เมนู

7. วีมังสกสูตร



เรื่องสอบสวนพระธรรม



[535] ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกะใกล้กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า "ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้. ภิกษุเหล่านั้นรับสนองพระ
ดำรัสพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า "พระพุทธเจ้าข้า"

[536] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำอย่างนี้ว่า "ภิกษุทั้ง
หลาย! ภิกษุผู้ใคร่ครวญ เมื่อไม่รู้กระบวนจิตของผู้อื่น จะพึงทำความสอบ
สวนในพระตถาคตเจ้าว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ
ด้วยความรู้แจ่มแจ้ง ด้วยประการฉะนี้ หรือไม่. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
สิ่งทั้งหลายของพวกข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นมูล มีพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าข้า ดีหนอ
ขอเนื้อความภาษิตนั่นจงเเจ่มแจ้งกับพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด" พวกภิกษุ
ฟัง (เนื้อความภาษิตนั้น) ของพระผู้มีพระภาคเจ้าจักจำไว้.
พ. "ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงฟัง ตั้งใจให้ดี เรา
จักกล่าว" ภิกษุเหล่านั้นรับสนองพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
"อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า"

[537] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอย่างนี้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้จะสอบสวน เมื่อไม่รู้กระบวนจิตผู้อื่น พึงสอบสวนพระตถาคต

เจ้า ในสิ่งทั้ง 2 คือ ในสิ่งที่จะพึงรู้แจ้งด้วยตาและฟังด้วยหูว่า "สิ่งเหล่าใด
เศร้าหมองที่จะพึงรู้ด้วยตาและฟังด้วยหู สิ่งเหล่านั้นของพรตถาคตเจ้ามีหรือไม่ ?"

"ภิกษุ เมื่อสอบสวนพระตถาคตเจ้า นั่นจะรู้อย่างนี้ว่า "สิ่งเหล่าใด
เศร้าหมอง พร้อมพึงรู้แจ้งด้วยตาและฟังด้วยหู สิ่งเหล่านั้นของพระตถาคตเจ้าไม่
มี" เพราะเมื่อภิกษุสอบสวนพระตถาคตเจ้านั้น จะรู้อย่างนี้ว่า "สิ่งเหล่าใด
เศร้าหมองที่จะพึงรู้แจ้งด้วยตาและด้วยหู สิ่งเหล่านั้นของพระตถาคตเจ้าย่อมไม่
มี." ภิกษุจะสอบสวนให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นว่า สิ่งเหล่าใดที่ยังเป็นความ
มืด ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยตาและด้วยหู สิ่งเหล่านั้น ของพระตถาคตเจ้ามีอยู่หรือ

ภิกษุเมื่อจะสอบสวนพระตถาคตเจ้านั้น ย่อมรู้อย่างนี้ว่า "สิ่งเหล่าใด
ยังเป็นความมืด ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยตาและด้วยหู สิ่งเหล่านั้นของพระตถาคต
เจ้า ไม่มี" เพราะภิกษุ เมื่อจะสอบสวนพระตถาคตเจ้านั้น ย่อมรู้อย่างนี้
ว่า สิ่งเหล่าใดเป็นความมืด ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยตาและด้วยหู สิ่งเหล่านั้นของ
พระตถาคตเจ้าไม่มี." ภิกษุเมื่อจะสอบสวนพระตถาคตเจ้านั้นใหญ่ยิ่งขึ้น
ไปกว่านั้นว่า "สิ่งเหล่าใดแจ่มแจ้งที่จะพึงรู้แจ้งด้วยตาและด้วยหู สิ่งเหล่านั้น
ของพระตถาคตเจ้ามีอยู่หรือไม่"

ภิกษุเมื่อจะสอบสวนพระตถาคตเจ้านั้น ย่อมรู้อย่างนี้ว่า "สิ่งเหล่า
ใด ที่แจ่มแจ้งพึงรู้แจ้งด้วยตาและด้วยหู สิ่งเหล่านั้นของพระตถาคตเจ้า
มีอยู่พร้อม." เพราะภิกษุเมื่อจะสอบสวนพระตถาคตเจ้านั้น ย่อมรู้อย่างนี้
ว่า สิ่งเหล่าใดแจ่มแจ้งที่จะพึงรู้แจ้งด้วยตาและด้วยหู สิ่งเหล่านั้นของพระ
ตถาคตเจ้ามีอยู่พร้อม." ภิกษุจะสอบสวนคนอื่นนั้น ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น
ว่า "ท่านผู้นี้ถึงพร้อมด้วยกุศลธรรมนี้ตลอดกาลนานหรือว่าเข้าถึงอกุศล
ธรรมนอกนี้. "

ภิกษุนั้น เมื่อสอบสวนผู้นั้น ย่อมรู้อย่างนี้ว่า "ท่านผู้นี้เข้าถึงกุศล
ธรรมนี้สิ้นกาลนานแล้ว, ท่านผู้นี้ไม่ใช่เข้าถึงกุศลธรรมนอกนี้." เพราะภิกษุ
นั้น เมื่อสอบสวนผู้นั้นจะรู้อย่างนี้ว่า "ท่านผู้นี้เข้าถึงกุศลธรรมนี้สิ้นกาลนาน
แล้ว, ท่านผู้นี้ไม่ได้เข้าถึงอกุศลธรรมนอกนี้." เมื่อจะสอบสวนให้ยิ่งขึ้น
ไปกว่านั้นว่า "ภิกษุผู้มีอายุนี้ปรากฏชื่อเสียง มียศ โทษบางอย่างของเธอยัง
มีอยู่ในเรื่องนี้."

"ภิกษุทั้งหลาย! โทษบางอย่างไม่มีแก่ภิกษุในเรื่องนี้ ตราบเท่าที่
เธอยังไม่เป็นผู้มีชื่อเสียงปรากฏ(และ) ภิกษุทั้งหลายเมื่อใดแล ภิกษุเป็นผู้มีชื่อ
เสียงปรากฏ(และ) มียศ เมื่อนั้นโทษบางอย่าง ของเธอในเรื่องนี้จึงมี."
ภิกษุนั้นเมื่อจะสอบสวนผู้นั้นนั่นแหละย่อมรู้อย่างนี้ว่า ภิกษุผู้มีอายุนี้ เป็น
ปรากฏชื่อเสียงเป็นผู้ได้ยศ, โทษบางอย่างของเธอไม่มีในเรื่องนี้." เพราะ
ภิกษุนั้นเมื่อสอบสวนนั้นย่อมรู้อย่างนี้ว่า "ภิกษุผู้มีอายุนี้เป็นผู้ปรากฏ
ชื่อเสียง เป็นผู้ได้ยศ โทษบางอย่างไม่มีแก่เธอในกรณีนี้.

เพราะเมื่อภิกษุนั้น. เมื่อจะสอบสวนผู้นั้น ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นว่า
ท่านผู้นี้เข้าถึงความยินดีในสิ่งไม่น่ากลัว, ท่านผู้นี้เป็นผู้ไม่เข้าถึงความยินดีใน
สิ่งที่น่ากลัว, เธอย่อมไม่เสพกามเพราะปราศจากความกำหนัด เพราะความ
กำหนัดสิ้นไป." เพราะฉะนั้น เมื่อจะสอบสวนผู้นั้นย่อมรู้อย่างนี้ว่า "ท่านนี้
เข้าถึงความยินดีในสิ่งที่ไม่น่ากลัว, ไม่เป็นผู้เข้าถึงความยินดีในสิ่งที่
น่ากลัว, ไม่เสพกามเพราะปราศจากความกำหนัด เพราะสิ้นความกำหนัด."

"ภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากคนพวกอื่นจะพึงถามภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า
อะไรเป็นอาการของท่าน, อะไรเป็นที่คล้อยตามท่าน ซึ่งเป็นเหตุที่ให้ท่าน
กลัวอย่างนี้ว่า. "ท่านเข้าถึงความยินดีในสิ่งที่ไม่น่ากลัว ท่านผู้นี้ไม่เข้าถึง
ความยินดีในสิ่งที่น่ากลัว, เธอย่อมไม่เสพกามเพราะปราศจากความกำ

หนัด เพราะสิ้นความกำหนัด." ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพยากรณ์โดยชอบ
พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้อยู่ในหมู่ หรือเป็นผู้เที่ยวอยู่, พวกใดไปดีแล้ว
ในที่นั้น, พวกใดไปไม่ดีแล้วในที่นั้น, พวกใดตามสั่งสอนคณะในที่นั้น,
บางเหล่าบางพวกปรากฏในอามิส และบางเหล่าบางพวกถูกอามิสแปด
เปื้อน ท่านผู้นี้ย่อมไม่ดูหมิ่นผู้นั้นเพราะเหตุนั้น. ก็คำนี้เราได้ฟังได้รับเฉพาะ
พระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า " เราเป็นผู้เข้าไปยินดีในสิ่งที่ไม่
น่ากลัว ไม่เข้าไปยินดีในสิ่งที่น่ากลัว เราไม่เสพกามเพราะปราศจากกำ
หนัด เพราะสิ้นความกำหนัด."

เรื่องทวนถาม



[538] ภิกษุทั้งหลาย ครั้นพระตถาคตเจ้าถูกถามกลับยิ่งขึ้น
ไปอีกว่า "สิ่งเหล่าใดเศร้าหมองพร้อมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยตาและด้วยหู สิ่งเหล่า
นั้นอยู่หรือว่าไม่มีแก่พระตถาคตเจ้า." ภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเจ้า
เมื่อพยากรณ์จะพึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า สิ่งเหล่าใดเศร้าหมองพร้อมที่จะพึงรู้
แจ้งด้วยตาและด้วยหู สิ่งเหล่านั้นไม่มีแก่พระตถาคตเจ้า." (ภิกษุทั้ง
หลาย. พระตถาคตเจ้าจะพึงกลับถูกถามยิ่งขึ้นไปอีกว่า) "สิ่งเหล่าใดมืดที่จะ
พึงรู้แจ้งด้วยตาและด้วยหู สิ่งเหล่านั้นมีอยู่หรือว่าไม่มีแก่พระตถาคต-"
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระตถาคตเจ้าพยากรณ์จะพึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า
"สิ่งเหล่าใดมืดที่จะพึงรู้แจึงได้ด้วยตาและด้วยหูเหล่านั้นไม่มีแก่พระตถาคต
เจ้า."
(ภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเจ้ากลับถูกถามให้ยิ่งขึ้นอีกว่า) " สิ่งเหล่า
ใดแจ่มแจ้ง พึงรู้แจ้งด้วยตาและด้วยหู เหล่านี้มีอยู่หรือว่าไม่มีแก่พระตถาคต
เจ้า" ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระตถาคตจะพยากรณ์ก็จะพึงพยากรณ์อย่างนี้
ว่า สิ่งเหล่าใดแจ่มแจ้ง พึงรู้แจ้งด้วยตาและด้วยหู, เหล่านั้นมีอยู่แก่ตถาคต."