เมนู

เป็นแดนเกิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารทั้งหลายนี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไร
เป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด สังขารทั้งหลาย มีอวิชชาเป็น
เหตุ มีอวิชชาเป็นสมุทัย มีอวิชชาเป็นชาติ มีอวิชชาเป็นแดนเกิด ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย วิญญาณมี เพราะสังขาร
เป็นปัจจัย นามรูปมีเพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย สฬายตนะมีเพราะนามรูป
เป็นปัจจัย ผัสสะมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย เวทนามีเพราะผัสสะ
เป็นปัจจัย ตัณหามี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย อุปทานมีเพราะตัณหาเป็น
ปัจจัย ภพมีเพราะอุปทานเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ด้วย
ประการฉะนี้แล ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้.

นัยอันเป็นปัจจัย



[447] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ก็ข้อว่า ชราและมรณะมี เพราะ
ชาติเป็นปัจจัย ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะชาติเป็น
ปัจจัยนั่นแล ชราและมรณะจึงมี ในข้อนี้เป็นอย่างนี้หรือๆ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะชาติเป็นปัจจัย
ชราและมรณะจึงมีในข้อนี้ มีความเป็นอย่างนี้แล.
พ. ก็ข้อว่า ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้วว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะภพเป็นปัจจัยนั่นแล ชาติจึงมี ในข้อนี้เป็นอย่างนี้
หรือ ๆ เป็นอย่างไร
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี ในข้อนี้
มีความเป็นอย่างนี้แล.

พ. ก็ข้อว่า ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้ว
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยนั่นแล ภพจึงมี ในข้อ
นี้ เป็นอย่างนี้หรือๆ เป็นอย่างไร
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี ในข้อนี้
มีความเป็นอย่างนี้แล.
พ. ก็ข้อว่า อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้ว
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะตัณหาเป็นปัจจัยนั่นแล อุปาทานจึงมี ในข้อ
นี้ เป็นอย่างนี้หรือๆ เป็นอย่างไร
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
ในข้อนี้มีความเป็นอย่างนี้แล.
พ. ก็ข้อว่า ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้ว
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเวทนาเป็นปัจจัยนั่นแล ตัณหาจึงมี ในข้อ
นี้ เป็นอย่างนี้หรือๆ เป็นอย่างไร
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี ในข้อนี้
มีความเป็นอย่างนี้แล.
พ. ก็ข้อว่า เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้ว
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะผัสสะเป็นปัจจัยนั่นแล เวทนาจึงมี ในข้อ
นี้ เป็นอย่างนี้ หรือๆ เป็นอย่างไร
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยเวทนาจึงมี ในข้อนี้
มีความเป็นอย่างนี้แล.
พ. ก็ข้อว่า ผัสสะมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้ว
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยนั่นแล ผัสสะจึงมี ในข้อ
นี้ เป็นอย่างนี้หรือๆ เป็นอย่างไร

ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมีใน
ข้อนี้ มีความเป็นอย่างนี้แล.
พ. ก็ข้อว่า สฬายตนะมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ดังนี้นั้น เรากล่าว
แล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะนามรูปเป็นปัจจัยนั่นแล สฬายตนะจึง
มี ในข้อนี้เป็นอย่างนี้หรือๆ เป็นอย่างไร
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึง
มี ในข้อนี้ มีความเป็นอย่างนี้แล.
พ. ก็ข้อว่า นามรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้ว
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยนั่นแล นามรูปจึงมี ในข้อ
นี้ เป็นอย่างนี้หรือๆ เป็นอย่างไร
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
ในข้อนี้ มีความเป็นอย่างนี้แล.
พ. ก็ข้อว่า วิญญาณมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้ว
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะสังขารเป็นปัจจัยนั่นแล วิญญาณจึงมี ในข้อ
นี้ เป็นอย่าง นี้หรือๆ เป็นอย่างไร
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
ในข้อนี้มีความเป็นอย่างนี้แล.
พ. ก็ข้อว่า สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้นั้น เรากล่าวแล้ว
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นแล สังขารจึงมี ในข้อ
นี้ เป็นอย่างนี้หรือๆ เป็นอย่างไร
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี ในข้อ
นี้ มีความเป็นอย่างนี้แล.

[448] พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่กล่าวนั้น ถูกละ พวกเธอกล่าว
อย่างนั้น แม้เราก็กล่าวอย่างนั้น เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้ก็มี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น
สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น คือ เพราะอวิชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เพระสังขารเป็น
ปัจจัย วิญญาณจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี เพราะนามรูปเป็น
ปัจจัย สฬายตนะจึงมี เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี เพราะผัสสะ
ปัจจัย เวทนาจึงมี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี เพราะตัณหาเป็น
ปัจจัย อุปาทานจึงมี เพราะอุปานทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี เพราะภพเป็น
ปัจจัย ชาติจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาสจึงมี ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้นย่อมมีได้อย่างนี้ เพราะ
อวิชชาดับหมดมิได้เหลือ สังขารก็ดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะ
สฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนา
ดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปทานจึงดับ เพราะอุปทานดับ ภพจึง
ดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็ดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้
อย่างนี้.

นัยแห่งความดับ



[449] ก็ข้อว่า เพราะชาติดับ ชรา มรณะ ก็ดับ ดังนี้นั้น เรากล่าว
แล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะชาติดับนั่นแล ชรา มรณะ จึงดับ ในข้อ
นี้ เป็นอย่างนี้หรือ เป็นอย่างไร
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ ก็ดับ ในข้อ
นี้ มีความเป็นอย่างนี้แล.