจจกนิครนถ์หมายเอาการเล่นนั้น จึงกล่าวว่า เล่นกีฬาซัก
ป่าน.
ในบทว่า กึ โส ภวมาโน สจฺจโก นิคนฺถปุตฺโต โย ภควโต วาทํ
อาโรเปสฺสติ
นี้ มีอธิบายว่า สัจจกนิคันถบุตรจักโต้วาทะกับพระผู้มีพระภาค

เจ้า สัจจกนิครนถ์นั้นเป็นอะไร เป็นยักษ์หรือเป็นพระอินทร์ หรือเป็นพระ
พรหมที่จักโต้วาทะกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ส่วนมนุษย์ตามปกติไม่อาจเพื่อจะ
โต้วาทะกับพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ดังนี้. บทว่า เตน โข ปน สนเยน ความ
ว่า ในสมัยที่สัจจกะเข้าไปสู่อาราม. ถามว่า เข้าไปในสมัยไหน ? ตอบ
ว่า ในสมัยเที่ยงตรง. ถามว่า เพราะเหตุไร ? ภิกษุทั้งหลายจึงจงกรมอยู่ในสมัย
นั้น. ตอบว่า เพื่อบรรเทาถีนมิทธะมีโภชนะอันประณีตเป็นปัจจัย. อีกอย่าง
หนึ่ง ภิกษุเหล่านั้น ประกอบความเพียรในเวลากลางวัน. เมื่อภิกษุผู้เช่น
นั้น จงกรมอาบน้ำภายหลังอาหาร ให้ร่างกายได้รับความสบายแล้ว นั่งบำ
เพ็ญสมณธรรม จิตก็มีอารมณ์แน่วแน่เป็นหนึ่ง. บทว่า เยน เต ภิกฺขู ความว่า
ได้ยินว่า สัจจกนิคันถบุตรนั้นคิดว่า พระสมณโคดมอยู่ที่ไหนจึงเที่ยวไปรอบ
คิดว่า จักถาม แล้วเข้าไป เมื่อมองดูเห็นพวกภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็น
วัตร จงกรมอยู่บนจงกรมใหญ่เหมือนช้างป่า จึงได้ไปยังสำนักของภิกษุ
เหล่านั้น. คำมีอาทิว่า เยน เต ภิกฺขู สัจจกนิคันถบุตรกล่าวหมายเอาภิกษุ
นั้น. บทว่า กหํ นุโข โภ ความว่า พระโคดมผู้เจริญนั้นอยู่ในอาวาสในถ้ำ
หรือมณฑปไหน. บทว่า เอส อคฺคิเวสฺสน ภควา ความว่า ได้ยินว่า ในกาล
นั้นในเวลาใกล้รุ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติ ทรงแผ่
ข่ายคือพระสัพพัญญุตญาณไปในหมื่นจักรวาล เมื่อทรงตรวจดูสัตว์ที่ควร
แนะนำให้ตรัสรู้ ทรงเห็นว่า พรุ่งนี้ สัจจกนิคันถบุตรต้องการพาเอาเจ้า
ลิจฉวีบริษัทเป็นจำนวนมากจักมาโต้วาทะกับเราดังนี้. ฉะนั้น ทรงชำระพระ
วรกายแต่เช้าตรู่ มีภิกษุสงฆ์เป็นบริวารเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในกรุงเวสาลี
เสด็จกลับจากบิณฑบาตทรงดำริว่า เราจักนั่งในที่สบาย เพื่อจะประทับนั่ง
ในบริษัท มีจำนวนมาก จึงไม่เสด็จเข้าไปพระคันธกุฏี ประทับนั่งพักกลาง
วันที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งในป่ามหาวัน. ภิกษุเหล่านั้นมาแสดงวัตรแด่พระผู้
มีพระภาคเจ้า ถูกสัจจนิครนถ์ถาม เมื่อจะแสดงพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับ

นั่งแล้วในที่ไกล จึงกล่าวว่า อัคคิเวสสนะ นั่น พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้.
บทว่า มหติยา ลิจฺฉวิปริสาย สทฺธึ มีอธิบายว่า เจ้าลิจฉวีประมาณ 500
แวดล้อมข้างล่าง. เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น เป็นลูกศิษย์ของสัจจกะนั้น. ส่วนสัจจกะ
ภายในกรุงเวสาลี พาเอาเจ้าลิจฉวีประมาณ 500 ฟังแล้วว่า ผู้ต้องการจะโต้
วาทะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ โดยมาก พวกมนุษย์พากันออก
ไปด้วยคิดว่า เราจักฟังการสนทนาของบัณฑิต 2 คน.บริษัทมีจำนวนมาก
อย่างนี้ กำหนดนับไม่ได้เลย. คำนั้น สัจจกะกล่าวแล้วหมายถึงบริษัท
นั้น. บทว่า อญฺชลี ปณาเมตฺวา ความว่า ชนเหล่านั้น เป็น 2 ฝ่าย พวกเขา
คิดอย่างนี้ว่า ถ้าพวกเป็นมิจฉาทิฏฐิจักท้วงพวกเราว่า ท่านไหว้พระสมณ-
โคดมทำไม พวกเราจักบอกแก่เขาเหล่านั้นว่า ไหว้อะไรกันเพียงประนมมือ
เท่านั้น ถ้าพวกเป็นสัมมาทิฏฐิจักท้วงเราว่า ทำไมท่านไม่ถวายบังคมพระผู้
มีพระภาคเจ้าเล่า พวกเราจักบอกว่าทำไมการถวายบังคมจะต้องเอาศีรษะ
จดพื้นเล่า เพียงอัญชลีกรรม ก็เป็นการถวายบังคมมิใช่หรือ. บทว่า นาม
โคตฺคํ
ความว่า บางพวกทูลว่า พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ชื่อทัตตะ
ชื่อมิตตะ เป็นบุตรของตนโน้นมาในที่นี้แล้วชื่อว่า ประกาศชื่อ. บางพวกทูล
ว่า พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ชื่อว่า วาสิฏฐะ ชื่อว่า กัจจายนะ มาในที่นี้
แล้ว ชื่อว่าประกาศโคตร. ได้ยินว่า ชนยากจนเหล่านั้นได้ประกาศกระทำ
อย่างนั้นด้วยคิดว่า เราเป็นผู้เป็นบุตรของตระกูลเก่าจักปรากฏ ชื่อและ
โคตร ในท่ามกลางบริษัท. ส่วนพวกเหล่าใด นั่งนิ่ง พวกเหล่านั้น เป็นคนป่า
เถื่อน และอันธพาล. บรรดาชนเหล่านั้น คนป่าเถื่อนคิดว่า คนผู้ทำการสนทนา
กันคำสองคำเป็นผู้คุ้นเคยกัน เมื่อความคุ้นเคยมีอยู่เช่นนั้น จะไม่ถวายภิกษา
หนึ่ง สองทัพพี ไม่ควร เพื่อจะให้ตนพ้นจากความคุ้นเคยนั้น จึงพากันนั่ง
นิ่ง. พวกอันธพาล เป็นผู้นั่งนิ่งในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เพราะไม่รู้ เหมือนก้อนดิน
ที่ถูกซัดไปข้างล่าง. บทว่า กิญฺจิเทว เทสํ ความว่า โอกาสอย่างหนึ่ง เหตุ
อย่างหนึ่ง.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้สัจจกนิครนถ์นั้นเกิดความอุตสาหะ
ในการถามปัญหา จึงตรัสว่า อัคคิเวสสนะ ท่านประสงค์จะถามปัญหา
ใด ก็ถามเถิด. บทนั้น มีเพื่อความว่า หากท่านประสงค์จะถามก็ถาม ใน
การตอบปัญหาไม่เป็นภาระหนักสำหรับเรา. อีกอย่างหนึ่ง ท่านประสงค์สิ่ง
ใด ก็จงถาม เราจักตอบสิ่งนั้นทั้งหมดแก่ท่าน เพราะฉะนั้น พระสมณโคดม
ปวารณาแล้ว ปวารณาพระสัพพัญญุตญาณที่ไม่ทั่วไปกับพระปัจเจกพุทธ
อัครสาวกและพระมหาสาวก. ก็ท่านเหล่านั้น ไม่กล่าวว่า หากท่านประสงค์
จะกล่าวว่า พวกเราฟังแล้ว จักทราบดังนี้. ส่วนพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อม
ปวารณา ปวารณาสัพพัญญุตญาณแก่ยักษ์ จอมคน เทพ สมณพราหมณ์
และปริพาชกเหล่านั้นๆ ว่า ดูก่อนผู้มีอายุ หากท่านประสงค์ก็จงถาม
เถิด หรือว่า ดูก่อนมหาราช หากพระองค์มีพระราชประสงค์ ก็จง
ถาม หรือว่า ดูก่อนท้าววาสวะ ท่านสนใจปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งจงถามเรา
เถิด เราจะตอบปัญหานั้น ๆ ให้ถึงที่สุดแก่ท่าน
หรือว่า ดูก่อนภิกษุ ถ้าอย่าง
นั้น เธอนั่งบนอาสนะของตนแล้วหากประสงค์ก็จงถามเถิด หรือ พวกเธอยังมี
ใจสงสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นความสงสัยของพราหมณ์พาวรี และของ
ท่าน หรือของปวงชน เราให้โอกาสแล้ว จงถามเถิด หรือว่า ดูก่อนสภิยะ
เธอยังสนใจ ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง จงถามเรา เราจะตอบปัญหานั้นๆ
ให้ถึงที่สุดแก่เธอ ข้อนั้น ไม่อัศจรรย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุพุทธภูมิ
อันใด ทรงปวารณาพุทธภูมินั้นอย่างนี้ ผู้ที่ตั้งอยู่ในประเทศญาณในภูมิพระ
โพธิสัตว์ ผู้อันฤษีทั้งหลายอาราธนาแล้ว เพื่อประโยชน์แก่ท้าวสักกะเป็นต้น
อย่างนี้ว่า.

โกณฑัญญะ เธอจงตอบปัญหาทั้งหลาย
พวกฤษีผู้มีความรู้ดี ย่อมขอร้องเธอ

โกณฑัญญะ ธรรมในหมู่มนุษย์นี้
ย่อมถึงความเจริญ นั่นเป็นภาระ.

เที่ยวไปสามครั้ง ในเวลาเป็นสรภังคดาบส ในสัมภวชาดกและในชมพูทวีป
อย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้โอกาสแล้ว
จงถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งตั้งใจไว้ ก็เรารู้โลกนี้ โลกหน้าด้วยตนเอง
จักตอบปัญหาให้ถึงที่สุด แก่พวกท่านดังนี้.

ไม่เห็นผู้ทำที่สุดแห่งปัญหาทั้งหลาย ถูกสุจิรกพราหมณ์ ถามปัญหาเมื่อ
โอกาสอันพระองค์กระทำแล้วมีพระชนม์ 7 พรรษาโดยกำเนิด ทรงเล่น
ฝุ่นที่ถนน ทรงนั่งขัดสมาธิระหว่างวิถี ทรงปวารณา ปวารณาพระ
สัพพัญญุตญาณว่า
เชิญเถิด เราจักบอกปัญหาแก่ท่านประกาศที่เป็นผู้ฉลาด
อนึ่ง พระราชา ทรงทราบข้อนั้น
หากจักทรงกระทำ หรือไม่ทรงกระทำดังนี้.

เมื่อปวารณาพระสัพพัญญุตญาณอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ปวารณาอย่างนี้ สัจจกนิครนถ์มีใจชื่นชม เมื่อจะทูลถามปัญหา จึงได้กล่าวคำ
เป็นต้นว่า กถํ ปน โภ โคตม ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่สัจจกนิครนถ์นั้นว่า ผู้เจริญท่านเห็น
สาวกกล่าวคำอื่น พระศาสดาตรัสคำอื่น เรากล่าวแล้วมิใช่หรือว่า สาวกของ
พระสมณโคดมตั้งอยู่แล้วฉันใด พระสมณโคดมจักตั้งอยู่ฉันนั้น เราก็ยกวาทะ
อย่างนั้น เมื่อจะตรัสโดยกำหนดที่พระอัสสชิเถระกล่าวแล้วในหนหลัง
ว่า โอกาสแห่งคำของนิครนถ์จงอย่ามีอย่างนี้ว่า ก็นิครนถ์นี้ ย่อมกล่าวคำ
อื่น เราอาจจะทำอะไรก็ได้ในที่นั้นได้ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า เอวํ โข อหํ

อคฺคิเวสฺสน ดังนี้. บทว่า อุปมา มํ โภ โคตม ปฏิภาติ สัจจกนิครนถ์กล่าว
ว่า พระโคดมผู้เจริญ อุปมาข้อหนึ่งย่อมปรากฏแก่ข้าพระองค์ข้าพระองค์จะ
นำอุปมานั้นมา. บทว่า ปฏิภาตุ ตํ อคฺคิเวสฺสน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสว่า อัคคิเวสนะ อุปมาจงปรากฏแก่เธอ คือว่า สัจจกนิครนถ์คุ้นเคย
แล้ว จงนำอุปมานั้นมา. บทว่า พลกรณียา ความว่า การงานมีกสิกรรมและ
พาณิชยกรรมต้องทำด้วยกำลังแขน. บทว่า รูปตฺตายํ ปุริสปุคฺคโล ความว่า
ชื่อว่ารูปัตตาเพราะอรรถว่า เขามีรูปเป็นตน ท่านแสดงบุคคลผู้ถือว่ารูปเป็น
ตนตั้งอยู่. บทว่า รูเป ปติฏฺฐาย ความว่า ตั้งอยู่ในรูปที่ถือว่าเป็นตนในรูปนั้น.
บทว่า ปุญฺญํ วา อปุญฺญํ วา ปสวติ คือ ย่อมได้กุศลหรืออกุศล แม้บทมี
เวทนาเป็นตน เป็นต้นก็มีนัยนี้แล.
บทนี้ ท่านแสดงไว้อย่างไร ? ท่านนำอุปมาพร้อมทั้งเหตุที่น่าฟัง
ว่า ปัญจขันธ์เหล่านี้ เป็นที่อยู่อาศัยเหมือนแผ่นดินเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่สัตว์
เหล่านี้ สัตว์เหล่านั้นตั้งอยู่ในปัญจขันธ์เหล่านี้ ย่อมรวบรวมเอากุศลกรรม
แลอกุศลกรรมไว้ ท่านเมื่อปฏิเสธตนซึ่งมีอยู่เห็นปานนี้แสดงอยู่ว่า ปัญจขันธ์
ไม่ใช่ตนดังนี้. ก็ข้อที่นิครนถ์นำมาเปรียบแน่นอนแล้ว ไม่มีคนอื่นจากพระ
สัพพัญญูพุทธเจ้าที่ชื่อว่า สามารถ ตัดถ้อยคำของนิครนถ์นั้นแล้วให้โทษใน
วาทะได้ จริงอยู่ บุคคลมี 2 จำพวก คือ พุทธเวไนย 1 สาวกเวไนย 1.
ในสาวกเวไนยพระสาวกแนะนำบ้าง พระพุทธเจ้าทรงแนะนำบ้าง ส่วนใน
พุทธเวไนย พระสาวกไม่สามารถแนะนำ พระพุทธเจ้าเท่านั้นทรงแนะนำ
ได้นิครนถ์ผู้นี้ เป็นผู้พุทธเวไนย เพราะฉะนั้น ไม่มีคนอื่นที่ชื่อว่า สามารถ
ตัดถ้อยคำของนิครนถ์นั้นแล้วให้โทษในวาทะได้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงโทษในวาทะของสัจจกนิครนถ์นั้นด้วยพระองค์
เอง จึงตรัสว่า นนุ ตฺวํ อคฺคิเวสฺสน ดังนี้.

ลำดับนั้น นิครนถ์คิดว่า พระสมณโคดม ย่อมยืนยันวาทะของเรายิ่ง
นัก ถ้าโทษบางอย่างจักมีในเบื้องบน พระองค์จักข่มแต่เราผู้เดียว เอา
เถอะ เราจะซัดวาทะนี้ไปบนศีรษะมหาชน เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า พระ
โคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากล่าวอยู่อย่างนี้ว่า รูปเป็นคนของเรา ฯ เปฯ วิญญาณ
เป็นคนของเรา ประชุมชนเป็นอันมากก็กล่าวอย่างนั้น.
ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีวาทะดีกว่านิครนถ์ด้วยคูณตั้ง
ร้อย ตั้งพัน ตั้งแสน เพราะฉะนั้น จึงทรงดำริว่า นิครนถ์นี้จะให้ตนพ้นจึงซัด
วาทะไปบนศีรษะมหาชน เราจักไม่ให้ตัวเขาพ้นไปได้ เราจักเปลื้องวาทะ
ออกจากมหาชนแล้ว ข่มแต่เขาคนเดียว ลำดับนั้น จึงตรัสกะนิครนถ์ว่า
กึ หิ เต อคฺคิเวสฺสน ดังนี้เป็นต้น. บทนั้นมีอธิบายว่า ประชุมชนนี้ ไม่มาโต้
วาทะกับเรา ท่านเท่านั้น วนเวียนไปทั่วกรุงเวสาลี มาโต้วาทะกับเรา เพราะ
ฉะนั้น ท่านจงประกาศวาทะของตนให้ทั่วกัน ท่านซัดอะไรไปบนศีรษะ
มหาชน. นิครนถ์นั้น เมื่อรับความจริง จึงกราบทูลว่า พระโคดมผู้เจริญ
ข้าพระองค์กล่าวอย่างนั้นจริงดังนี้เป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยืนยันวาทะ
ของนิครนถ์ทรงปรารภคำถามว่า เตนหิ อคฺคิเวสฺสน ด้วยประการฉะนี้
แล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตนหิ เป็นนิบาต ลงในอรรถว่า เหตุ
เพราะท่านย่อมเข้าใจปัญจขันธ์โดยความเป็นคน ฉะนั้น. บทว่า สกสฺมึ
วิชิเต
คือในแว่นแคว้นของพระองค์. บทว่า ฆาเตตายํ วา ฆาเตตุํ ได้แก่
เพื่อให้ฆ่าคนที่ควรฆ่า คือ ผู้สมควรถูกฆ่า. บทว่า ชาเปตายํ วา ชาเปตุํ ความ
ว่าเพื่อริบราชบาตรในที่ควรริบ คือ คนที่ควรถูกริบ ได้แก่ เพื่อให้เสื่อมทรัพย์.
บทว่า ปพฺพาเชตายํ วา ปพฺพาเชตุํ ความว่า เพื่อเนรเทศ คือนำคนที่ควรเนรเทศ
ออกไปจากแว่นแคว้นของพระองค์. บทว่า วตฺติตุญฺ จ อรหติ ท่านแสดง

ว่า ย่อมเป็นไป คือควรเพื่อเป็นไป นิครนถ์แสดงเหตุที่นำมาเพื่อทำลายวาทะ
ของตนเองให้พิเศษดุจผู้ทำอาวุธให้คมเพื่อฆ่าคน เหมือนคนพาล. บทว่า
เอวํ เม รูปํ โหตุ ความว่า ขอรูปของเราจงมีอย่างนี้ คือ มีรูปน่าเลื่อมใสมี
รูปสวย เห็นเข้าก็ชอบใจ เหมือนเสาระเนียดทอง ที่ประดับประดาแล้ว
ตกแต่งแล้ว และผ้าวิจิตรที่จัดแจงไว้อย่างดี.บทว่า เอวํ เม รูปํ มา อโหสิ
ความว่า ขอรูปของเรา จงอย่ามีอย่างนี้ คือผิวพรรณทราม ทรวดทรงไม่
ดี หนังเหี่ยว ผมหงอก ตัวตกกระ. บทว่า ตุณฺหี อโหสิ ความว่า นิครนถ์
รู้ความที่ตนพลาดในวาทะนี้ จึงคิดว่า พระสมณโคดมนำเหตุมาเพื่อต้องการ
ทำลายวาทะของเรา เราแสดงเหตุนั้นพลาดไป เพราะโง่ ถ้าจะพูดว่า เป็น
ไปดังนี้ คราวนี้ เราฉิบหายแล้ว อัคคิเวสสนะท่านได้ลุกขึ้นกล่าวกับเจ้าเหล่านี้
ว่า อำนาจย่อมเป็นไปในรูปของเรา ถ้าอำนาจเป็นไปในรูปของท่าน เพราะ
เหตุไร ท่านจึงไม่รุ่งเรือง เหมือนเจ้าลิจฉวีเหล่านี้ มีรูปสวยน่าเลื่อมใส ย่อมรุ่ง
เรืองด้วยอัตตภาพ เช่นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ถ้าเราจะกล่าวว่าเป็นไปไม่
ได้ พระสมณโคดมเสด็จลุกขึ้นยกวาทะว่า อัคคิเวสสนะ ในกาลก่อนท่านกล่าว
ว่าอำนาจเป็นไปในรูปของเรา มาวันนี้ค้านเสียแล้ว เมื่อเขากล่าวว่าเป็นไปก็มี
โทษอย่างหนึ่ง กล่าวเป็นไปไม่ได้ ก็มีโทษอย่างหนึ่งด้วยประการฉะนี้
ก็นิ่งเสียดังแล.พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามครั้งที่สอง สัจจกนิครนถ์ก็นิ่งเสีย
ถึงสองครั้ง. ก็เพราะศีรษะของผู้ไม่ตอบชี้แจง เมื่อปัญหาอันพระผู้มีพระภาค
เจ้าตรัสถามแล้วถึงสามครั้ง ย่อมแตกโดย 7 เสี่ยง. ก็ธรรมดาว่าพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย มีความเอ็นดูเป็นกำลัง ในหมู่สัตว์ เพราะบำเพ็ญพระบารมี
ตลอด 4 อสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัปป์เพื่อประโยชน์แก่หมู่สัตว์ทั้งนั้น ฉะนั้น
ตรัสถามจนถึงสองครั้งแล้ว จึงได้ตรัสคำเป็นต้นว่า ครั้งนั้นแล พระผู้
มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนี้กะสัจจกนิครนถ์บุตรว่า วันนี้ท่านจงตอบ
ชี้แจงดังนี้เป็นต้น.

ในบทนั้น บทว่า สหธมฺมิกํ คือมีเหตุ มีผล. ชื่อว่า วชิรปาณี เพราะ
อรรถว่ามีวชิระในฝ่ามือ บทว่า ยกฺโข ความว่า พึงทราบว่าผู้นั้นใช่ยักษ์เป็น
ท้าวสักกเทวราช. บทว่า อาทิตฺตํ คือมีสีเหมือนไฟ. บทว่า สมฺปชฺชลิตํ คือลุก
โพลงด้วยดี. บทว่า สํโชติภูตํ คือ สว่างทั่ว อธิบายว่า เป็นเปลวไฟอย่างเดียว
กัน. บทว่า ฐิโต โหติ ความว่า ยักษ์ยืนนิรมิตรูปน่าเกลียดเห็นปานนี้
คือ ศีรษะใหญ่ เขี้ยวเช่นกับหัวปลี ตาและจมูกเป็นต้นน่ากลัว. ถามว่า
ก็เพราะเหตุอะไร ยักษ์นั้นจึงมา. ตอบว่า มาเพื่อให้นิครนถ์ตอบความ
เห็น, อีกอย่างหนึ่ง ท้าวสักกะกับท้าวมหาพรหมเสด็จมาแล้ว เมื่อพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าถึงความขวนขวายน้อยในการแสดงธรรมอย่างนี้ว่า เราพึงแสดง
ธรรมคนเหล่าอื่นก็พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเราไม่ได้ ได้ทรงกระทำปฏิญญา
ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าขอพระองค์จงทรงแสดงธรรมเถิด เมื่ออาณาจักร
ไม่เป็นไปแด่พระองค์ เป็นไปแก่ข้าพระองค์พวกข้าพระองค์จักให้เป็น
ไป ธรรมจักรจงเป็นของพระองค์ อาณาจักรเป็นของข้าพระองค์ดังนี้.
เพราะฉะนั้นเสด็จมาแล้วด้วยทรงดำริว่า ในวันนี้เราจักให้สัจจกนิครนถ์สะดุ้ง
กลัว แล้วให้ตอบปัญหาดังนี้. บทว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ากับสัจจกนิคันถบุตร
เท่านั้นเห็นอยู่
ความว่า ถ้าคนเหล่าอื่นพึงเห็นเหตุนั้น เหตุนั้นก็ไม่พึง
หนัก. ชนทั้งหลายพึงพูดว่า พระสมณโคดมทรงรู้แล้ว ซึ่งสัจจกนิครนถ์ไม่
หยั่งลงในวาทะของตน ทรงใช้ยักษ์ให้นำมาแสดง แต่นั้น สัจจกนิครนถ์
กราบทูลแล้ว เพราะกลัวดังนี้. เพราะฉะนั้นพระผู้มี พระภาคเจ้ากับสัจจก-
นิครนถ์เท่านั้นเห็นอยู่. เพราะเห็นยักษ์นั้นเหงื่อก็ไหลทั่วตัวของสัจจกนิครนถ์
นั้น ภายในท้องป่วนปั่นร้องดัง เขาคิดว่าคนเหล่าอื่นเห็นอยู่ เมื่อแลดูก็ไม่เห็น
ใครแม้ขนชัน แต่นั้นความกลัวนี้เกิดแก่เราเท่านั้น จึงคิดว่า ถ้าเราจักกล่าว
ว่า ยักษ์ พวกคนพึงพูดว่า มีตาของท่านนั้นหรือ ท่านเท่านั้นเห็นยักษ์ ท่านไม่
เห็นยักษ์ก่อนถูกพระสมณโคดมซัดไปในการสืบต่อแห่งวาทะ จึงเห็น

ยักษ์ สำคัญอยู่ว่า คราวนี้ในที่นี้ เราไม่มีที่พึ่งอื่น นอกจากพระสมณโคดม
ครั้งนั้นแล สัจจกนิคันถบุตร ฯ เปฯ จึงได้กราบทูลคำนั้น พระผู้มีพระภาค
เจ้า. บทว่า ตาณํ คเวสี คือแสวงหาอยู่ว่าที่ต้านทาน. บทว่า เลณํ คเวสี คือ
แสวงหาอยู่ว่าป้องกัน. บทว่า สรณํ คเวสี คือ แสวงหาอยู่ว่าที่พึ่ง. ก็ในบท
นี้ ชื่อว่า ตาณา เพราะอรรถว่า ต้านทานคือรักษา.ชื่อว่า เลณะ เพราะอรรถ
ว่า เป็นที่เร้นลับแห่งชน. ชื่อว่า สรณะ เพราะอรรถว่า ระลึกได้ อธิบาย
ว่า ย่อมเบียดเบียน คือกำจัดความกลัว. บทว่า มนฺสิกริตฺวา ความว่า กระทำ
ไว้ในใจ คือ พิจารณา ใคร่ครวญ. บทว่า เอวํ เม เวทนา โหตุ คือ ขอเวทนา
จงเป็นกุศล เป็นสุข. บทว่า เอวํ เม สญฺญ โหตุ คือ ขอสัญญาจงเป็น
กุศล เป็นสุข คือ จงประกอบด้วยโสมนัส. แม้ในสังขารและวิญญาณก็มีนัยนี้
แล. ส่วนในบทว่า มา อโหสิ นี้ พึงทราบโดยกล่าวตรงกันข้าม. บทว่า
กลฺลํ นุ แปลว่า สมควรหรือหนอ. บทว่า สมนุปสฺสิตุํ ความว่า พิจารณา
เห็นด้วยตัณหามานะ ทิฏฐิ. อย่างนี้ว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตต
ภาพของเรา. บทว่า โน เหตํ โภ โคตม ได้แก่ ข้อนั้นไม่ควรแก่พระสมณ-
โคดมผู้เจริญ.
หมองูผู้ฉลาดให้งูนั้นกัดแล้ว ถอนพิษที่ถูกงูกัด ฉันใด พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าทรงให้สัจจกนิคันถบุตรกล่าวในบริษัทนั้น ด้วยปากนั้นเองว่า ขันธ์
5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฉันนั้น ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ทุกฺขํ
อลฺลีโน
ความว่า ติด คือ เข้าถึงทุกข์ในปัญจขันธ์นี้ ด้วยตัณหาและทิฏฐิ.
บทว่า อชฺโฌสิโต ความว่า พึงทราบด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิเท่า
นั้น. ในบทเป็นต้นว่า ทุกฺขํ เอตํ มม มีอธิบายว่า ย่อมพิจารณาเห็นทุกข์ใน
ปัญจขันธ์ด้วยอำนาจตัณหามานะและทิฏฐิ. บทว่า ปริชาเนยฺย ความว่า
พึงกำหนดรู้ด้วยตีรณปริญญาว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา บทว่า ปริกฺ
เขเปตฺวา
ความว่า นำความสิ้น ความเสื่อม ไม่ให้เกิด. บทว่า นวํ แปล

ว่า รุ่น. บทว่า อกุกฺกุฏชาตํ ความว่า ปลีปลีหนึ่ง ประมาณองคุลี ย่อม
เกิดในภายในเวลาผลิดอก - อธิบายว่า เว้นปลีนั้นเสีย. บทว่า ริตฺโต
คือ ว่างเปล่า คือ เว้นจากแก่ภายใน ชื่อว่า เปล่าเพราะว่างเปล่า. บทว่า
อปรทฺโธ คือ พ่ายแพ้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศความที่สัจจกนิคันถ-
บุตรนั้นมีปากกล้า เมื่อจะทรงข่มจึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า ภาสิตา โข
ปน เต
ดังนี้. ได้ยินว่า เมื่อก่อนสัจจกนิครนถ์นั้นเข้าไปหาครูทั้ง 6 มีปูรณะ
เป็นต้น ย่อมถามปัญหา. พวกครูเหล่านั้น ไม่สามารถจะตอบได้. ครั้งนั้น
เขายกวิปการใหญ่ในท่ามกลางบริษัทของครูเหล่านั้นแล้วลุกขึ้นไปประกาศ
ความชนะ เข้าไปด้วยความสำคัญว่า เราจักเบียดเบียนแม้พระสัมมาสัมพุทธ-
เจ้าอย่างนั้น ประกาศว่า ยอดแผ่ไปด้วยการประหารครั้งเดียว ในต้นไม้ชื่อ
อะไร ที่ขาดใบ มีแต่หนาม
สัจจกนิครนถบุตรนี้ จรดสาระคือสัพพัญญุต-
ญาณ บรรลุประเภทจะงอยคือพระญาณ จึงได้รู้ความที่พระสัพพัญญุต-
ญาณแข็ง เหมือนนกมีจะงอยอ่อนเคยเจาะไม้ที่ไม่มีแก่น เจาะไม้ตะเคียน
เข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงประกาศข้อนั้น ในท่ามกลางบริษัทของ
สัจจกนิครนถ์นั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ภาสิตา โข ปน เต ดังนี้. ในบท
ว่า นตถิ เอตรหิ นี้ไม่ควรกล่าวว่า ชื่อว่าเหงื่อในอุปาทินนกสังขารจะไม่
มี เขาจะกล่าวว่า ก็ในบัดนี้ ไม่มี. บทว่า สุวณฺณวณฺณํ กายํ วิวริ คือ พระผู้
มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงเปิดพระกายทั้งหมด. ธรรมดาพระพุทธเจ้าสรวมรัง
ดุม ทรงปิดพระกายทรงแสดงธรรมอยู่ในบริษัท. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค
เจ้า ทรงจับ (กด) จีวรที่ตรงหน้าหลุมคอให้หย่อนลงเพียง 4 องคุลีแล้วเมื่อ
จีวรนั้น หย่อนลงแล้ว รัศมีมีสีดังทองเป็นกลุ่ม ๆ ซ่านออก เหมือนรสธารา
ทองแดงไหลออกจากหม้อทอง และเหมือนสายฟ้าแลบออกจากวลาหกสี
แดง กระทำจีวรมหาขันธ์เช่นกับกลองทองให้เป็นประทักษิณ แล่นไปในอา
กาศแล้ว. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงการทำอย่าง

นี้. ตอบว่า เพื่อบรรเทาความสงสัยของมหาชน. ก็มหาชนพึงสงสัยว่า
พระสมณโคดมตรัสว่า เหงื่อของเราไม่มี. เหงื่อของสัจจกนิคันถบุตรไหล
อยู่ตลอดเหมือนเหงื่อของคนขึ้นเครื่องยนต์ พระสมณโคดมประทับนั่งห่มผ้า
จีวรหนา ใครจะรู้ได้อย่างไร ว่าเหงื่อภายในจะมี หรือไม่มีดังนี้ จึงทรงกระ
ทำอย่างนั้นเพื่อบรรเทาความสงสัยของมหาชนนั้น. บทว่า มงฺกุภูโต คือ
หมดอำนาจ. บทว่า ปตฺตกฺขนฺโธ คือ คอตก. บทว่า อปฺปฏิภาโณ คือ ไม่พบ
สิ่งที่ยิ่งกว่า.บทว่า นิสีทิ คือนั่งเอานิ้วเท้าเขี่ยแผ่นดิน. บทว่า ทุมฺมุโข ความ
ว่า มีหน้าไม่น่าเกลียด จริงอยู่ บุตรลิจฉวีนั้น มีรูปสวย น่าเลื่อมใส ก็ชื่อของ
เขาอย่างนั้น. บทว่า อภพฺโพ ตํ โปกฺขรณึ ปุน โอตริตุํ ท่านแสดงว่า ปูชื่อ
ว่า เดินไม่ได้ เพราะก้ามหักหมด ไม่อาจลงสู่สระโบกขรณีนั้นได้ จึงเป็น
เหยื่อของกาและเหยี่ยวเป็นต้นในที่นั้นเอง. บทว่า วิสูกายิกานิ คือ ทิฏฐิอันเป็น
เสี้ยนหนาม. บทว่า วิเสวิตานิ คือ ประพฤติด้วยทิฎฐิ. บทว่า วิปฺผนฺทิตานิ
คือ ความดิ้นรนด้วยทิฏฐิ. บทว่า ยทิทํ ในบทว่า ยทิทํ วาทาธิปฺปาโย นี้
เป็นเพียงนิบาต. ท่านแสดงว่า เป็นการชี้แจงวาทะ ไม่ควรเข้าไปเฝ้าตาม
อัธยาศัยว่า เราจักโต้วาทะ แต่ควรเข้าไปเฝ้าเพื่อฟังธรรม. ถามว่า บท
ว่า ทุมฺมุขํ ลิจฺฉวิปุตฺตํ เอตทโวจ สัจจกนิคันถบุตรได้กล่าวแล้ว เพราะเหตุไร
ตอบว่า ได้ยินว่า ในเวลาบุตรลิจฉวีชื่อทุมมุขุนั้น นำเอาอุปมามาแม้ลิจฉวี
กุมารที่เหลือ คิดแล้วว่า นิครนถ์นี้ทำความดูหมิ่นพวกเราในสถานที่เรียนศิลปะ
ของพวกเรามานาน บัดนี้ ถึงเวลาที่จะเห็นหลังศัตรู แม้เรานำอุปมาข้อหนึ่ง
มาคนละข้อ จักกระทำสัจจกนิครนถ์นั้น ผู้ตกไปด้วยปรบฝ่ามือ ดุจโบย
ด้วยค้อน โดยประการที่สัจจกนิครนถ์จักไม่สามารถยกศีรษะขึ้นในท่าม
กลางบริษัทได้อีก. ลิจฉวีเหล่านั้นทำอุปมาทั้งหลายแล้ว นั่งคอยทุมมุขพูด
จบ. สัจจกนิครนถ์รู้ความประสงค์ของลิจฉวีเหล่านั้น จึงคิดว่า ลิจฉวีเหล่านี้
ทั้งหมด ชูคอยืนปากสั่น หากพวกลิจฉวีจักได้นำอุปมามาแต่ละอย่าง เราจัก

ไม่สามารถเงยหัวขึ้นในท่ามกลางบริษัทอีก เอาเถิดเรารุกรานทุมมุขะ
แล้ว ตัดวาระแห่งถ้อยคำโดยประการที่ผู้อื่นไม่มีโอกาส จักทูลถามปัญหากะ
พระสมณโคดม เพราะฉะนั้น จึงได้กล่าวคำนั้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า อาค
เมหิ
แปลว่า หยุดก่อน อธิบายว่า อย่าถือเอาอีก. บทว่า ติฏฺฐเตสา โภ โคตม
ความว่า พระโคดมผู้เจริญ วาจานี้ของข้าพระองค์ และของสมณพราหมณ์
เป็นอันมากเหล่าอื่น จงยกไว้ก่อน. บทว่า วิลาปํ วิลปิตํ มญฺญา ความว่า
คำนี้นี้เป็นดุจพร่ำเพ้อ อธิบายว่า เป็นเพียงพูดพร่ำ. อีกอย่างหนึ่ง ควรนำบท
ว่า กถามากล่าวในบทนี้ว่า ติฏฐเตสา. ส่วนในบทว่า วาจาวิลาปํ วิลปิตํ
มญฺเญ
นี้ มีอธิบายว่า การเปล่งวาจานี้เห็นจะเป็นเพียงพูดพร่ำ
บัดนี้ สัจจกนิครนถบุตร เมื่อทูลถามปัญหา จึงกล่าวคำเป็นต้น
ว่า กิตฺตาวตา. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวสารชฺชปฺปตฺโต คือ บรรลุญาณ.
บทว่า อปรปฺปจฺจโย คือ ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อทรงตอบปัญหาแก่สัจจกนิคันถบุตรนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า อิธ อคฺคิ-
เวสฺสน
ดังนี้. คำนั้น มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
ก็เพราะเสขภูมิ ทรงแสดงแล้วเพราะตรัสว่า ปสฺสติ ในบทนี้ ฉะ
นั้น เมื่อทูลเสขภูมิให้ยิ่งขึ้นไปจึงทูลถามปัญหาข้อที่สองแล้ว. พระผู้มีพระภาค
เจ้า ทรงตอบชี้แจงปัญหาแม้นั้นแก่เขา. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
ทสฺสนานุตฺตริยํ ในบทเป็นต้นว่า ทสฺสนานุตฺตริยํ ได้แก่ ปัญญาที่
เป็นโลกิยะ และโลกุตตระ บทว่า ปฏิปทานุตฺตริยํ ได้แก่ ข้อปฎิบัติที่เป็น
โลกิยะ และโลกุตตระ. บทว่า วิมุตฺตานุตฺตริยํ คือ โลกุตตร-
วิมุตติ. อีกอย่างหนึ่งบทว่า ทสฺสนานุตฺตริยํ คือ สัมมาทิฏฐิ. อันเป็น
อรหัตตมรรค เพราะมุ่งถึงโลกุตตรธรรมล้วน. บทว่า ปฏิปทานุตฺตริยํ คือ
องค์มรรคที่เหลือ. บทว่า วิมุติตานุตฺตริยํ คือ วิมุตตฺเป็นมรรคผล. การเห็น

นิพพานของพระขีณาสพชื่อว่า ทัสสนานุตตริยะ. องค์มรรค 8 เป็นปฏิปทา
นุตตริยะ. มรรคผล พึงทราบว่าเป็นวิมุตตานุตตริยะ. บทว่า พุทฺโธ โส
ภควา
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ตรัสรู้แล้วซึ่งสัจจะ 4
ด้วยพระองค์เอง. บทว่า โพเธตาย ความว่า ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์แม้เหล่า
อื่น เพื่อให้ตรัสรู้สัจจะ 4 บทว่า ทนฺโต ในบทเป็นต้นว่า ทนฺโต คือ หมด
พยศ. บทว่า ทมถาย คือ เพื่อต้องการหมดพยศ. บทว่า สนฺโต คือ ทรงสงบ
แล้ว ด้วยความเข้าไปสงบกิเลสทั้งปวง. บทว่า สมถาย คือ เพื่อความสงบ
กิเลส. บทว่า ติณฺโณ คือ ข้ามโอฆะ 4 บทว่า ตรณาย คือ เพื่อข้ามโอฆะ
4. บทว่า ปรินิพฺพฺโต ความว่า ทรงดับสนิทแล้วด้วยความดับสนิทแห่ง
กิเลส บทว่า ปรินิพฺพานาย ความว่า ทรงแสดงธรรมเพื่อความดับสนิทแห่ง
กิเลส. บทว่า ธํสี คือ เป็นคนกำจัดคุณ. บทว่า ปคพฺภา คือ ประกอบด้วยความ
คะนองวาจา. บทว่า อาสาเทตพฺพํ คือ พึงเสียดสี. บทว่า อาสชฺชคือ กระ
ทบ. บทว่า น เตฺวว ภวนฺตํ โคตมํ ท่านแสดงว่า หมดกำลังเพื่อจะถือเอาวาทะ
ของตนไปกระทบต่อใครๆ ทั้งสิ้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า จะทรงทำอัน
ตรายชีวิตใครๆ เหมือนช้างเป็นต้น ก็หามิได้. แต่นิครนถ์นี้ นำอุปมาสามข้อ
เหล่านี้มาแล้ว เพื่อจะยกพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็หามิได้เลย นำมาเพื่อยกตน
เท่านั้น เหมือนอย่างว่า พระราชาทรงปราบปรามข้าศึกบางพวก ลงได้
แล้ว เมื่อจะทรงชมเชยข้าศึกว่า คนกล้าอย่างนี้ จักเป็นคนถึงพร้อมด้วยกำลัง
อย่างนี้. ก็ชมเชยตนอยู่นั้นเองฉันใด สัจจกนิคันถบุตรแม้นี้ก็ฉันนั้น เมื่อจะ
ยกวาทะพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคำเป็นต้นว่า สิยา หิ โข โภ โคตม ทตฺถิป
ภินฺนํ
ย่อมยกตนเท่านั้นว่า - เราเป็นคนกล้า เราเป็นบัณฑิต เราเป็นพหูสูต
เป็นผู้ต้องการโต้วาทะเข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนช้างซับ
มัน เหมือนกองไฟลุกโพลงและเหมือนอสรพิษแผ่พังพานดังนี้.

ครั้นยกตนอย่างนี้แล้ว เมื่อจะนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกราบทูล
คำเป็นต้นว่า อธิวาเสตุ เม. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธวาเสตุ คือขอพระ
องค์จงทรงรับเถิด. บทว่า สฺวาตนาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่บุญ และ
ปีติปราโมทย์ ซึ่งจักมีในวันพรุ่งนี้แก่ข้าพระองค์ผู้กระทำอยู่ซึ่งสักการะในพระ
องค์. บทว่า อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวน มีอธิบายว่า พระผู้มีพระภาค
เจ้า ไม่ทรงให้อวัยวะส่วนพระกายและพระวาจาให้หวั่นไหว ทรงยับยั้งอยู่ไว้
เฉพาะภายใน ทรงรับแล้วด้วยดุษณีภาพ. คือทรงรับด้วยพระทัยเพื่อทำ
การอนุเคราะห์แก่สัจจกนิคันถบุตรแล ดังนี้.

บทว่า ยมสฺส ปฏิรูปํ มญฺเญยฺยาถ ความว่า ได้ยินว่า เจ้าลิจฉวีเหล่า
นั้นนำถาดสำรับ 500 ไปให้แก่สัจจกนิคันถบุตรนั้นเป็นนิตยภัตร สัจจก-
นิคันถบุตรหมายเอาภัตรนั้นแล จึงกล่าวว่า วันพรุ่งนี้ พวกท่านควรสำคัญ
ว่า สิ่งที่สมควรจึงเป็นของควรถวายแต่พระสมณโคดม ควรนำของที่สมควร
นั้นมา พวกท่านเป็นคนปรนนิบัติ ย่อมเข้าใจถึงสิ่งที่ควร ไม่ควร เหมาะไม่
เหมาะสำหรับสมณโคดม. บทว่า ภตฺตาภิหารํ อภิหรึสุ ความว่า นำภัตร
ที่ควรนำไป. บทว่า ปณีเตน คือสูงสุด. บทว่า สหตฺถา คือ ด้วยมือของตน.
บทว่า สนฺตปฺเปตฺวา ความว่า อิ่มดี คือ อังคาสให้อิ่มหนำสำราญบริบูรณ์
ตามความต้องการ. บทว่า สมฺปวาเรตุวา คือ ปวารณาดี คือ ห้ามด้วย
หัตถสัญญาว่า พอ พอ ดังนี้. บทว่า ภุตฺตาวิ คือ เสวย. บทว่า โอนีตปตฺตปาณึ
คือชักพระหัตถ์ออกจากบาตร อธิบายว่า คือนำพระหัตถ์ออกแล้ว.บาลี
ว่า โอนิตฺตปตฺตปาณึ ดังนี้ก็มี. บทนั้นมีความว่า ชื่อว่า โอนิตฺตปตฺตปาณึ
เพราะอรรถว่า มีบาตรต่างนำออกแล้วจากพระหัตถ์ อธิบายว่า พระผู้มีพระ
ภาคเจ้านั้นผู้มีบาตรอันนำออกแล้วจากพระหัตถ์ คือทรงชำระพระหัตถ์และ
บาตรทรงเก็บบาตรไว้ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วประทับนั่ง. บทว่า เอก-

มนตํ นิสีทิ ความว่า สัจจกนิครนถ์ รู้แล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวย
อย่างนี้ จึงนั่งในโอกาสแห่งหนึ่ง บทว่า ปุญฺญญฺจ คือ บุญในทานนี้ อธิบาย
ว่า เป็นวิบากขันธ์ต่อไป. บทว่า ปญฺญมหี ความว่า เป็นบริวารเฉพาะวิบาก
ขันธ์. บทว่า ตํ ทายกานํ สุขาย โหตุ ความว่าบุญนั้น จงมีเพื่อประโยชน์สุข
แก่ลิจฉวีเหล่านี้.
ได้ยินว่า นิครนถ์นั้น เมื่อจะมอบทานนี้แก่เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น จึงกล่าว
อย่างนี้ว่า เราเป็นบรรพชิต ไม่ควรให้ทานของตน ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
เจ้า เพราะบุญเจ้าลิจฉวีให้แก่สัจจกนิครนถ์ ไม่ให้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ส่วนสัจจกนิครนถ์ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ฉะนั้น เมื่อทรงแสดงเนื้อ
ความนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ยํ โข อคฺคิเวสฺสน ดังนี้. พระผู้มีพระภาค
เจ้าทรงมอบทักษิณาที่เขาถวายแก่ตนแก่นิครนถ์เพื่อรักษาน้ำใจ ทักษิณา
นั้น ก็จักเป็นวาสนาในอนาคตด้วยประการฉะนี้แล.

จบอรรถกถาจูฬสัจจกสูตร ที่ 5.

6.มหาสัจจกสูตร


สัจจกนิคันถบุตรทูลถามปัญหา



[405] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา
(เรือนยอดกว้างใหญ่) ที่ป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี. ก็แล สมัยนั้น ตอนเช้าพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งสบง ทรงบาตรและจีวร มีพระพุทธประสงค์จะเสด็จ
เข้าไปทรงบาตร ณ กรุงเวสาลี. ครั้งนั้นแล สัจจกนิคันถบุตร เมื่อเดินเที่ยว
ไปมาอยู่ ่ ได้เข้าไปยังป่ามหาวัน ถึงกูฏาคารศาลา. พระอานนท์ได้เห็นสัจจก
นิคันถบุตรกำลังมาแต่ไกลก่อน ครั้นเห็นแล้ว จึงได้ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัจจกนิคันถบุตรผู้นี้เป็นคนพอใจนั่งสนทนา
ด้วยลัทธินั้นๆ กล่าวยกตนว่าเป็นคนเจ้าปัญญา มหาชนสมมติว่า เป็นคน
มีความรู้ดี มาอยู่ ณ บัดนี้. พระองค์ผู้เจริญ สัจจกนิคันถบุตรผู้นี้แล ใคร่จะ
ติเตียนพระพุทธเจ้า, พระธรรม, พระสงฆ์, พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า โปรดประทับนั่งสักครู่ เพื่อทรงอนุเคราะห์ จะเป็นการดี พระผู้
มีพระภาคเจ้า ประทับนั่ง ณ พุทธอาสน์ที่ปูไว้. ครั้งนั้นแล สัจจกนิคันถ
บุตร ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า, ครั้นเข้าไปถึงแล้วได้บันเทิง,
ปราศรัยแต่ล้วนถ้อยคำที่น่าบันเทิง น่าระลึกกับด้วยพระผู้มีพระภาค
เจ้า นั่ง ณ ที่อันสมควรส่วนข้างหนึ่ง
[406] ครั้นสัจจกนิคันถบุตรนั่ง ณ ที่อันสมควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กล่าวคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า มีอยู่พระโคดมสมณพราหมณ์พวก
หนึ่งประกอบเพียรแต่กายภาวนาอยู่, แต่ไม่ประกอบจิตตภาวนา พระ
โคดม สมณะและพราหมณ์เหล่านั้น ก็ย่อมถูกต้องทุกขเวทนาอันเกิดในสรีระ.