เมนู

ภายใน มีฌานอันไม่เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[378] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อท่านพระเรวตะกล่าวอย่างนี้แล้ว
ข้าพระองค์ได้กล่าวกะพระอนุรุทธะว่า ท่านอนุรุทธะ ปฏิภาณตามที่เป็นของ
ตน ท่านเรวตะพยากรณ์แล้ว บัดนี้ เราขอถามท่านอนุรุทธะในข้อนั้นว่า
ป่าโคสิงคสาลวันเป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละมีดอกบาน
สะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ท่านอนุรุทธะ ป่าโคสิงคสาลวัน
จะพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานไร เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่าน
พระอนุรุทธะได้ตอบข้าพระองค์ว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุในพระศาสนานี้
ย่อมตรวจดูโลกพันหนึ่งด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีจักษุ ขึ้นปราสาทอันงดงามชั้นบน พึงแลดูมณฑล
แห่งกงตั้งพันได้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมตรวจดูโลกพันหนึ่งด้วย
ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ท่านสารีบุตรป่าโคสิงคสาลวัน
พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดีละ ดีละ สารีบุตร อนุรุทธะ เมื่อจะ
พยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์ตามนั้น ด้วยว่า อนุรุทธะ ย่อมตรวจดูโลก
ตั้งพันด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์.

สรรเสริญภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร


[379] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อท่านพระอนุรุทธะกล่าวอย่างนี้แล้ว
ข้าพระองค์ได้กล่าวกะท่านพระมหากัสสปะว่า ท่านกัสสปะ ปฏิภาณตามที่
เป็นของตน ท่านพระอนุรุทธะพยากรณ์เล้ว บัดนี้ เราขอถามท่านมหากัสสปะ
ในข้อนั้นว่า ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง
ไม้สาละมีดอกบานสะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ท่านกัสสปะ

ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานไร เมื่อข้าพระองค์กล่าว
อย่างนี้แล้ว ท่านพระมหากัสสปะ. ได้ตอบข้าพระองค์ว่า ท่านสารีบุตร
ภิกษุในพระศาสนานี้ ตนเองอยู่ในป่าเป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่ง
ความเป็นผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรด้วย ตนเองถือผ้าบังสกุลเป็นวัตร และ
กล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้ถือผ้าบังสกุลเป็นวัตรด้วย ตนเองเป็นผู้ถือ
ไตรจีวรเป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้ถือไตรจีวรเป็นวัตร
ด้วย ตนเองเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความ
เป็นผู้มีความปรารถนาน้อยด้วย ตนเองเป็นผู้สันโดษ และกล่าวสรรเสริญ
คุณแห่งความสันโดษด้วย ตนเองเป็นผู้สงัด และกล่าวสรรเสริญคุณแห่ง
ความสงัดด้วย ตนเองเป็นผู้ไม่คลุกคลี และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความ
ไม่คลุกคลีด้วย ตนเองเป็นผู้ปรารภความเพียร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่ง
การปรารภความเพียรด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล และกล่าว
สรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อมด้วยศีลด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วย
สมาธิ และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อมด้วยสมาธิด้วย ตนเองเป็นผู้ถึง
พร้อมด้วยปัญญา และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อมด้วยปัญญาด้วย
ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติ และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อม
ด้วยวิมุตติด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ และกล่าว
สรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสะด้วย ท่านสารีบุตร
ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดีละ ดีละ สารีบุตร กัสสปะ เมื่อจะ
พยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์ตามนั้นด้วยว่ากัสสปะ ตนเองเป็นผู้อยู่ในป่า
เป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
ด้วย ตนเองถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้ถือ

ผ้าบังสุกุลเป็นวัตรด้วย ตนเองถือไตรจีวรเป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณ
แห่งความเป็นผู้ถือไตรจีวรเป็นวัตรด้วย ตนเองเป็นผู้มีความปรารถนา
น้อย และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยด้วย
ตนเองเป็นผู้สันโดษ และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้สันโดษ
ด้วย ตนเองเป็นผู้สงัด และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้สงัดด้วย
ตนเองเป็นผู้ไม่คลุกคลี และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความไม่คลุกคลีด้วย
ตนเองเป็นผู้ปรารภความเพียร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการปรารภความ
เพียรด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึง
พร้อมด้วยศีลด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิ และกล่าวสรรเสริญคุณ
แห่งความถึงพร้อมด้วยสมาธิด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา และ
กล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อมด้วยปัญญาด้วยตนเองเป็นผู้ถึงพร้อม
ด้วยวิมุตติ และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อมด้วยวิมุตติด้วย ตนเอง
ผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึง
พร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะด้วย.
[380] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อท่านพระมหากัสสปะกล่าวอย่างนี้
แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกะท่านมหาโมคคัลลานะว่า ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ
ปฏิภาณตามที่เป็นของตน ท่านพระมหากัสสปะพยากรณ์แล้ว บัดนี้
เราจะขอถามท่านมหาโมคคัลลานะในข้อนั้นว่า ป่าโคสิงคสาลวันเป็นสถาน
น่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละมีดอกบานสะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้าย
ทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ดูก่อนท่านมหาโมคคัลลานะป่าโคสิงคสาลวันจะพึงงามด้วย
ภิกษุเห็นปานไร เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ได้ตอบข้าพระองค์ว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร ภิกษุ 2 รูปในพระศาสนานี้
กล่าวอภิธรรมกถา เธอทั้ง 2 นั้นถามกันและกัน ถามปัญหากันแล้วย่อมแก้

กันเองไม่หยุดพักด้วย และธรรมกถาของเธอทั้ง 2 นั้น ย่อมเป็นไปด้วย
ดูก่อนท่านสารีบุตรป่าโคสิงคสาลวันพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดีละ ดีละ สารีบุตร โมคคัลลานะ เมื่อจะ
พยากรณ์โดยชอบพึงพยากรณ์ตามนั้น ด้วยว่าโมคคัลลานะเป็นธรรมกถึก

สรรเสริญสมาบัติอีก


[381] เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านพระมหาโมคคัล-
ลานะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์เจริญ ในลำดับต่อ
ไป ข้าพระองค์ได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร
ปฏิภาณตามที่เป็นของตน เราทั้งหมดพยากรณ์แล้ว บัดนี้เราจะขอถามท่าน
สารีบุตรในข้อนั้นว่า ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง
ไม้สาละมีดอกบานสะพรั่งทั่วตัว กลิ่นคล้ายทิพย์ย่อมฟุ้งไป ดูก่อนท่านสารี-
บุตร ป่าโคสิงคสาลวันจะพึงงามด้วย ภิกษุเห็นปานไร เมื่อข้าพระองค์กล่าว
อย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้ตอบข้าพระองค์ว่า ดูก่อนท่านมหาโมคคัล-
ลานะ ภิกษุในพระศาสนานี้ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ และไม่เป็นตาม
อำนาจของจิต เธอหวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเช้า ก็อยู่ด้วยวิหารสมา-
บัตินั้นได้ในเวลาเช้า เธอหวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเที่ยง ก็อยู่ด้วย
วิหารสมาบัตินั้นได้ในเวลาเที่ยง เธอหวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลา
เย็น ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัติในเวลาเย็น เปรียบเหมือนหีบผ้าของพระราชา
หรือราชมหาอำมาตย์ ซึ่งเต็มด้วยผ้าที่ย้อมเป็นสีต่าง ๆ พระราชาหรือ
ราชมหาอำมาตย์นั้น หวังจะห่มคู่ผ้าชนิดใดในเวลาเช้า ก็ห่มคู่ผ้าชนิดนั้นได้ใน
เวลาเช้า หวังจะห่มคู่ผ้าชนิดนั้น นั้นได้ในเวลาเย็นฉันใด ภิกษุยังจิตให้เป็นไปใน
อำนาจ และไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต เธอหวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดใน