เมนู

อรรถกถาพรหมนิมันตนิกสูตร



พรหมนิมันตนิกสูตร ขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า "ทิฏฐิอันชั่ว" ได้แก่ ความเห็นว่าเที่ยงอัน
ลามก คำว่า "นี้เป็นของเที่ยง" คือพูดว่า ฐานะของพรหมพร้อมกับโอกาสอัน
เป็นของไม่เที่ยงนี้ว่า เที่ยง. คำว่า "แน่นอน" เป็นต้น ก็เป็นคำใช้แทนคำ
ว่า "เที่ยง" นั้นนั่นเอง. ในคำเหล่านั้น คำว่า "แน่นอน" คือมั่นคง. คำ
ว่า "เที่ยงแท้" คือมีอยู่ทุกเมื่อ. คำว่า "ล้วน" คือทั้งหมดไม่มีขาด. คำว่า
"มีความไม่เคลื่อนเป็นธรรมดา" คือมีสภาพไม่เคลื่อนไป. ถึงฐานะในคำเป็นต้น
ว่า "นี้แล ย่อมไม่เกิด" นี้คือพูดหมายเอาว่า ผู้เกิด ผู้แก่ ผู้ตาย ผู้เคลื่อน
ผู้บังเกิดขึ้น ย่อมไม่มี. คำว่า "และก็อื่นจากนี้" คือความเห็นว่าเที่ยงแท้อย่าง
แรง ย่อมเป็นของที่เกิดขึ้นแล้ว แก่เขาอย่างนี้ว่า ชื่อว่าเหตุแห่งการออกไป
อย่างอื่นที่นอกเหนือจากฐานะของพรหม พร้อมทั้งโอกาสนี้ไม่มี. ก็
แหละ ผู้พูดเช่นนี้นั้นย่อมป้องกันทุกอย่างคือ ชั้นของฌานข้างบน 3 มรรค
4 ผล 4 นิพพาน 1. คำว่า "ผู้ไปในความไม่รู้" ความว่า ผู้ไปคือประกอบ
ในความไม่รู้ ชื่อว่าเป็นผู้ไม่รู้คือ เป็นผู้บอด. คำว่า "ก็ชื่อใน...ใด" คือ
ชื่อใด. มารในบททั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย! ครั้งนั้น มารผู้มีบาป ได้เห็น
พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างไร ?
เล่ามาว่า มารนั้นนั่งคำนึงถึงพระศาสดาในบ้านตัวเองตลอดเวลา
ว่า "วันนี้พระโคดมผู้สมณะอยู่ที่ตำบล หรืออำเภออะไร ? และตอนที่กำลัง
คำนึงอยู่นี้ รู้ว่า "กำลังอาศัยเมืองอุกกัฏฐะอยู่ที่ป่าสุภคะ จึงสำรวจดู แล้วจะไป
ไหนอีกหนอ? ก็เห็นว่ากำลังไปพรหมโลก จึงคิดว่า พระโคดมผู้สมณะกำลัง
ไปพรหมโลก เราจะไปทำให้พอใจในธรรมเทศนาอย่างผิดๆ ตลอดเวลาที่

มารกล่าวธรรมกถาในที่นั้นแล้ว ยังไม่ทำให้คณะพรหมก้าวพ้นวิสัยของเรา"
จึงเดินสะกดรอยพระศาสดาแล้วมายืนกำบังตัวในระหว่างหมู่พรหม. แกรู้
ว่า "พวกพรหมถูกพระศาสดารุกราน, จึงได้ยืนทำตัวเป็นผู้ค้ำชูพรหม
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล มารผู้มี
บาป" ดังนี้ คำว่า "เข้าสิงพรหมปาริสัชชะแล้ว" คือ "มารเข้าสู่ร่างของพรหม
ปริสัชชะองค์หนึ่ง ก็ยังไม่สามารถเข้าสอดแทรกมหาพรหม หรือพวกพรหม
ปุโรหิตได้. คำว่า "อย่ารุกรานผู้นี้" คืออย่าได้รุกรานพกพรหมนี้. คำว่า
"ครอบงำ (เป็นผู้ยิ่งใหญ่)" คือเป็นผู้ครอบงำตั้งอยู่ คือเจริญที่สุด (ใหญ่ที่
สุด หัวหน้า). คำว่า "ไม่ถูกครอบงำ" คือพวกอื่นครอบงำไม่ได้. คำว่า
"โดยแท้" เป็นนิบาตลงในคำที่ระบุว่าส่วนเดียว ทรงแสดงว่า ผู้เห็นด้วย
อำนาจการเห็น ย่อมเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง. คำว่า "ผู้หมุนอำนาจ" คือ "ย่อมยังชน
ทั้งหมดให้เป็นไปในอำนาจ. คำว่า "เป็นอิศวร" คือเป็นใหญ่ในโลก. คำ
ว่า ผู้สร้าง ผู้นิรมิต คือเป็นผู้สร้าง และผู้นิรมิตโลกไว้ ท่านแสดงว่าแผ่นดิน
หิมพานต์ เขาสิเนรุ จักรวาล มหาสมุทร พระจันทร์ และพระอาทิตย์
มหาพรหมองค์นี้นิรมิตไว้. คำว่า "ผู้ประเสริฐสุด ผู้จัดแจง" คือ มหา
พรหมองค์นี้ เป็นผู้ประเสริฐสุด และเป็นผู้จัดแจง ท่านแสดงว่า มหาพรหมองค์
นี้ ได้จัดหมู่สัตว์ไว้อย่างนี้ว่า เธอเป็นกษัตริย์ เธอเป็นพราหมณ์ เป็น
แพศย์ เป็นศูทร เป็นชาวบ้าน เป็นนักบวช กระทั่งเป็นอูฐ เป็นโค ท่านกล่าว
ว่า มหาพรหมองค์นี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีอำนาจ เพราะสะสมอำนาจไว้ มหา
พรหมองค์นี้ เป็นพระบิดาของพวกภูต และพวกภัพย์ ด้วยบทว่า เป็นผู้มี
อำนาจ เป็นพระบิดาของพวกภูตและภัพย์
. ในคำว่าพวกภูตและภัพย์นั้น พวก
สัตว์ที่เกิดในไข่และในมดลูก ชื่อว่าภัพย์ ตอนอยู่ภายในกะเปาะไข่ และภาย
ในลำไส้ (มดลูก) ตั้งแต่เวลาที่ออกมาข้างนอกแล้ว ชื่อว่า ภูต พวกที่เกิดตาม
เหงื่อไคล (เช่นในน้ำครำ เป็นต้น) ในขณะจิตแรก เป็นภัพย์ ตั้งแต่ขณะ

จิตที่สองไปเป็นภูต. พวกผู้ผุดเกิด เป็นภัพย์ในอิริยาบถแรก ตั้งแต่อิริยาบถ
ที่สองไป พึงทราบว่า เป็นภูต. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นพระบิดา
ของพวกภูตและภัพย์ ด้วยทรงสำคัญว่า พวกสัตว์แม้ทั้งหมดนั้น เป็นลูก
ของมหาพรหมองค์นี้. ด้วยบทว่า "ผู้ตำหนิแผ่นดินนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสดงว่า พวกเขาได้เป็นผู้ตำหนิแผ่นดินมาแล้ว เหมือนที่เธอกำลังตำหนิ
เกลียดแผ่นดินว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่เป็นตัวตน ในบัดนี้ และไม่ใช่แต่เธอ
เท่า นั้นหรอก. แม้ในคำเป็นต้นว่า ผู้ตำหนิน้ำ ก็ทำนองเดียวกันนี้แหละ.
คำว่า "ตั้งอยู่ในกายอันทราม" ได้แก่เกิด ในอบายทั้งสี่. ด้วยบทว่า "ผู้ชม
แผ่นดิน
" นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าพวกเขาได้เป็นผู้ชมแผ่นดิน คือเป็นผู้
พูดสรรเสริญคุณแผ่นดินมาแล้วอย่างนี้ คือพวกเขาไม่ตำหนิ (แต่ชมว่า)
แผ่นดินเที่ยงแท้ แน่นอน ถาวร ไม่ขาด ไม่สิ้น เหมือนที่เธอกำลังตำหนิ.1
คำว่า "ผู้มีความเพลิดเพลินในแผ่นดิน" ได้แก่ เป็นผู้มีความเพลิดเพลินใน
แผ่นดินด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิ แม้ในบทที่เหลือทั้งหลาย ก็ทำนองเดียว
กันนี้แหละ. คำว่า "ดำรงอยู่ในกายที่ประณีต" ได้แก่ "เกิดในพรหม-
โลก. คำว่า "ฉะนั้น ฉัน...กะเธอ" คือ เพราะเหตุนั้น ฉัน.. กะเธอ คำ
ว่า "เอาเถอะ" เป็นนิบาตลงในอรรถว่าเตือน. คำว่า "เข้าไปเป็นไปล่วง"
คือก้าวล่วง ปาฐะว่า อุปาติวตฺติโต เข้าไปประพฤติล่วง บ้างก็มี. ใจความ
ก็อย่างเดียวกันนี้แหละ คำว่า "ให้โดดหนีไปด้วยกระบอง" คือเอาดุ้นกระ
บองยาวสี่ศอกตีให้หนีไป. คำว่า "ในเหวนรก" คือ ในบึงใหญ่ ลึกร้อยชั่ว
คน. คำว่า "พึงพลาด" ได้แก่ ไม่พึงอาจเพื่อจะทำเป็นที่ยึดที่เหยียบในที่ซึ่งพอ
จะเอามือจับ หรือพอจะวางเท้าได้. ด้วยคำว่า "ภิกษุ เธอเห็นมิใช่หรือ?"
นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอิทธานุภาพของผู้ที่ดำรงอยู่ในโอวาทของ
พรหมว่า "ภิกษุ" เธอก็ย่อมเห็นพรหมปริษัท ที่ประชุมกัน กระจ่างสว่าง

1. กำลังชมกระมัง?

ไสว รุ่งเรือง โชติช่วงนี้ มิใช่หรือ. คำว่า "ภิกษุทั้งหลาย มารผู้มีบาป ได้น้อม
เอาพรหมบริษัทมาสู่เรา อย่างนี้แล
" ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย มารผู้มี
บาป กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า "ภิกษุ เธอก็ย่อมเห็นพรหมบริษัทที่สว่างไสว
ด้วยยศ และด้วยสิริมิใช่หรือ? ถึงเธอก็เถอะ ถ้าไม่ก้าวล่วง คำมหาพรหม
ทำตามที่พรหมกล่าวกับเธอแล้ว เธอเองก็จะต้องรุ่งเรื่องด้วยยศ และสิริ
แบบนี้เหมือนกัน" ก็น้อม คือนำเอาพรหมบริษัทมาสู่เรา. คำว่า "แกอย่าสำคัญ
ไป
" คือมารผู้มีบาป แกอย่าสำคัญไปเลย. คำว่า "แกเป็นมารผู้ลามก"
คือมาร ฉันรู้จักแกว่าแกชื่อว่ามาร เพราะฆ่ามหาชน แกชื่อว่าผู้สกปรก
เพราะกระทำพร้อมด้วยเหล็กอย่างสกปรก คือลามก แก่มหาชน. คำ
"อายุ ทั้งหมด" คือ อายุทั้งสิ้น. คำว่า "เขาเหล่านั้นแลพึงทราบอย่างนี้"
คือพรหมมากล่าวสืบไปว่า พวกเขาถึงพร้อมด้วยการทำตบะใหญ่อย่างนี้
เธอ ก็ยังมีกลิ่นน้ำนมพัดมา (ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม). คำว่า "จะกลืนกิน
แผ่นดิน
" คือจักกลืนกินแผ่นดินจนหมดเกลี้ยงแล้วถือเอาด้วยตัณหา มานะ
และทิฏฐิ. คำว่า "แกจะเป็นผู้ติดสอยห้อยตามฉัน." คือแกจะเป็นผู้ติดฉัน
แจ หมายความว่า เมื่อฉันเดินแกก็เดินตาม ฉันยืนแกก็ยืนข้าง, ฉันนั่ง แกก็นั่ง
ข้าง, ฉันนอนแกก็นอนข้าง. คำว่า "เป็นผู้นอนเฝ้าโยง" คือเป็นผู้นอนใน
เรือนฉัน. คำว่า "เป็นผู้พึงกระทำตามความใคร่ เป็นผู้พึงแบกขน" ความว่า
แกเป็นผู้ต้องทำสิ่งที่ฉันต้องการตามความพอใจของตัวฉันเอง และเมื่อจะ
แบกขนมา แกก็จะเป็นผู้ต้องทำให้ต่ำกว่า เตี้ยกว่า แม้แต่พุ่มผักไห่เสีย
อีก. พรหมย่อมพูดรวน ย่อมระราน พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ ด้วยคำนี้
ชื่อว่า ย่อมพูดรวน คือพรหมชื่อว่าย่อมพูดรวนก่อนอย่างนี้ว่า "ภิกษุ
ถ้าเธอจะกลืนกินแผ่นดินนั้นด้วยตัณหา เป็นต้น เธอก็จะเป็นผู้นอนใกล้
ฉัน เมื่อฉันเดิน เธอก็จะเดิน ฉันยืน เธอก็จะยืนฉันนั่ง เธอก็จะนั่ง ฉันนอนเธอ

ก็จะนอน ฉันจะปกป้องเธอ แล้วทำเธอให้เป็นคนสนิท เป็นคนภายใน. ส่วน
ด้วยบทที่เหลือ ชื่อว่าย่อมระราน. ในบทเหล่านี้แล มีอธิบายดังต่อไปนี้
พรหมชื่อว่ายอมระรานอย่างนี้ว่า "ถ้าเธอจะกลืนกินแผ่นดิน เธอก็จะกลาย
เป็นผู้นอนในเรือนฉัน คอยฉันเดินเป็นต้นแล้ว จึงจะเดิน จะยืน จะนั่ง หรือจะ
นอน จะถืออารักขาฉันในเรือนฉัน ฉันจะทำเธอตามความใคร่ และจะทำเธอ
ให้แบกขนอะไรไปต่ำเสียยิ่งกว่ากอผักไห่". แต่พรหมนี้อาศัยความถือ
ตัว ฉะนั้นในที่นี้จึงหมายเอาเพียงการระรานเท่านั้น ในเรื่องน้ำเป็นต้น
ก็ทำนองนี้เหมือนกัน.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสคำเป็นต้นว่า อีกอย่างหนึ่ง ของ
เธอ ฉัน พรหม แล้วมาทรงคิดว่า พรหมนี้อาศัยความถือตัว จึงสำคัญ
ว่า "ข้า ย่อมรู้" เป็นผู้ถูกสมมติโดยยศของตัวเอง จึงไม่เห็นอะไรสักนิด
ที่สามารถจะถูกต้องร่างกายได้ ควรข่มอีกหน่อย แล้วจึงทรงเริ่มเทศนานี้.
ในคำเหล่านั้น คำว่า "ย่อมรู้ชัดคติด้วย" ความว่า ฉัน ย่อมรู้ชัดซึ่ง
ความสำเร็จด้วย. คำว่า "และความรุ่งเรือง" คือฉันย่อมรู้ชัดซึ่งอานุ-
ภาพด้วย. คำว่า เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ขนาดนี้ "คือเป็นผู้มียศใหญ่ มีบริวารมาก."
คำว่า "พระจันทร์และพระอาทิตย์ ย่อมบริหาร มีประมาณเพียงไร"
คือ พระจันทร์และพระอาทิตย์ ย่อมท่องเที่ยวไปในที่มีประมาณเพียง
ใด. คำว่า "ทิศทั้งหลาย สว่างรุ่งเรือง" คือ ส่องแสงสว่างรุ่งเรืองในทิศทั้ง
หลาย หรือว่า ทิศทั้งหลาย ย่อมส่องแสงสว่างรุ่งเรือง เพราะพระจันทร์และ
พระอาทิตย์เหล่านั้น. คำว่า "เพียงนั้น พันโลก" คือโลก (ธาตุ) หนึ่งพันโดย
ประมาณเพียงนั้น อธิบายว่า พันจักรวาล รวมทั้งจักรวาลนี้ด้วย. คำว่า
"อำนาจของเธอย่อมเป็นไปในพันจักรวาล" คืออำนาจของเธอย่อมเป็นไปใน
พันจักรวาลนี้. คำว่า "เธอย่อมรู้ ซึ่งสัตว์อื่นที่ยิ่งกว่าสัตว์อื่น" (คือต่างชั้น

กับ, แตกต่างกัน) คือ เธอย่อมรู้จักสัตว์ที่มีระดับต่างกันคือ สูง ต่ำ เลว
ประณีต ในพันจักรวาลนี้. คำว่า "และผู้มีราคะและผู้ไม่มีราคะ" คือไม่ใช่แต่
รู้จักสัตว์ที่มีระดับแตกต่างกันว่า คนนี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ คนนี้เป็นคนปกติ (คน
ธรรมดาสามัญ) ดังนี้เท่านั้น หากแต่ยังรู้จักคนที่ยังมีราคะ และปราศจากราคะ
อย่างนี้ว่า "คนนี้ยังมีราคะ คนนี้ปราศจากราคะแล้ว". คำว่า "ความเป็น
อย่างนี้ และความเป็นอย่างอื่น
" คือ จักรวาลนี้เรียกว่า ความเป็นอย่าง
นี้ จักรวาล 999 ที่เหลือจากนี้เรียก ความเป็นอย่างอื่น. คำว่า "การมา
การไป ของเหล่าสัตว์นี้
" คือเธอยังรู้ชัดการมาของพวกสัตว์ด้วยอำนาจ
ปฏิสนธิ และคติ ด้วยอำนาจจุติ ในพันจักรวาลนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงข่ม
ว่า "ความสำคัญ ก็แลฉันย่อมเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าเธอ เธอแต่เป็นพรหมในพัน
จักรวาล ส่วนพรหมเหล่าอื่นจะหาขนาดที่เกินเธอ 2000,3000,4000,
5000,10,000 และ 100,000 ก็ไม่มี, ยังมาทำความสำคัญว่า ข้าใหญ่
เหมือนพยายามเอาผ้าขี้ริ้ว 4 ศอกมาทำเป็นขนาดผ้า. คำว่า "เข้าถึงใน
ที่นี้
" คือ เข้าถึงชั้นของฌานที่หนึ่งนี้. คำว่า "เพราะเหตุนั้นเธอจึงไม่รู้จักอัน
นั้น
" คือ เพราะเหตุนั้น เธอจึงไม่รู้จักกายนั้น. คำว่า "ผู้ที่พอๆ กับเธอก็ไม่
เลย
." คือผู้ที่แม้ถึงฐานะที่พึงรู้เท่ากับเธอ ก็ไม่ใช่เป็นฉัน. คำว่า "รู้ยิ่ง"
คือรู้อย่างทั่วถึง. คำว่า "พึงต่ำ แต่ที่ไหน" คือ ก็แหละความเป็นผู้ต่ำ
กว่า เธอจะมีแก่ฉัน แต่ที่ไหน? ได้ยินว่า พรหมองค์นี้ เป็นผู้เกิดในหน
หลัง เมื่อยังไม่เกิดการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าได้บวชเป็นฤาษี ทำการ
บริกรรมกสิณ ทำให้เกิดสมาบัติ ไม่เสื่อมจากฌาน ตายแล้วก็เกิดถือเอา
อายุ 500 กัปในพรหมโลกชั้นเวหัปผลา ในชั้นฌานที่สี่ ครั้นดำรงอยู่ในที่
นั้น จนตลอดอายุแล้ว ก็ทำในกำเนิดหนหลัง อบรมฌานที่สามอย่างประณีต
แล้ว จึงเกิดถือเอาอายุ 64 กัป ในพรหมโลก ชั้นสุภกิณหา. อบรมฌาน
ที่สองในชั้นนั้น เกิดถือเอาอายุ 8 กัปในชั้นอาภัสสร. ในชั้นนั้น ได้อบรม

ฌานที่หนึ่งแล้วก็เกิดเป็นผู้มีอายุกัปหนึ่งในชั้นฌานที่หนึ่ง. ในตอน
แรกๆ เขารู้ได้อย่างทั่วถึงทั้งกรรมที่ได้สร้าง ทั้งสถานที่เกิด. แต่เมื่อเวลาล่วง
ไป เขาลืมหมดทั้งสองอย่าง จึงบังเกิดความเห็นว่าเที่ยงขึ้นมา. เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสกะเขาว่า "เพราะเหตุนั้น เธอจึงไม่รู้ถึงอัน
นั้น ฯลฯ ฉันพึงต่ำแต่ไหน ?.
ทีนั้น พรหมคิดว่า "พระโคดม ผู้สมณะ มารู้ทั้งอายุ ที่เกิดและกรรม
ที่สร้างไว้เมื่อก่อนของฉัน, เอาละ ฉันจะถามถึงกรรมที่สร้างไว้เมื่อก่อนกะ
แก" ดังนี้แล้ว จึงทูลถามบุพกรรมของตนกะพระศาสดา. พระศาสดาจึง
ตรัสว่า :-
ได้ยินว่า เมื่อก่อน พรหมนี้ได้เกิดในเรือนแห่งตระกูล เห็นโทษใน
กามทั้งหลายแล้ว จึงคิดว่า "ฉันจะทำที่สุดของความเกิด ความแก่ และความ
ตาย" แล้วออกไปบวชเป็นฤาษี ยังสมาบัติให้เกิดขึ้นแล้ว เป็นผู้ได้ฌาน
ที่มีอภิญญารองรับ ให้สร้างโรงมุงใบไม้ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ฆ่าเวลาด้วยความ
ยินดีในฌาน.
ก็แล ในครั้งนั้น บางครั้งบางคราว ก็มีพวกพ่อค้า ขับเกวียน 500
เล่มผ่านทะเลทรายมา. ก็แหละในทะเลทราย (นั้น) กลางวันจะไปไม่ได้
ไปได้แต่กลางคืน. ครั้งนั้น โคที่เทียมคู่แอกของเกวียนเล่มแรกเดินไปแล้ว
ก็กลับหันหน้ามาตามทางที่มาอีก เกวียนเล่มถัด ๆ มา ก็กลับไปตามๆ กันต่อ
เมื่อสว่างจึงได้รู้ว่ากลับ. และครั้งนั้น เป็นวันข้ามพ้นทะเลทรายของพวกเขา
เสียด้วย จึงคิดกั้นว่า "ฟืน และน้ำหมดเกลี้ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้น คราวนี้พวก
เราตายแน่" แล้วก็เอาโคผูกไว้ที่ล้อ พวกคนต่างก็เข้าไปนอนที่ร่มเกวียน.
ฝ่ายดาบส เช้าขึ้นมาก็ออกจากบรรณศาลา นั่งมองดูแม่น้ำคงคา
ที่ประตูบรรณศาลานั่นเอง ได้เห็น (พวกพ่อค้า) แล้ว ครั้นได้เห็นแม่น้ำคงคา

มีห้วงน้ำใหญ่เต็มไหลมาเหมือนลำแก้วมณี จึงคิดว่า "ในโลกนี้ มีบ้างไหม
หนอ พวกสัตว์ที่กำลังลำบาก เพราะไม่ได้น้ำอร่อยเห็นปานนี้.? เมื่อท่าน
พิจารณาอยู่อย่างนี้ ก็ได้เห็นกองเกวียนนั้นในทะเลทราย จึงคิดว่า "ขอสัตว์
เหล่านี้จงอย่าฉิบหาย" แล้วก็อธิษฐานด้วยอภิญญาจิตว่า ขอให้ลำน้ำใหญ่จง
ตัดขาดจากนี้หันหน้าไปหากองเกวียนในทะเลทรายเถิด. พร้อมกับเกิดความ
คิดขึ้น น้ำก็ไหลไปทะเลทรายนั้น ราวกะว่าขึ้นมาตามคลอง. พวกคนต่างลุก
ขึ้นเพราะเสียงน้ำได้พบน้ำต่างร่าเริงยินดี ได้อาบดื่มกันแล้วให้พวกโค
ดื่มน้ำ เสร็จแล้วก็พากันไปสู่ที่ซึ่งตนต้องการ โดยความปลอดภัย.
เมื่อพระศาสดาจะทรงแสดงบุพกรรมนั้น ของพรหมจึงตรัสคาถานี้
ว่า :-
"เธอได้ให้พวกคนที่กระหาย ไปเผชิญหน้าเอา
ในทะเลทรายร้อนจำนวนมากดื่มน้ำได้
นั่นเป็นพรตและศีลวัตรเก่าของเธอ.
ฉันตามระลึกได้ คล้ายกะคนหลับแล้วตื่น."


ในสมัยอื่นอีก ดาบสให้สร้างโรงมุงใบไม้ อยู่อาศัยหมู่บ้านชาว
ป่า. ก็แหละสมัยนั้นพวกโจรโจมตีหมู่บ้านนั้น ถือเอาของมีค่าติดมือ (ต้อน
ช้างสาร ) แล้วต้อนวัวและเชลยไปทั้งวัวทั้งหมา ทั้งคนก็ร้องดังลั่น. ดาบสได้
ยินเสียงนั้น ก็ใคร่ครวญว่า มันอะไรกันหนอ ก็รู้ว่า "ภัยเกิดขึ้นแก่พวก
คน" จึงคิดว่า "เมื่อเราเห็นอยู่ ขอสัตว์เหล่านี้ จงอย่าฉิบหาย" แล้วก็เข้าฌาน
ซึ่งมีอภิญญารองรับ ออกแล้วก็นิรมิตกองทัพสี่เหล่าที่เตรียมพร้อมกำลังเดิน
มาสวนทางมากับพวกโจรด้วยอภิญญาจิต. พวกโจรได้เห็นก็พากันเข้าใจ
ว่า "พระราชา" จึงทิ้งการปล้นหลีกไป ดาบสอธิษฐานว่า "อันใดเป็นของ

ผู้ใด อันนั้น ก็จงเป็นของของผู้นั้นนั่นแล. ของนั้นก็ได้เป็นอย่างนั้นนั่นแล.
มหาชนก็ถึงความปลอดภัย. พระศาสดาเมื่อจะทรงชี้บุพกรรมแม้นี้ของ
พรหมนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
"เธอได้ปล่อย1คนที่ถูกต้อน ของที่พึงเอา
ซึ่งกำลังถูกนำไปที่ตระกูลเนื้อทรายใด,
นั้นเป็นพรต และศีลวัตรเก่าของเธอ,
ฉันตามระลึกได้คล้ายกะคนหลับแล้วตื่น".


คำที่ว่าตระกูลเนื้อทรายในที่นี้ หมายถึงที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา.
สมัยอื่นอีก ตระกูลที่อยู่ตามแม่น้ำคงคาตอนบน การทำสันถวไมตรี
กับตระกูลที่อยู่ทางแม่น้ำคงคาตอนล่าง พากันผูกแพ เรือ ให้ติดกัน แล้วช่วย
กันขนเอาของเคี้ยวของกิน และระเบียบของหอมเป็นอันมากมาใส่ แล้วก็มา
ตามกระแสแม่คงคา. พวกคนก็พากันเคี้ยวกิน ฟ้อนรำ ทำเพลง สนุกสนาน
กันเต็มที่ เหมือนกะขี่เทพวิมานไป. นาคที่เกิดในแม่น้ำคงคาเห็นเข้าก็เดือด
ดาลว่า "คนเหล่านี้ ไม่ทำแม้แต่สัญญาในเรา คราวนี้ เราจะให้พวกมันถึง
ทะเลให้ได้." แล้วก็นิรมิตร่างกายใหญ่โต แยกน้ำออกเป็นสองส่วน โผล่มาแผ่
พังพาน พ่นเสียงฟู่ ๆ อยู่. มหาชนได้เห็นก็กลัว ส่งเสียงหลง. ดาบสนั่งที่
บรรณศาลาได้ยินเข้า ใคร่ครวญว่า "คนพวกนี้ร้องเพลง ฟ้อนรำ เกิดความ
สนุกสนานมา แต่บัดนี้ ร้อง ชนิดเสียงร้องกลัวตาย, อะไรกันหนอ? ได้เห็น
พญานาคจึงคิดว่า "เมื่อเราเห็นอยู่ ขอสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าฉิบหาย" แล้วก็
เข้าฌานที่มีอภิญญารองรับ ละร่างแล้วแปลงเป็นเพศครุฑ แล้วแสดงต่อพญา
นาค, พญานาคกลัวหุบพังพานดำนั้นไป (เข้าสู่น้ำ). มหาชนก็ถึงความ

1. บาลี อโมจยึ เข้าใจเป็น อโมจยิ จึงแปลตามนี้

สวัสดี. เมื่อพระศาสดาจะทรงชี้บุพกรรมนี้ของพรหมนั้น จึงตรัสคาถานี้ว่า :-
"เธอได้ใช้กำลังครอบงำเข้าแก้เรือนที่ถูกนาคโหดร้าย
ยึดไว้ในกระแสคงคา เพราะงานของคน
นั้นเป็นพรต และศีลวัตรเก่าของเธอ.
ฉันตามระลึกได้คล้ายกะคนที่หลับแล้วตื่น."


ในสมัยอื่นอีก พรหมองค์นี้ บวชเป็นฤาษี เป็นดาบสชื่อ เกสวะ. โดย
สมัยนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นมาณพ ชื่อ กัปป์ เป็นลูกศิษย์ติดสอยห้อย
ตามท่านเกสวะ รับสนองกิจการงาน ประพฤติถูกอกถูกใจ ถึงพร้อมด้วย
ความรอบรู้ เป็นผู้ประพฤติประโยชน์. เว้นนายกัปป์แล้วเกสวะ ก็ไม่
สามารถจะเป็นไปได้. เพราะได้อาศัยนายกัปป์นั้นแหละ เกสวะจึงเลี้ยงชีพ
ได้. พระศาสดาเมื่อจะทรงแสดงบุพกรรมแม้นี้ ของพรหมนั้น จึงตรัสพระ
คาถานี้ว่า:-
"ก็ฉันเป็นนายกัปป์ ติดสอยห้อยตามเธอ,
เธอก็ได้เข้าใจว่าฉันมีความรอบรู้ มีพรต,
นั้นเป็นพรต เป็นศีลวัตรเก่าของเธอ,
ฉันตามระลึกได้ คล้ายกะหลับแล้วตื่น"


พระศาสดาได้ทรงประกาศกรรมที่ทำแล้วในอัตภาพต่างๆ ของ
พรหมดังที่ว่ามานี้. ขณะที่พระศาสดากำลังตรัสอยู่นั่นเอง พรหมก็กำหนด
แล้ว. กรรมทุกอย่างของพรหมนั้น ปรากฏเหมือนรูปที่ปรากฏเมื่อประทีป
พันดวงลุกโพลงขึ้นฉะนั้น. พรหมนั้น มีจิตเลื่อมใสกล่าวคาถานี้ว่า :-

"เธอรู้ชัดอายุของฉันนี้แน่นอนเธอรู้แม้สิ่งอื่น ๆ
เหมือนอย่างพระพุทธเจ้า
อานุภาพอันเธอให้ลุกโพลงแล้วนี้
ก็อย่างนั้นแล ย่อมยังพรหมโลกให้สว่าง ตั้งอยู่."


ที่นั้น เมื่อจะทรงประกาศความเป็นผู้เท่าเทียมกับผู้หาใครเท่าเทียมไม่
ได้ แม้ยิ่งขึ้นไปแก่พรหมองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสคำเป็นต้น
ว่า ซึ่งแผ่นดินแล ฉัน พรหม. ในคำเหล่านั้น คำว่า "ไม่เป็นไปตาม เพราะอรรถ
ว่าเป็นแผ่นดินแห่งแผ่นดิน
" ความว่า ไม่เป็นไปตามได้แก่ ไม่ถึงเพราะ
ความเป็นแผ่นดินแห่งแผ่นดิน. ถามว่า นั้น ได้แก่อะไรเล่า? ตอบว่า ได้
แก่พระนิพพาน. ก็แลพระนิพพานนั้น ชื่อว่าไม่ถึงโดยความเป็นแผ่นดิน
เพราะความที่พระนิพพานนั้น พ้นจากสภาวะที่ถูกปัจจัยทุกอย่างปรุง
แต่ง. คำว่า "รู้ยิ่งซึ่งพระนิพพานนั้น" ความว่า "รู้คือทำพระนิพพานนั้นให้
แจ่มแจ้งแล้ว. คำว่า "ไม่เพียงพอกะแผ่นดิน" ความว่า "เราไม่ถือเอาแผ่นดิน
ด้วยการถือเอาด้วยอำนาจตัณหา ทิฏฐิ และมานะ. แม้ในน้ำเป็นต้น ก็ทำนอง
เดียวกันนี้แหละ. ส่วนความพิสดารพึงทราบตามแบบที่กล่าวแล้วในมูล
ปริยายสูตรนั่นแล. พรหมนี้ แสดงอักขระว่า "ทั้งหมด เพราะความที่ตนเป็น
ผู้กล่าวคำนี้ว่า "ถ้า แล ของเธอ ผู้นิรทุกข์ แห่งทั้งหมด" เพราะอรรถว่าทั้ง
หมด แล้วเอาความผิดในอักขระมากล่าว. แต่พระศาสดาทรงเป็นผู้
สามารถจึงทรงหมายเอาสิ่งใดมาตรัสว่า "ทั้งหมด. พรหมจึงกล่าวว่า เธอหมาย
เอาหมดทั้งหมดมากล่าวว่า ทั้งหมด เธอพูดว่า ไม่เป็นไปตาม เพราะอรรถ
ว่า ทั้งหมด ถ้าสิ่งที่ไม่เป็นไปตามทั้งหมดไม่มี สิ่งที่ไม่เป็นไปตามของสิ่ง
นั้นก็มี ขอให้คำของเธอจงอย่าเป็นคำที่เปล่าๆ เท่านั้นเลย อย่าเป็นคำที่

ว่างๆ เท่านั้นเลย แล้วก็ข่มพระศาสดาด้วยมุสาวาท (คือหาว่าทรงพูด
เท็จ) ว่า ขอให้คำของท่านจงอย่าเป็นคำที่เปล่าๆ จงอย่าเป็นคำที่ว่างๆ
ดังนี้
ส่วนพระศาสดาทรงเป็นนักพูดเสียยิ่งกว่าพรหมนี้ ตั้งร้อยเท่าพัน
เท่า ฉะนั้น เมื่อจะทรงนำเอาเหตุมาเพื่อย่ำยีคำพูดของพรหมนั้นว่า ฉันจะ
กล่าวถึงสภาวะทั้งหมดฉันจะกล่าวสภาวะที่ไม่มีอะไรเป็นไปตาม จงฟัง
ฉัน จึงตรัสคำเป็นต้นว่า วิญญาณ ในคำเหล่านั้น คำว่า "วิญญาณ" ความ
ว่า พึงเข้าใจแจ่มแจ้ง. คำว่า "เห็นไม่ได้" ความว่า ชื่อว่าเห็นไม่ได้ เพราะไม่
เข้าสู่คลองแห่งจักขุวิญญาณ. แม้ด้วยบททั้งสอง (นี้) พระผู้มีพระภาค
เจ้าตรัสถึงพระนิพพานนั่นเอง. คำว่า "ไม่มีที่สุด" ความว่า "ชื่อว่าหาที่สุด
ไม่ได้ เพราะพระนิพพานนี้นั้น เว้นจากระหว่างแห่งการเกิดและการ
เสื่อม. สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ตรัสไว้แล้วว่า

"สัตว์ทั้งหลายมีที่สุด พระนิพพานที่ไม่เกิด ไม่มีที่สุด
สัตว์ทั้งหลาย ไม่ปรากฏในที่สุด
เราได้ประกาศที่สุดในสัตว์แล้ว."


คำว่า "เข้าถึงแสงทั้งหมด" ได้แก่สมบูรณ์ด้วยแสงโดยประการทั้ง
ปวง. จริงอยู่ นอกจากพระนิพพานแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นที่มีแสงกว่า มีความโชติ
ช่วงกว่า มีที่สุดที่หมดจดกว่า หรือขาวกว่า อีกอย่างหนึ่ง พระนิพพาน เป็น
แดนเกิดจากที่ทั้งปวงทีเดียว ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ไม่ใช่ไม่มี เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นแดนเกิดโดยประการทั้งปวง จริงอยู่ ในทิศตะวันออกเป็น
ต้น ชื่อว่าในทิศโน้น ไม่พึงกล่าวว่า ไม่มีพระนิพพาน. อีกอย่างหนึ่ง

คำว่า "แสง" เป็นชื่อของท่า. ชื่อว่ามีท่าทุกแห่ง เพราะทุกแห่งมีท่า. เขาเล่า
เกี่ยวกับพระนิพพานว่า ผู้อยากจะข้ามมหาสมุทรโดยที่ใดๆ ที่นั้นๆ แล้ว
ย่อมเป็นท่า, ชื่อว่าที่ที่ไม่ใช่ท่า ย่อมไม่มี ฉันใด ในกัมมัฏฐาน 38 อย่าง
ผู้ประสงค์จะข้ามไปพระนิพพานด้วยหัวข้อสำคัญใดๆ หัวข้อนั้นๆ แล ย่อม
เป็นท่า, ไม่มีกัมมัฏฐานที่ชื่อว่าไม่เป็นท่าของพระนิพพาน ฉันนั้นเหมือน
กัน, เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "เป็นท่าทุกแห่ง". คำ
ว่า "นั้นแห่งแผ่นดิน เพราะอรรถว่าแผ่นดิน" ความว่า "พระนิพพาน
นั้น เป็นสภาพที่ไม่เป็นไปตามแผ่นดิน เพราะอรรถว่าแผ่นดิน และไม่เป็น
ไปตามน้ำเป็นต้น อื่นจากแผ่นดินนั้น เพราะสภาพแห่งน้ำเป็นต้น. พระผู้
มีพระภาคเจ้าทรงตั้งพระดำรัสว่า ธรรมชาติที่เป็นไปในภูมิ 3 ทั้งหมดอัน
เป็นวิสัยของบุคคลแบบเธอ อันใด ธรรมชาตินั้น เป็นธรรมชาติที่พึงรู้
แจ้ง เห็นไม่ได้ไม่มีที่สุด ท่าทุกแห่งเป็นธรรมชาติที่ไม่เป็นไปตาม
(อะไร ๆ) เพราะอรรถว่าทั้งหมดของธรรมชาติ ทั้งหมดนั้น ดังนี้.
ลำดับนั้น พรหมถูกพระศาสดาบังคับให้สละสิ่งที่ถือไว้แล้วๆ เมื่อมอง
ไม่เห็นอะไรที่พึงถือเอาก็ใคร่จะทำลัทธิไว้ จึงพูดว่า "เอาเถิดถ้าอย่าง
นั้น ฉันจะหายตัวแก่แก นะผู้นิรทุกข์!" ในคำเหล่านั้น คำว่า "ฉันจะหาย
ตัว
" ความว่า พรหมกล่าวว่า ฉันจะกระทำปาฏิหาริย์ไม่ให้ใครเห็นตัว.
คำว่า "ถ้าเธอสามารถ" ความว่า ถ้าเธอสามารถ ก็จงทำปาฏิหาริย์ที่หายตัว
ได้จริงๆ เพื่อความหายตัวแก่ฉันซิ. คำว่า "เธอไม่สามารถจะหายตัวแก่ฉัน
หรอก
" ความว่า เธอจะไม่สามารถเพื่อจะหายตัวแก่ฉันได้หรอก. ถาม
ว่า ก็แล พรหมนี้ เป็นผู้ใคร่จะทำอะไร? ตอบว่า เป็นผู้ใคร่เพื่อจะไปสู่ปฏิสนธิ
ดังเดิม. จริงอยู่ อัตภาพที่ได้จากปฏิสนธิดั้งเดิมของพวกพรหมเป็นสิ่ง
ละเอียดเป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นไม่ได้ ย่อมดำรงอยู่ด้วยกายที่ถูกสร้างอย่างยิ่ง (อภิสัง
ขาร) นั่นเอง. พระศาสดาไม่ได้ประทานเพื่อไปสู่ปฏิสนธิดั้งเดิมแก่พรหม

นั้น. หรือเมื่อไม่ไปสู่ปฏิสนธิดั้งเดิม พรหมพึงทำตัวให้หายไปแล้วเป็นผู้ที่ไม่มี
ใครมองเห็นด้วยความมืดใด. พระศาสดาก็ทรงบรรเทาความมืดนั้นเสีย
แล้ว เพราะฉะนั้นพรหมจึงไม่สามารถจะหายตัวได้. เมื่อเขาไม่สามารถ
แอบซ่อนในวิมาน จึงแอบซ่อนที่ไม้กัลปพฤกษ์ นั่งกระหย่งอยู่. พวกพรหมก็
ทำการเยาะเย้ยว่า พกพรหมนี้แล แอบซ่อนในวิมาน แอบซ่อนที่ไม้
กัลปพฤกษ์ นั่งกระหย่งอยู่. พรหม ท่านชื่อว่า ย่อมก่อให้เกิดสัญญาว่า "ข้าจะ
หายตัว" เขาถูกพวกพรหมเยาะเย้ยเอา ก็แสนจะอับอายขายหน้า.
คำว่า เมื่อพรหมพูดอย่างนั้น "ฉัน ภิกษุทั้งหลาย" ความว่า ภิกษุทั้ง
หลาย เมื่อพรหมนั้นกล่าวอย่างนั้นว่า "เอาละ ถ้าอย่างนั้น แก่เธอ ผู้นิรทุกข์
ฉันจะหายตัว ฉันมองเห็นว่าพรหมนั้นไม่สามารถจะหายตัวได้ จึงได้กล่าวคำ
นี้. คำว่า "ฉันได้กล่าวคาถานี้" ความว่า ถามว่า ทำไมพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงได้ตรัสพระคาถา? ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคิดว่า พวกพรหมจง
อย่ามีโอกาสพูดอย่างนี้ว่า "ใครจะสามารถทราบได้อย่างไรว่า ในที่นี้
มีพระโคดมผู้เป็นสมณะ หรือไม่มี จึงได้ตรัสพระคาถาแล้วเสด็จหายพระองค์
ไป.
ในคำเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า "ฉันได้มองเห็นภัยในภพนั่น
แล
" ความว่า ฉันได้มองเห็นภัยในภพโดยแท้. บาทพระคาถาว่า "ภพและผู้
แสวงหาวิภพ
" ความว่า เห็นภพของสัตว์แม้ทั้งสามอย่างมีกามภพเป็นต้น
นี้ เห็นผู้แสวงหาวิภพ คือแสวงหาอยู่ ได้แก่ เสาะหาอยู่ ซึ่งวิภพ และเห็น
(ภัย) ในภพนั่นแลเนืองๆ.คำว่า "ไม่พร่ำหาภพ" ความว่า ไม่บ่นพร่ำ คือไม่
แสวงหาภพไร ๆ ด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิ บาทคาถาว่า "และไม่ยึดมั่น
ความเพลิดเพลิน
" ความว่า ไม่เข้าถึง คือไม่ได้ถือเอาตัณหาในภพ. พระ
ศาสดา เมื่อทรงประกาศความจริงสี่ประการ ทรงแสดงพระธรรมด้วยประ
การฉะนี้.

เมื่อทรงเทศน์จบ พรหมประมาณหมื่นองค์ ยังวิปัสสนาให้ถือเอาครรภ์
(ตั้งท้องแล้วก็คลอดเหมือนข้าวกล้าตั้งท้องแล้วก็ออกรวง) ตามแนวแห่งเทศนา
แล้วก็ดื่มน้ำอมฤตคือมรรคผล.
คำว่า "เป็นผู้เกิดจิตเป็นอัศจรรย์พิลึก พิลั่นแล้ว" ความว่า เป็นผู้เกิด
อัศจรรย์ เกิดความหลากใจ และเกิดความยินดีแล้ว. บาทพระคาถาว่า "ทรง
ถอนภพพร้อมทั้งรากเหง้าได้แล้ว
" ความว่า ทรงถอน คือทรงรื้อ ได้
แก่ทรงกระชากภพพร้อมทั้งรากเหง้า ของเทวดาและมนุษย์เป็นอัน
มาก แม้เหล่าอื่น ด้วยเทศนานั้นๆ ของพระองค์ควงไม้โพธิ์.
ก็แลในสมัยนั้น มารผู้มีบาป เป็นผู้อันความโกรธครอบงำแล้ว คิด
ว่า "เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่นั่นแหละ พรหมประมาณหมื่นองค์ เป็นไปล่วงอำนาจ
เราไปได้ เพราะพระโคดมผู้สมณะแสดงธรรม จึงเข้าสิงในร่างของพรหม-
ปาริสัชชะองค์ใดองค์หนึ่ง เพราะความเป็นผู้ถูกความโกรธครอบงำแล้ว
เพื่อทรงแสดงมารนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า "ครั้งนั้นแล" ภิกษุทั้งหลาย, ดังนี้.
บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า "หากแกตามตรัสรู้อย่างนี้" ความว่า หากแกมา
ตามตรัสรู้ความจริงสี่อย่างด้วยตนอย่างนี้. คำว่า "อย่าน้อมหมู่สาวกเข้า
ไป
" ความว่า อย่าน้อมเอาธรรมนั้นเข้าไปในสาวกที่เป็นคฤหัสถ์ หรือสาวกที่
เป็นบรรพชิต. คำว่า "ตั้งอยู่ในกายทราม" ความว่า ดำรงอยู่ในอบาย
ทั้ง 4. คำว่า "ตั้งอยู่ในกายประณีต" ความว่า ดำรงอยู่ในพรหมโลก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนี้หมายเอาพวกใคร? ตรัสหมายเอาพวกดาบส
และปริพพาชกที่เป็นนักบวชในลัทธิภายนอก. ความจริงมีอยู่ว่า เมื่อยังไม่
เกิดยุคแห่งการเกิดพระพุทธเจ้า พวกกุลบุตรบวชเป็นดาบส ไม่เลือก
อะไรๆ ของใครๆ เที่ยวเร่ร่อนไปคนเดียว บังเกิดสมาบัติ แล้วก็เข้าถึงพรหม
โลก. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาพวกเหล่านั้น บาทคาถาว่า ผู้นิรทุกข์ !

แกไม่ได้เอ่ยถึงกุศลเลย ความว่า ผู้นิรทุกข์ แกไม่ได้เอ่ยถึงกุศล ไม่สั่ง
สอน ไม่กล่าวธรรมกถา แก่คนเหล่าอื่น ข้อนั้นเป็นการดีกว่า. คำว่า "จงอย่า
สั่งสอนผู้อื่น ความว่า แกอย่าเที่ยวแสวงหามนุษยโลก เป็นเวลา
เทวโลก เป็นเวลา พรหมโลกเป็นเวลา นาคโลกเป็นเวลา จงนั่งฆ่าเวลาด้วยความ
สุขในฌานในมรรค และในผลในที่เดียว. คำว่า "เพราะความเป็นผู้ไม่พูดพร่ำ"
ความว่า เพราะความเป็นผู้ไม่คุยโว. คำว่า "และเพราะความเป็นการเชื้อเชิญ
ของพรหม
" ความว่า และเพราะคำเชื้อเชิญของพกพรหม ด้วยตำแหน่งแห่ง
พรหม ผู้มีโอกาสพร้อมโดยนัยเป็นต้นว่า "ผู้นิรทุกข์ นี้แล เป็นของ
เที่ยง. คำว่า "ตสฺมา" แปลว่า เพราะเหตุนั้น. คำว่า "พรหมนิมันตนิก"
นั่นแล เป็นชื่อ เป็นคำสำหรับนับ เป็นคำที่รู้พร้อมกัน เป็นคำแต่งตั้ง เกิด
แล้ว แต่คำร้อยแก้วนี้. คำที่เหลือในที่ทั้งปวงตื้นแล้วทั้งนั้น ดังนี้แล.

จบอรรถกถาพรหมนิมันตนิกสูตรที่ 9

10. มารตัชชนียสูตร



[557 ] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ มิคทายวัน ในเภสกลาวัน
เขตเมืองสุงสุมารคีระ ในภัคคชนบท.

ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจงกรมอบยู่ในที่แจ้ง ถูกมารผู้ลามก
เข้าไปในท้องในไส้ ได้มีความดำริว่า "ท้องเราเป็นดั่งว่ามีก้อนหินหนักๆ
และเป็นเช่นกะทออันเต็มด้วยถั่วหมัก เพราะเหตุอะไรหนอ. จึงลงจากจงกรม
แล้วเข้าไปสู่วิหาร นั่งอยู่บนอาสนะที่ปูไว้. ครั้นนั่งแล้ว ได้ใส่ใจถึงมารที่
ลามกด้วยอุบายอันแยบคายเฉพาะตน.

[558] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารผู้ลามก เข้าไปในท้อง
ในไส้แล้ว ครั้นแล้วจึงเรียกว่า "มารผู้ลามก ท่านจงออกมา ท่านจงออก
มา ท่านอย่างเบียดเบียน พระตถาคตเจ้าและสาวกของพระตถาคต เจ้า
เลย การเบียดเบียนนั้นอย่าได้มีเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์แก่ท่าน
ตลอดกาลนาน"

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปมีความดำริว่า "สมณะนี้ไม่รู้และไม่เห็นเรา
จึงกล่าวว่า "มารผู้ลามก ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่านอย่าเบียดเบียน
พระตถาคตเจ้าและสาวกของพระตถาคตเจ้าเลย การเบียดเบียนนั้น อย่าได้มี
เพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน" ดังนี้ แล้วจึงดำริ
ว่า "แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่พึงรู้จักเราได้เร็วไว ก็สมณะที่เป็นสาวก
ไฉนจักรู้จักเรา.