เมนู

อรรถกถามหาโคสิงคสาลสูตร


มหาโคสิงคสาลสูตร มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเมสุตํ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โคสิงคสาลวนทาเย นี้ ท่านกล่าวเพื่อ
แสดงที่อยู่ ก็สูตรอื่นท่านแสดงโคจรคามอย่างนี้ก่อนว่า พระผู้มีพระภาค
เจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร โคจรคามของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ประจำ
ในมหาโคสิงคสาลสูตรนี้ แต่จักเป็นโคจรคามบางคราว เพราะฉะนั้น ท่าน
แสดงถึงที่อยู่อย่างเดียวว่า พระสูตรนั้นมีป่าเป็นที่ตั้ง. บทว่า สมฺพหุเลหิ
คือมากมาย. บทว่า อภิญฺญาเตหิ อภิญฺญาเตหิ ได้แก่ มีชื่อเสียงปรากฏในที่
ทุกแห่ง. บทว่า เถเรหิ สาวเกหิ สทฺธึ ความว่า พร้อมคือร่วมด้วยผู้เป็นพระ
เถระ เพราะประกอบด้วยธรรม กระทำความมั่นคง มีความสำรวมใน
ปาฏิโมกข์ เป็นต้น เป็นพระสาวก เพราะเกิดในที่สุดการฟัง.
บัดนี้ เมื่อทรงแสดงพระเถระเหล่านั้น โดยสรุปจึงตรัสว่า อายสฺมตา
จ สารีปุตฺเตน
ดังนี้เป็นต้น. บรรดาพระเถระเหล่านั้น ท่านพระสารีบุตร
มีชื่อเสียงในพระพุทธศาสนาด้วยคุณมีศีลเป็นต้นของตน คือปรากฏ
แล้ว เหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์อยู่ท่ามกลางท้องฟ้า ปรากฏแก่ผู้มีจักษุ
และเหมือนสาครปรากฏแก่ผู้ยืนอยู่บนฝั่งแห่งสมุทร. ก็พึงทราบความ
ที่พระเถระนั้นเป็นใหญ่ด้วยอำนาจแห่งคุณที่มาแล้วในพระสูตรนี้อย่างเดียว
ไม่ได้. ควรจะทราบความที่พระเถระเป็นใหญ่ด้วยอำนาจแห่งพระสูตร
แม้เหล่านี้ อื่นจากพระสูตรนี้คือ ธัมมทายาทสูตร อนังคณสูตร
สัมมาทิฏฐิสูตร จุลลสีหนาทสูตร มหาสีหนาทสูตร รถวินีตสูตร
มหาหัตถิปโทปมสูตร มหาเวทัลลสูตร วัตถูปมสูตร ทีฆนขสูตร

อนุปทสูตร เสวิตัพพาเสวิตัพพสูตร สัจจวิภังคสูตร ปิณฑปาตปาริ-
สุทธิสูตร สัมปสาทนียสูตร สังคีติสูตร ทสุตตรสุตร ปวารณาสูตร สุลิม-
สูตร เถรปัญหสูตร มหานิเทส ปฏิสัมภิทามรรค เถรสีหนาทสูตร
การบวช เอตทัคคะ ดังนี้ จริงอยู่ ในเอตทัคคะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสารีบุตรเป็นยอดแห่งภิกษุสาวกผู้มีปัญญาของ
เรา.
แม้พระมหาโมคคัลลานะเป็นผู้ใหญ่ปรากฏเหมือนพระเถระมีชื่อเสียง
ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น และด้วยคุณมาแล้วในพระสูตรนี้.
อนึ่ง ควรทราบความที่พระเถระนั้นเป็นใหญ่ ด้วยอำนาจพระสูตรแม้
เหล่านี้คือ อนุมานสูตร จุลลตัณหาสังขยสูตร มารตัชชนียสูตร การยังปรา
สาทให้หวั่นไหว การทรมานนันโทปนันทนาคราช ประกอบด้วยอิทธิบาททั้ง
สิ้น. การไปสู่เทวโลกในคราวแสดงยมกปาฏิหาริย์ วิมานวัตถุ เปตวัตถุ
การบวช เอตทัคคะ ดังนี้ จริงอยู่ ในเอตทัคคะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระมหาโมคคัลลานะ เป็นยอดแห่งภิกษุสาวกผู้มี
ฤทธิ์ของเรา.
แม้พระมหากัสสปะเป็นใหญ่ปรากฏมาเหมือนพระเถระ มีชื่อเสียง
ด้วยศีลาทิคุณ และด้วยคุณมาแล้วในพระสูตรนี้. อนึ่ง ควรทราบความที่พระ
เถระนั้นเป็นใหญ่ด้วยอำนาจพระสูตรเหล่านี้คือ จีวรปริวัตตนสูตร จันโทปม-
สูตร กัสสปสังยุตต์ทั้งสิ้น มหาอริยวังสสูตร การบวชของพระเถระเอตทัคคะ
ดังนี้ จริงอยู่ ในเอตทัคคะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย พระมหากัสสปะเป็นยอดแห่งภิกษุสาวกทรงธุดงค์ของเรา.
แม้พระอนุรุทธะเป็นผู้ใหญ่ปรากฏ เหมือนพระเถระมีชื่อเสียง ด้วย
ศีลาทิคุณ และด้วยคุณมาแล้วในพระสูตรนี้ อนึ่ง ควรทราบความที่พระเถระ

นั้นเป็นใหญ่ด้วยสามารถแห่งพระสูตรแม้เหล่านี้คือ จุลลโคสิงคสูตร นฬก-
ปานสูตร อนุตตริยสูตร อุปักกิเลสสูตร อนุรุทธสังยุต มหาปุริสวิตักก-
สูตร การบวชของพระเถระ เอตทัคคะ ดังนี้ จริงอยู่ในเอตทัคคะพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอนุรุทธะเป็นยอดแห่งภิกษุสาวกผู้มี
ทิพยจักษุของเรา.
ก็พระเรวตะมี 2 รูปคือ ขทิรวนิยเรวตะ 1 กังขาเรวตะ 1 ในบท
ว่า อายสฺมตา จ เรวเตน นี้ ใน 2 รูปนั้น ในที่นี้ไม่ประสงค์เอาพระขทิรวนิย
เรวตะ ซึ่งเป็นน้องชายของพระธรรมเสนาบดี. ส่วนพระเถระมากด้วยความ
สงสัยอย่างนี้ว่า น้ำอ้อยควรไหม ถั่วเขียวควรไหม ประสงค์แล้วว่า เรวตะใน
ที่นี้. ก็พระเรวตะนั้นเป็นผู้ใหญ่ปรากฏเหมือนพระเถระมีชื่อเสียงด้วย ศีลาทิ
คุณ และด้วยคุณมาแล้วในพระสูตรนี้.
อนึ่ง ควรทราบความที่พระเถระนั้นเป็นใหญ่ในการบวช แม้ใน
เอตทัคคะนั้น. จริงอยู่ในเอตทัคคะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย พระกังขาเรวตะเป็นยอดแห่งภิกษุสาวกผู้มีฌานของเรา.
แม้พระอานนทเถระเป็นผู้ใหญ่ปรากฏเหมือนพระเถระมีชื่อเสียงด้วย
ศีลาทิคุณ และด้วยคุณมาแล้วในพระสูตรนี้ อนึ่ง ควรทราบความที่พระเถระ
นั้นเป็นใหญ่ด้วยอำนาจแห่งพระสูตรเหล่านี้ คือ เสลสูตร พาหิติยสูตร อเนญช-
สัปปายะโคปกสูตร โมคคัลลานะ พหุธาตุกะ จุลลสุญญตะ มหาสุญญตะ
อัจฉริยัมภูตสูตร ภัทเทกรัตตะ มหานิทานะ มหาปรินิพพานะ สุภ-
สูตร จุลลนิยโลกธาตุสูตร การบวช เอตทัคคะ ดังนี้ จริงอยู่ ในเอตทัคคะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอานนท์เป็นยอดแห่ง
ภิกษุสาวกผู้พหูสูตของเรา.
บทว่า อญฺเญหิ จ อภิญฺญาเตหิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประ

ทับอยู่ในป่าโคสิงคสาลวันพร้อมด้วยเถรสาวกเป็นอันมากผู้มีชื่อเสียงปรากฏ
เพราะเป็นผู้มีคุณใหญ่เหล่านี้และเหล่าอื่นก็หาไม่. จริงอยู่ ในคราวนั้น
ท่านพระสารีบุตรตนเองมีปัญญามาก หาพวกภิกษุผู้มีปัญญามาก แม้เหล่า
อื่นเป็นอันมากไปอยู่แวดล้อมพระทศพล. ท่านมหาโมคคัลลานะ ตนเองมีฤทธิ์
ท่านมหากัสสปะตนเองเป็นธุตวาทะ ท่านอนุรุทธะตนเองได้ทิพยจักษุ
ท่านเรวตะตนเองยินดีในฌาน ท่านอานนท์ตนเองเป็นพหูสูต พาพวกภิกษุ
ผู้พหูสูตรเหล่าอื่นไปอยู่แวดล้อมพระทศพลในกาลนั้น. พระมหาเถระผู้มีชื่อ
เสียงเหล่านั้น และเหล่าอื่นในกาลนั้น พึงทราบว่า พวกภิกษุประมาณสาม
หมื่นอยู่แวดล้อมพระทศพล ด้วยประการฉะนี้แล
บทว่า ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต ความว่า ท่านมหาโมคคัลลานะออกจาก
วิเวกในผลสมาบัติ. บทว่า เยนายสฺมา มหากสฺสโป เตนุปสงฺกมิ ความว่า
ได้ยินว่า พระเถระออกจากที่หลีกเร้นแลดูโลกธาตุทางปัจฉิมทิศ ได้เห็น
สุริยมณฑล 50 โยชน์ถ้วนกำลังอัสดงค์ เหมือนตุ้มหูกำลังตกจากพระกรรณ
กษัตริย์ผู้เมาอ่อนเพลียในราวป่า เหมือนผ้ากัมพลแดงที่เขารวบใส่ไว้ใน
หีบ เหมือนถาดทองคำ อันมีค่าแสนหนึ่ง กำลังตกจากงาที่ประดับด้วยแก้วมณี
ลำดับนั้น แลดูโลกธาตุทางปาจีนทิศ ได้เห็นจันทมณฑลขึ้นจากท้องสมุทร
มีสีเหมือนเมฆ อันประดับพร้อมทั้งลักษณะมี 49 โยชน์ บนยอดภูเขาจักร-
วาลด้านปาจีนทิศ เหมือนล้อเงินยึดที่ดุมหมุนไป เหมือนธารน้ำนมไหล
จากรางเงิน และเหมือนหงส์ขาวที่กระพือปีกทั้งสองบินไปในท้องฟ้า. ต่อจาก
นั้นก็แลดูสาลวัน ก็ในสมัยนั้น ตั้งแต่โคนต้นสาละจนถึงปลาย ดอกบาน
สะพรั่ง รุ่งเรือง เหมือนคลุมด้วยผ้าปาวาร 2 ชั้น เหมือนมัดไว้ด้วยช่อ
มุกดา เมื่อเกสรดอกไม้ตกไปในที่นั้น ๆ พื้นแผ่นดินเป็นเหมือนเครื่องบูชาที่ดาดาษ
ด้วยดอกไม้ เหมือนรดด้วยน้ำครั่ง ฝูงผึ้งพอเมาเกสรดอกไม้ บินไปใน
ป่าคล้ายส่งเสียงหึ่ง ๆ ก็วันนั้น เป็นวันอุโบสถ ลำดับนั้น พระเถระคิดว่า

วันนี้เราจักยังเวลาให้ล่วงไปด้วยความยินดีอะไรหนอ. ก็ธรรมดาว่าพระอริย-
สาวกรักการฟังธรรม พระเถระได้มีความดำริว่า วันนี้เราไปยังสำนักของ
พระธรรมเสนาบดีเถระผู้เป็นพี่ชายของเราแล้ว จักให้เวลาล่วงไปด้วยความ
ยินดีในธรรม. เมื่อไปก็ไม่ไปผู้เดียวคิดว่า เราจักเอาพระมหากัสสปเถระผู้
เป็นเพื่อนรักของเราไปด้วย ดังนี้ ลุกจากที่นั่งสะบัดท่อนหนัง เข้าไปหา
ท่านมหากัสสปะ.
บทว่า เอวมาวุโสติ โข อายสฺมา มหากสฺสโป ความว่า เพราะพระ
เถระเป็นอริยสาวกรักการฟังธรรม ฉะนั้น ได้ฟังคำของท่านมหาโมคคัลลานะ
แล้วไม่อ้างเลสอะไร ๆ ว่า ดูก่อนผู้มีอายุท่านไปเถิด กระผมปวดศีรษะ
หรือปวดหลัง กลับมีใจยินดี กล่าวคำเป็นต้นว่า เอวมาวุโส. ก็เพราะเถระรับคำ
แล้วลุกจากที่นั่งสะบัดท่อนหนัง ตามพระมหาโมคคัลลานะไป. สมัยนั้นพระ
มหาเถระ 2 รูป รุ่งเรืองดุจดวงจันทร์ 2 ดวง ขึ้นเรียงกัน ดุจดวง
อาทิตย์ 2 ดวง ดุจพระยาช้างฉัททันต์ 2 เชือก ดุจราชสีห์ 2 ตัว และดุจเสือ
โคร่ง 2 ตัว. สมัยนั้นพระอนุรุทธเถระนั่งในที่พักกลางวัน เห็นพระมหา
เถระ 2 รูปไปยังสำนักของพระสารีบุตร เมื่อแลดูโลกธาตุด้านปัจฉิม
ทิศ ได้เห็นพระอาทิตย์กำลังลับป่า เมื่อแลดูโลกธาตุด้านปาจีนทิศ ได้เห็นดวง
จันทร์กำลังขึ้นจากชายป่า และเมื่อแลดูต้นสาละ ได้เห็นต้นสาละมีดอกบาน
สะพรั่ง คิดว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ และพระมหาเถระเหล่านี้เป็นพี่ชายของ
เรา ไปยังสำนักของพระธรรมเสนาบดี การฟังธรรมพึงมีมาก แม้เราจักเป็น
ผู้มีส่วนการฟังธรรมดังนี้แล้ว ลุกจากที่นั่งสะบัดท่อนหนัง เดินตามรอย
เท้าพระมหาเถระไป. เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่าครั้งนั้นแล ท่านมหาโมค-
คัลลานะ ท่านมหากัสสปะ. และท่านอนุรุทธะ เข้าไปหาพระสารีบุตร ดัง
นี้. บทว่า อุปสงฺกมึสุ ความว่า พระมหาเถระทั้ง 3 รูป ยืนเรียงกันรุ่ง
โรจน์ ดูจพระจันทร์ ดุจพระอาทิตย์ และดุจราชสีห์เข้าไปหา ก็ท่านอานนท์

นั่งในที่พักกลางวันของตน เห็นพระมหาเถระเข้าไปหาอย่างนี้แล้วคิดว่า
การฟังธรรมเป็นอันมากจักมีในวันนี้ แม้เราก็พึงเป็นผู้มีส่วนการฟังธรรม
นั้น ก็แหละเราจักไม่ไปผู้เดียว จักพาเอาพระเรวตเถระเพื่อนรักของเรา
ไปด้วย. เรื่องทั้งหมดพึงทราบความพิสดารตามนัยที่กล่าวแล้ว ในการเข้า
ไปหาของพระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะพระอนุรุทธะพระเถระ
ทั้ง 2 รูปนั้น ยืนเรียงกันรุ่งโรจน์ ดุจพระจันทร์ 2 ดวง ดุจพระอาทิตย์
2 ดวง และดุจราชสีห์ 2 ตัว เข้าไปหาด้วยประการฉะนี้. เพราะฉะนั้นท่าน
จึงกล่าวว่า ท่านพระสารีบุตรได้เห็นแล้ว ดังนี้เป็นต้น. บทว่า ทิสฺวาน
อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ
ความว่า ท่านพระสารีบุตรเห็นแต่ไกล จึง
ได้กล่าวคำเป็นต้นนี้ประกอบด้วยอุปจารกถา โดยลำดับว่าขอท่านจงมาเถิด
ดังนี้. ในบทว่า รมณียํ อาวุโส นี้ได้แก่ ป่าที่น่ารื่นรมย์ 1 บุคคลที่น่า
รื่นรมย์ 1
ใน 2 อย่างนั้น ชื่อว่า ป่าดาดาษ ด้วยต้นกากะทิง สาละ และจำปา
เป็นต้น มีร่มเงาหนามีต้นไม้ต่างๆ เผล็ดดอกออกผลมีน้ำพร้อม นอกหมู่
บ้าน ป่านี้ ชื่อว่า เป็นที่น่ารื่นรมย์ ท่านกล่าวหมายเอาว่า
ป่าทั้งหลายเป็นที่น่ารื่นรมย์ ท่านผู้มีราคะไปปราศแล้วทั้ง
หลาย จักยินดีในป่าอันไม่เป็นที่ยินดีของชน เพราะท่าน
ผู้มีราคะไปปราศแล้วเหล่านั้น เป็นผู้มีปกติไม่แสวงหากาม
ดังนี้.

ถ้าว่าป่าเป็นที่ดอน น้ำไม่มี ร่มเงาโปร่งมีหนามรก ส่วนพระอริยะ มีพระพุทธ
เจ้าเป็นต้นประทับอยู่ในป่านี้ ป่านี้ ชื่อว่า บุคคลน่ารื่นรมย์ ท่านกล่าวหมาย
เอาว่า พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ ณ ที่ใด เป็นบ้านก็ตาม เป็นป่าก็ตาม ที่ลุ่มก็
ตาม ที่ดอนก็ตาม ที่นั้นเป็นภูมิสถานน่ารื่นรมย์ ดังนี้. ส่วนในที่นี้ได้ที่ทั้ง

2 อย่างนั้น. ครั้งนั้น ป่าโคสิงคสาลวัน มีดอกบานสะพรั่ง กลิ่นดอกไม้หอม
ฟุ้ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลเลิศในโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก ประทับอยู่
กับพวกภิกษุผู้มีชื่อเสียงประมาณสามหมื่นรูป.ท่านหมายเอาป่านนั้น จึงกล่าว
ว่า ดูก่อนอานนท์ ผู้มีอายุ ป่าโคสิงคสาลวันเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ดังนี้.
บทว่า โทสินา รตฺติ คือปราศจากโทษ มีอธิบายว่า เว้นจากความมืด
มัว เหล่านี้คือ หมอก เมฆ ควัน ธุลี ราหู. บทว่า สพฺพผาลิผุลฺลา ความ
ว่า สาละมีดอกบานในที่ทุกแห่งตั้งแต่โคนจนถึงยอด ชื่อว่าที่ยังไม่บานแล้ว
ย่อมไม่มี. บทว่า ทิพฺพา มญฺเญ คนฺธา สมฺปวนฺติ ความว่า กลิ่นหอมเป็น
ของทิพย์ ย่อมฟุ้งตลบทั่วไปเหมือนกลิ่นหอมของดอกมณฑารพ ทอง
กวาว แคฝอย และผงไม้จันทน์ มีอธิบายว่า ย่อมฟุ้งไป เหมือนสถานที่ชื่นชอบ
ของท้าวสักกะ. สุยาม สันดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัดดี และท้าว
มหาพรหม. บทว่า กถํ รูเปน อาวุโส อานนฺท ความว่า พระอานนทเถระเป็น
สังฆนวกะแห่งพระเถระ 5 รูปนั้น. ถามว่า เพราะเหตุไร พระเถระจึงถาม
ข้อนั้นก่อน. ตอบว่า เพราะนับถือกัน.
ก็พระเถระ 2 รูปนั้นนับถือกันและกัน. พระสารีบุตรเถระคิดว่า
พระอานนทเถระอุปัฏฐากพระศาสนาซึ่งเราควรทำดังนี้ ได้นับถือพระ
อานนทเถระ. พระอานนทเถระคิดว่า พระสารีบุตรเถระเป็นยอดสาวกของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ ได้นับถือพระสารีบุตรเถระ. ท่านให้ทารกในตระ
กูลบรรพชาแล้ว ให้ถืออุปัชฌาย์ในสำนักของพระสารีบุตรเถระ. แม้พระ
สารีบุตรเถระก็ได้ทำนั้นเหมือนกัน. ภิกษุที่องค์หนึ่งให้บาตรและจีวรของ
ตนให้บรรพชาแล้ว ให้อีกองค์หนึ่งเป็นอุปัชฌาย์ประมาณ 500 รูป ท่าน
พระอานนท์ได้จีวรเป็นต้นที่ประณีตแล้วถวายพระเถระเท่านั้น ได้ยิน
ว่า พราหมณ์คนหนึ่งคิดว่า การบูชาพุทธรัตนะและสังฆรัตนะยังปรากฏ
ชื่อว่าการบูชา ธัมมรัตนะ จะเป็นอย่างไรหนอ. เขาจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า ทูลถามเนื้อความนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ ถ้าท่าน
ใคร่จะบูชา ธัมมรัตนะ จงบูชาภิกษุผู้พหูสูตรรูปหนึ่งเถิด. พราหมณ์ทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงบอกภิกษุพหูสูตรเถิด. พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าตรัสว่า ท่านจงถามภิกษุสงฆ์เถิด. เขาเข้าไปหาภิกษุสงฆ์กล่าว
ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงบอกภิกษุผู้พหูสูต. ภิกษุกล่าวว่า พระ
อานนทเถระซิ พราหมณ์. พราหมณ์บูชาพระเถระด้วยไตรจีวรมีค่าพัน
หนึ่ง. พระเถระรับไตรจีวรแล้ว ได้ไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาค
เจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ได้ผ้ามาแต่ไหน อานนท์. พระอานนท์
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พราหมณ์คนหนึ่งถวาย แต่ข้าพระองค์
ใคร่จะถวายจีวรนี้แก่ท่านสารีบุตร. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถวายเถิด
อานนท์.
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสารีบุตรหลีกไปสู่ที่ จาริกเสียแล้ว.
พ. จงถวายเวลาเธอมาเถิด.
อา. พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว.
พ. ก็พระสารีบุตรจักมาเมื่อไร.
อา. ประมาณ 10 วันพระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ด้วยพระดำรัสว่า
ดูก่อนอานนท์ เราอนุญาตให้ภิกษุเก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ 10 วันเป็น
อย่างยิ่ง. แม้พระสารีบุตรเถระได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ชอบใจ ถวายสิ่งนั้นแก่พระ
อานนทเถระอย่างนั้นเหมือนกัน. พระเถระเหล่านั้นนับถือกันและกัน อย่าง
นี้. พระเถระจึงถามก่อนเพราะความนับถือกัน ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง ชื่อว่า ถามความเห็นนั่น พึงถามตั้งแต่สิ่งน้อยไป เพราะฉะนั้น
พระเถระคิดว่า จักถามพระอานนท์ก่อน พระอานนท์จักตอบชี้แจงตาม
ปฏิภาณของตน ต่อมา จึงจักถามพระเรวตะอนุรุทธะ มหากัสสปะ มหาโมค-
คัลลานะ พระมหาโมคคัลลานะจักตอบชี้แจงตามปฏิภาณของตน จากพระ

เถระทั้ง 5 รูป จึงจักถามเรา แม้เราจักตอบชี้แจงตามปฏิภาณของตน
พระธรรมเทศนานี้จักถึงที่สุด ถึงความไพบูลย์ ด้วยคำมีประมาณเท่านี้
ก็หามิได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราทั้งหมดจักเข้าไปทูลถามพระทศพล
พระศาสดาจักทรงตอบชี้แจงด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ธรรมเทศนานี้จักถึง
ที่สุดถึงความไพบูลย์ ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ ก็หามิได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น
พวกเราทั้งหมดจักเข้าไปทูลถามพระทศพล พระศาสนาจักทรงตอบชี้แจง
ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ธรรมเทศนานี้จักถึงที่สุดถึงความไพบูลย์ด้วยคำ
มีประมาณเท่านี้ เหมือนอย่างว่า เมื่อคดีเกิดในชนบท คดีย่อมถึงผู้ใหญ่
บ้าน เมื่อผู้ใหญ่บ้านไม่สามารถจะตัดสินได้ ย่อมถึงเจ้าเมือง เมื่อเขาไม่
อาจ ย่อมถึงผู้พิพากษา เมื่อเขาไม่อาจย่อมถึงเสนาบดี เมื่อเสนาบดีนั้นไม่
อาจ ย่อมถึงอุปราช เมื่ออุปราชนั้นไม่อาจจะตัดสินได้ย่อมถึงพระราชา
ตั้งแต่เวลาพระราชามีพระราชวินิจฉัยแล้ว คดีย่อมเด็ดขาดด้วยพระราชโอง
การย่อมไม่เปลี่ยนแปลง ฉันใด เราก็ฉันนั้นจักถามพระอานนท์ก่อน...เมื่อเป็น
เช่นนั้น พวกเราทั้งหมด จักเข้าไปทูลถามพระทศพล พระศาสดาจักทรง
ตอบชี้แจงด้วยพระสัพพัญยุตญาณ ธรรมเทศนานี้จักถึงที่สุด ถึงความ
ไพบูลย์ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ ดังนี้ พระเถระเมื่อถามความเห็นอย่างนี้
จึงได้ถามพระอานนทเถระก่อน.
บทว่า พหุสฺสุโต โหติ ความว่า ภิกษุนั้นฟังมาก อธิบายว่า
เรียนนวังคสัตถุศาสน์ด้วยอำนาจอักขระเบื้องต้น และเบื้องปลายแห่งบาลี
และอนุสนธิ. บทว่า สุตธโร คือเป็นผู้รองรับสุตะไว้ได้. จริงอยู่ พระพุทธพจน์
อันก็ได้เรียนแต่บาลีประเทศนี้ เลือนหายไปแต่บาลีประเทศนี้ ไม่คงอยู่ดุจ
น้ำในหม้อทะลุ เธอไม่อาจจะกล่าว หรือบอกสูตร หรือชาดกข้อเดียว ใน ท่าน
กลางบริษัทได้ ภิกษุนี้ หาชื่อว่าผู้ทรงสุตะไม่. ส่วนพระพุทธพจน์อันภิกษุใด
เรียนแล้ว ย่อมเป็นอย่างเวลาที่ตนเรียนมาแล้วนั่นแหละ เมื่อเธอไม่ทำการ

สาธยายตั้ง 10 ปี ตั้ง 20 ปี ก็ไม่เลือนหาย ภิกษุนี้ชื่อว่าผู้ทรงสุตะ.บท
ว่า สุตสนฺนิจโย ได้แก่ ผู้สั่งสมสุตะ ก็สุตะอันภิกษุใดสั่งสมไว้ในหีบคือหทัย
คงอยู่ดุจรอยจารึกที่ศิลา และดุจมันเหลวราชสีห์ที่เข้าใส่ไว้ในหม้อทอง ภิกษุ
นี้ ชื่อว่า ผู้มีสุตะเป็นที่สั่งสม. บทว่า ธตา ได้แก่ ตั้งอยู่ ทรงจำไว้ ช่ำชอง
จริงอยู่ พระพุทธพจน์อันภิกษุบางรูปเรียนแล้ว ทรงจำไว้ช่ำชองไม่เคลื่อน
คลาด ภิกษุนั้นเมื่อใคร ๆ พูดว่าท่านจงกล่าวสูตร หรือชาดกโน้นดังนี้
ย่อมกล่าวว่าเราท่อง เทียบเคียง ซักซ้อมแล้ว จักรู้ แต่สำหรับบางรูปทรงจำ
ไว้ ช่ำชองเป็นเช่นกับภวังคโสต. เมื่อใครๆ กล่าวว่า ขอท่านจงกล่าวสูตร
หรือชาดกโน้น เธอย่อมยกขึ้นกล่าวสูตรหรือชาดกนั้นได้ทันที. บทว่า
ธตา ท่านหมายเอาภิกษุนั้น จึงกล่าวแล้ว. บทว่า วจสา ปริจิตา ได้แก่ เธอ
ท่องแล้วด้วยวาจาด้วยสามารถแห่ง สุตตทสกะ วัคคทสกะ ปัณณาสทส-
กะ. บทว่า มนสานุเปกฺขิตา ได้แก่ เพ่งด้วยจิต. เมื่อภิกษุใด คิดอยู่ด้วย
ใจ ซึ่งพระพุทธพจน์ที่ตนท่องแล้วด้วยวาจา พระพุทธพจน์ย่อมปรากฏในที่
นั้นๆ คือปรากฏดุจรูปปรากฏแก่บุคคลผู้ยืนตามไฟดวงใหญ่ไว้ฉะนั้น.บท
ว่า มนสานุเปกฺขิตา นั้น ท่านหมายเอาภิกษุนั้น จึงกล่าว. บทว่า ทิฏฺฐิยา
สุปฏิวิทฺธา
ได้แก่ แทงตลอดด้วยดีด้วยปัญญาโดยเหตุและผล. ในบท
ว่า ปริมณฺฑเลหิ ปทพฺยญฺชเนหิ นี้ชื่อบทพยัญชนะ เพราะทำเนื้อความ
ให้ปรากฏ ทำบทนั้นให้บริบูรณ์ ด้วยอักขระ กล่าวพยัญชนะ 10 อย่างไม่ให้
เสียไป ชื่อว่า บทพยัญชนะราบเรียบ อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุใด เมื่อจะแสดง
ธรรมในบริษัทอ้างสูตร หรือชาดกแล้ว เอาพระสูตรหรือชาดกอื่นมา
อธิบาย กล่าวอุปมาของสูตรนั้น ให้เรื่องนั้นผ่านไป จับเรื่องนี้ วางเรื่องนั้น
เลี่ยงไปอธิบายไปทางหนึ่ง ได้เวลาก็ลุกขึ้น ส่วนสูตรที่เธออ้างไว้ก็เป็นสักแต่
ว่าอ้างไว้เท่านั้น. ถ้อยคำของภิกษุนั้นชื่อว่า ไม่ราบเรียบ. ส่วนภิกษุใดอ้าง
สูตรหรือชาดกไม่เอาบทภายในแม้บทหนึ่ง มาลบล้างอนุสนธิ สละเบื้อง

ต้น ปลายแห่งบาลี ตั้งอยู่ในนัยที่อาจารย์ให้ไว้ดำเนินไปเหมือนกำหนดด้วย
ตราชั่ง เหมือนส่งน้ำไปที่เหมืองลึก เหมือนสินธพอาชาไนยกระทืบเท้า
ถ้อยคำของภิกษุนั้น ชื่อว่าราบเรียบ ท่านหมายเอาถ้อยคำเห็นปานนี้
จึงกล่าวว่า ปริมณฺฑเลหิ ปทพฺยญฺชเนหิ ดังนี้.
ในบทว่า อนุปฺปพนฺเธหิ ความว่า ภิกษุใด กล่าวธรรม ตั้งแต่เวลา
เริ่มสูตร หรือชาดกปรารภ รีบด่วนเหมือนคนสีไฟ เหมือนคนเคี้ยวของ
ร้อน กระทำที่ถือเอาแล้ว ๆ และไม่ถือเอาแล้วๆ ในอนุสนธิเบื้องต้นเบื้องปลาย
แห่งบาลี อ้อมแอ้มในที่นั้นๆ จบลุกไป เหมือนคนเลี้ยงเหี้ยเที่ยวไปในระหว่าง
ใบไม้เก่า ภิกษุใด เมื่อกล่าวธรรม บางคราวก็เร็ว บางคราวก็ช้า บางคราว
ทำเสียงดัง บางคราวทำเสียงค่อย ไปเผาศพ บางคราวลุก บางคราวก็ดับฉันใด
ภิกษุนั้นชื่อว่าพระธัมมกถึกเปรียบด้วยไฟเผาศพฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อบริษัท
ประสงค์จะลุก เริ่มขึ้นอีก. แม้ภิกษุใด เมื่อกล่าวให้พิสดารในที่นี้แม้แต่เธอ
กล่าวเหมือนถอนหายใจ เหมือนคร่ำครวญ ถ้อยคำของภิกษุเหล่านี้แม้ทั้งหมด
ชื่อว่าไม่ติดต่อกัน. ส่วนผู้ใดเริ่มสูตร ตั้งอยู่ในนัย ที่อาจารย์ให้ไว้ทำไม่ขาด
สายให้เป็นไป เหมือนกระแสน้ำยังถ้อยคำให้เป็นไม่ขาดตอนเหมือนน้ำตกจาก
คงคา ถ้อยคำของเขาชื่อว่า ติดต่อกันโดยลำดับ ท่านหมายเอาถ้อยคำนั้น
จึงกล่าวว่า อนุปฺปพนฺเธหิ ดังนี้. บทว่า อนุสายสมุคฺฆาตาย ได้แก่ เพื่อถอนอนุสัย
7 อย่าง. บทว่า เอวรูเปน ความว่า ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุพหูสูต
เห็นปานนี้ หรือภิกษุแสดงรูปเห็นปานนั้นนั่งแล้ว ชายสังฆาฏิกับชาย
สังฆาฏิจดกัน หรือเข่ากับเข่าจดกันและกัน พึงทราบเนื้อความในวาระทั้งปวง
โดยนัย. ภิกษุชื่อปฏิสัลลานารามา เพราะอรรถว่า ความหลีกเร้นเป็นที่มา
ยินดีของภิกษุนั้น. บทว่า ปฏิสลฺลานรโต คือ ยินดีแล้วในการหลีกเร้น. บท
ว่า สหสฺสโลกานํ คือ โลกธาตุพันหนึ่ง. จริงอยู่ การเสพธุระ เนื่องด้วยการ
พิจารณาของพระเถระมีประมาณเท่านี้. ส่วนพระเถระเมื่อหวัง ย่อมตรวจดูได้

หลายแสนจักรวาล. บทว่า อุปริปาสาทวรคโต ได้แก่ บุรุษผู้ไปเบื้องบนปรา
สาท อันงาม 7 ชั้น. หรือ 9 ชั้น. บทว่า สหสฺสํ เนมิมณฺฑลานํ โยโลเกยฺย
ความว่า พึงเปิดหน้าต่างแลดูมณฑลแห่งกงตั้งพัน ตั้งอยู่ที่ดุม ปลายกง
กับปลายกงตั้งจดกัน ในบริเวณปราสาทได้ ดุมก็ดี กำก็ดี ระหว่างกำก็
ดี กงก็ดี จึงปรากฏแก่บุรุษนั้น. บทว่า เอวเมว โข อาวุโส ความว่า ภิกษุผู้มี
ทิพยจักษุแม้นี้ ย่อมตรวจดูโลกพันหนึ่ง ด้วยทิพยจักษุ ล่วงจักษุของ
มนุษย์ เขาสิเนรุพันหนึ่ง ในจักรวาลพันหนึ่งย่อมปรากฏ เหมือนดุมล้อ
ปรากฏแก่บุรุษผู้ยืนอยู่บนปราสาทนั้น ทวีป ปรากฏเหมือนกำ คนที่ยืน
อยู่บนทวีป ปรากฏเหมือนระหว่างกำ ภูเขาจักรวาลย่อมปรากฏเหมือน
กง. บทว่า อารญฺญ โก คือ ผู้สมาทานอรัญธุดงค์.แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้
แล. บทว่า โน จ สํสาเทนฺติ คือไม่ขัดแย้งกัน.จริงอยู่ บุคคลผู้สามารถจะถาม
ปัญหาทำให้มีเหตุมีผล ชื่อว่าย่อมขัดแย้งกัน. อธิบายว่าพวกภิกษุย่อม
ไม่กล่าวอย่างนี้. บทว่า ปวตฺตินี โหติ ได้แก่ ย่อมเป็นไป ดุจกระแสน้ำในแม่
น้ำ. บทว่า ยาย โวหารสมาปตฺติยา ความว่า ด้วยวิหารสมาบัติเป็นโลกิยะ
หรือโลกุตตระใด. บทว่า สาธุ สาธุ สารีปุตฺต ความว่า สาธุการนี้ พระผู้
มีพระภาคเจ้าประทานแก่พระอานนทเถระ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระ
สารีบุตรเถระ. ในที่ทั้งปวงก็มีนัยนี้. บทว่า ยถาตํ อานนฺโท ความว่า ก็
อานนท์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์ฉันใด พยากรณ์แล้วฉัน
นั้น.อธิบายว่า พระอานนท์ พยากรณ์ตามสมควร คือ เหมาะสมแก่อัชฌาศัย
ของตนนั่นแล.
จริงอยู่ พระอานนทเถระ เป็นพหูสูตด้วยตนเอง แม้อัชฌาสัยของ
ท่าน ตั้งอยู่อย่างนี้ว่า โอหนอ เพื่อนพรหมจรรย์ ในศาสนา พึงเป็นพหูสูตดัง
นี้. เพราะเหตุไร เพราะว่าสิ่งที่ควรหรือไม่ควร สิ่งที่มีโทษหรือไม่มี
โทษ โทษหนักหรือเบา แก้ไขได้ แก้ไขไม่ได้ ย่อมปรากฏแก่ภิกษุพหูสูต

ภิกษุผู้พหูสูตพิจารณาพระพุทธพจน์ที่ตนเรียนแล้ว คิดว่า ศีล ท่าน
กล่าวไว้แล้วในที่นี้ สมาธิท่านกล่าวไว้แล้วในที่นี้ วิปัสสนาท่านกล่าว
ไว้แล้วในที่นี้ มรรคผลนิพพานท่านกล่าวไว้แล้วในที่นี้ บำเพ็ญศีลในที่
มาของศีล บำเพ็ญสมาธิในที่มาของสมาธิ ยังวิปัสสนาให้ถือเอาห้อง
ในที่แห่งวิปัสสนา เจริญมรรค ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งผล เพราะฉะนั้นอัชฌา-
สัยของพระเถระย่อมเป็นอย่างนี้ว่า โอหนอ เพื่อนพรหมจรรย์ของเรา เรียน
นิกายหนึ่ง หรือสอง สามหรือสี่ หรือห้านิกายแล้ว พิจารณาอยู่ บำเพ็ญศีลเป็น
ต้น ในที่มาแห่งศีลเป็นต้น พึงทำให้แจ้งซึ่งมรรคผล และนิพพานโดยลำ-
ดับ. แม้ในวาระที่เหลือก็มีนัยนี้แล.
จริงอยู่ ท่านเรวตะ พอใจในฌาน ยินดีแล้วในฌาน เพราะฉะนั้น
ท่านมีความคิดอย่างนี้ว่า โอหนอเพื่อนพรหมจรรย์ของเรา นั่งผู้เดียว ทำ
กสิณบริกรรม ยังสมาบัติ 8 ให้เกิด เจริญวิปัสสนามีฌานเป็นปทัฏฐาน
พึงทำให้แจ้งซึ่งโลกุตตรธรรม เพราะฉะนั้น จึงพยากรณ์อย่างนี้.
ท่านพระอนุรุทธะมีทิพยจักษุ ท่านมีความคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ
เพื่อนพรหมจรรย์ เจริญอาโลกกสิณเห็นสัตว์ทั้งหลายกำลังจุติ และอุปบัติใน
จักรวาลหลายพัน ด้วยทิพยจักษุ ยังจิตให้สังเวชเพราะวัฏฏภัย เจริญ
วิปัสสนา พึงทำให้แจ้งซึ่งโลกุตตรธรรม เพราะฉะนั้น จึงพยากรณ์แล้วอย่าง
นี้.
ท่านมหากัสสปะ เป็นธุตวาท ท่านมีความคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เพื่อน
พรหมจรรย์เป็นธุตวาท ยังตัณหาพร้อมทั้งปัจจัยให้เหี่ยวแห้ง ด้วยอานุภาพ
แห่งธุดงค์แล้ว กำจัดกิเลสมีประการต่างๆ แม้เหล่าอื่น เจริญวิปัสสนา
พึงทำให้แจ้งซึ่งโลกุตตรธรรม เพราะฉะนั้น จึงพยากรณ์แล้วอย่างนี้
ท่านมหาโมคคัลลานะ ถึงที่สุดแห่งสมาธิบารมี ส่วนลำดับจิตอัน
สุขุม ลำดับขันธ์ ลำดับธาตุ ลำดับอายตนะ การเข้าฌาน ก้าวลงสู่

อารมณ์ การกำหนดองค์ การกำหนดอารมณ์ การตัดองค์ การตัด
อารมณ์ เจริญโดยส่วนเดียว เจริญโดย 2 ส่วน ดังนั้น จึงปรากฏแก่ผู้เรียน
อภิธรรมเท่านั้น. ก็ผู้ไม่ได้เรียนอภิธรรม เมื่อจะกล่าวธรรม ย่อมไม่รู้ว่า
นี้เป็นสกวาทะ นี้เป็นปรวาทะ ยังแสดงปรวาทะว่าเราจักแสดงสกวาทะ
ยังแสดงสกวาทะว่าเราจักแสดงปรวาทะ ย่อมกล่าวลำดับธรรมให้ผิด
ส่วนผู้เรียนอภิธรรม ย่อมแสดงสกวาทะ โดยสกวาทะแน่นอน หรือปรวาทะ
โดยปรวาทะแน่นอน ย่อมไม่กล่าวลำดับธรรมให้ผิด เพราะฉะนั้น พระเถระ
มีความคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เพื่อนพรหมจรรย์ เป็นนักอภิธรรม ยังฌานให้
หยั่งลงในที่อันสุขุม เจริญวิปัสสนา พึงทำให้แจ้งซึ่งโลกุตตรธรรม เพราะ
ฉะนั้น จึงพยากรณ์แล้วอย่างนี้.
ท่านพระสารีบุตร ถึงที่สุดแห่งปัญญาบารมี ย่อมสามารถยังจิตให้
เป็นไปในอำนาจของตนได้ด้วยปัญญา ผู้มีปัญญาทรามหาสามารถไม่.
จริงอยู่ ผู้มีปัญญาทราม เป็นไปในอำนาจแห่งจิตที่เกิดขึ้น ดิ้นรนไปแล้วข้าง
นี้ และข้างโน้น 2-3 วัน ถึงความเป็นคฤหัสถ์ ประสบความฉิบหายมิใช่ประ
โยชน์ เพราะฉะนั้น พระเถระมีความคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เพื่อนพรหม
จรรย์ ไม่เป็นไปในอำนาจแห่งจิต ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจของตน ปราบ
ความเสพติดข้าศึกและความดิ้นรนทั้งหมดของจิตนั้น ไม่ให้ออกไปภาย
นอก แม้เล็กน้อย. เจริญวิปัสสนา พึงทำให้แจ้งซึ่งโลกุตตรธรรม เพราะ
ฉะนั้น จึงพยากรณ์แล้วอย่างนี้.
บทว่า สพฺเพสํ โว สารีปุตฺต สุภาสิตํ ปริยาเยน ความว่า ดูก่อนสารี-
บุตร เหตุแห่งความงามด้วยพวกภิกษุ ผู้ยินดีในฌานบ้าง ผู้ได้ทิพยจักษุ
บ้าง ผู้ธุดงควาทะบ้าง ผู้นักอภิธรรมบ้าง ผู้ไม่เป็นไปในอำนาจแห่ง
จิตบ้าง สำหรับสังฆารามมีอยู่. เพราะฉะนั้น คำของพวกเธอทั้งหมดเป็น
สุภาษิต โดยปริยาย คือเป็นสุภาษิตด้วยเหตุนั้นแล หาเป็นทุพภาษิตไม่. บท

ว่า อปิจ มมาปิ สุณาถ ความว่า อีกอย่างหนึ่ง พวกเธอจงฟังคำของเรา.
บทว่า น ตาวาหํ อิมํ ปลฺลงฺกํ ภินฺทิสฺสามิ ความว่า เราตั้งความเพียรมีองค์
4 นี้แล้วจักไม่ทำลาย คือจักไม่เลิก นั่งขัดสมาธิเพียงนั้น. ได้ยินว่า พระผู้
มีพระภาคเจ้า ทรงละสิริราชสมบัตินี้ได้ด้วยพระญาณอันแก่กล้า ทรงออก
ภิเนษกรมณ์ เสด็จขึ้นโพธิมณฑล โดยลำดับ ทรงตั้งความเพียรมีองค์ 4
ประทับนั่งขัดสมาธิ เป็นการชัยชนะ มีพระทัยมั่น ทรงทำลายล้างสมองของ
มารทั้ง 3 แล้ว ทรงยังหมื่นโลกธาตุให้บันลืออยู่ ทรงแทงตลอดพระ
สัพพัญญุตญาณ ในเวลาใกล้รุ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอามหาโพธิ-
บัลลังก์นั้นของพระองค์ จึงตรัสอย่างนี้. อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาค
เจ้า แม้เมื่อทรงอนุเคราะห์ชนผู้เกิดในภายหลัง ทรงแสดงข้อปฏิบัติอันเป็น
สาระแก่กัลยาณปุถุชน จึงตรัสอย่างนี้. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเห็น
ว่า ในอนาคตกุลบุตรผู้มีอัชฌาสัยอย่างนี้ จักสำเหนียกเห็น ด้วยประการ
ฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อตรัสมหาโคสิงคสูตร จึงตรัสว่า ดูก่อนสารี-
บุตร ภิกษุในศาสนานี้ในภายหลังภัต... ดูก่อนสารีบุตรป่าโคสิงคสาลวัน
พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.. ภิกษุทั้งหลายคิดว่า พวกเราจักถือเอา
อัชฌาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ กลับจากบิณฑบาตในภายหลังภัต
ตั้งความเพียรมีองค์ 4 มีใจแน่วแน่ จักสำคัญสมณธรรม อันตนควรทำ
ว่า พวกเรายังไม่บรรลุอรหัต จักไม่ทำลายการนั่งขัดสมาธินี้ดังนี้ ภิกษุเหล่า
นั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ จักทำที่สุดแห่งชาติ ชรา และมรณะได้โดยวันเล็กน้อย
เท่านั้น ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงอนุเคราะห์ชนผู้เกิดภายหลัง
นี้ ทรงแสดงข้อปฏิบัติอันเป็นสาระแก่กัลยาณปุถุชน จึงตรัสอย่างนี้. บท
ว่า เอวรูเปน โข สารีปุตฺต ภิกฺขุนา โคสิงฺคสาลวนํ โสเภยฺย ความว่า ดูก่อน
สารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวันพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้โดยตรงแล จบพระ
ธรรมเทศนาด้วยอนุสนธิดังนี้แล.
จบอรรถกถามหาโคสิงคสาลสูตร ที่ 2

3. มหาโคปาลสูตร


[383] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ในเชตวนารามของ
อนาถบิณฑิกคฤหบดี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้น พระองค์ได้ตรัสเรียกภิกษุทั้ง
หลายว่า ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นได้ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ.

องค์เป็นเหตุไม่เจริญ 11 ประการ


[384] พระองค์ตรัสธรรมปริยายนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย นายโคบาลประ
กอบด้วยองค์ 1 ประการแล้ว ไม่ควรจะรักษาหมู่โคและทำหมู่โคให้เจริญ
ได้. องค์ 11 ประการนั้นเป็นไฉน. นายโคบาลในโลกนี้ 1. เป็นผู้ไม่รู้
จักรูป 2. เป็นไม่ฉลาดในลักษณะ 3. เป็นผู้ไม่เขี่ยไข่ขางออกเสีย 4. เป็นผู้
ไม่ปิดแผล 5. เป็นผู้ไม่สุมควัน 6. ไม่รู้จักท่า 7. ไม่รู้จักให้ดื่ม 8. ไม่รู้จัก
ทาง 9. เป็นผู้ไม่ฉลาดในตำบลที่โคเที่ยวหากิน 10. เป็นผู้รีดน้ำนมเสียหมด
ไม่มีส่วนเหลือไว้ 11. เป็นผู้ไม่ปรนปรือเหล่าโคอุสุภ (คือดีกว่าโคทั้งปวง)
อันเป็นพ่อฝูงเป็นผู้นำฝูงด้วยการปรนปรือเป็นพิเศษ. นายโคบาลประกอบ
ด้วยองค์ 11 ประการเหล่านี้แล้ว ไม่ควรจะรักษาหมู่โคให้เจริญได้.
ภิกษุก็เหมือนกัน ประกอบด้วยองค์ 11 ประการแล้ว ไม่ควรจะถึง
ความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้. องค์ 11 ประการเป็น
ไฉน. ภิกษุในศาสนานี้ 1. เป็นผู้ไม่รู้จักรูป 2. เป็นผู้ไม่ฉลาดในลักษณะ
3. เป็นผู้ไม่เขี่ยไข่ขางออกเสีย 4. เป็นผู้ไม่ปิดแผล 5. เป็นผู้ไม่สุมควัน