เมนู

อรรถกถานิวาปสูตร


นิวาปสูตรเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้:-
พึงทราบวินิจฉัยในนิวาปสูตรนั้น ดังต่อไปนี้ ผู้ใดย่อมปลูกพืชคือ
หญ้าไว้ในป่าเพื่อต้องการจะจับเนื้อด้วยตั้งใจว่า เราจะจับพวกเนื้อที่มากินหญ้า
นี้ได้สะดวก ผู้นั้น ชื่อว่า เนวาปิกะ. บทว่า นิวาปํ ได้แก่ พืชที่พึงปลูก.
บทว่า นิวุตฺตํ ได้แก่ ปลูก. บทว่า มิคชาตา ได้แก่ ชุมเนื้อ. บทว่า
อนุปขชฺช แปลว่า ไม่เข้าไปเบียดเบียน. บทว่า มุจฺฉิตา ได้แก่ สยบด้วย
อำนาจตัณหา อธิบายว่า หยั่งเข้าไปสู่หทัยด้วยตัณหาแล้วให้ถึงอาการสยบ.
บทว่า มทํ อาปชฺชิสฺสนฺติ ได้แก่ จักถึงความมัวเมาด้วยอำนาจมานะ.
บทว่า ปมาทํ ได้แก่ภาวะ คือความเป็นผู้มีสติหลงลืม. บทว่า ยถากาม-
กรณียา ภวิสฺสนฺติ
ความว่า เราปรารถนาโดยประการใด จักต้องกระทำ
โดยประการนั้น. บทว่า อิมสฺมึ นิวาเป ได้แก่ ในที่เป็นที่เพาะปลูกนี้.
ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่าหญ้าที่เพาะปลูกไว้นี้ มีความงอกงามในฤดูแล้งก็มี. ฤดูแล้ง
ย่อมมีโดยประการใด ๆ หญ้านั้นย่อมเป็นกลุ่มทึบอันเดียวกันเหมือนหญ้าละมาน
และเหมือนกลุ่มเมฆโดยประการนั้นๆ. พวกพรานไถในที่สำราญด้วยน้ำแห่งหนึ่ง
แล้วปลูกหญ้านั้น กั้นรั้วประกอบประตูรักษาไว้. ครั้นเมื่อใดในเวลาแล้งจัด
หญ้าทุกชนิดย่อมขาว น้ำเพียงชุ่มลิ้นก็หาได้ยาก ในเวลานั้นเนื้อทั้งหลาย
พากันกินหญ้าขาวและใบไม้เก่า ๆ เที่ยวไปอย่างหวาดกลัวอยู่ ดมกลิ่นหญ้าที่
เพาะปลูกไว้ ไม่คำนึงถึงการฆ่าและการจับเป็นต้น ข้ามรั้วเข้าไป. จริงอยู่
หญ้าที่เพาะปลูกไว้ย่อมเป็นที่รัก ที่ชอบใจอย่างยิ่งของพวกเนื้อเหล่านั้น. เจ้าของ
หญ้าเห็นพวกเนื้อเหล่านั้น ทำเป็นเหมือนเผลอไป 2-3 วัน เปิดประตูไว้ใน

ภายในที่เพาะปลูก แม้บ่อน้ำก็มีในที่นั้น ๆ พวกเนื้อเข้าไปทางประตูที่เปิดไว้
กินและดื่มเท่านั้นก็หลีกไป. ในวันรุ่งขึ้นก็ไม่มีใครทำอะไร ๆ เพราะฉะนั้น
จึงกระดิกหูกินดื่มแล้วไม่รีบไป. วันรุ่งขึ้นไม่มีใครทำอะไร กิน ดื่มตามพอใจ
เข้าไปนอนยังสุมทุมพุ่มไม้. พวกพรานรู้ว่าเนื้อเผลอ ก็ปิดประตูล้อมไว้ทุบตี
ตั้งแต่ชายป่าไป. เนื้อเหล่านั้นถูกเจ้าของหญ้ากระทำได้ตามชอบใจในป่าหญ้า
นั้นด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ตตฺร ภิกฺขเว ได้แก่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เนื้อ
เหล่านั้น. บทว่า ปฐมา มิคชาตา ได้แก่ขึ้นชื่อว่าหมู่เนื้อที่หนึ่งและที่สอง
ย่อมไม่มี. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดตามลำดับหมู่เนื้อที่มาถึง แสดง
ระบุชื่อว่า เนื้อที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่. บทว่า อิทฺธานุภาวา ได้แก่
เพราะจะต้องกระทำตามประสงค์. จริงอยู่ ความเป็นผู้เชี่ยวชาญนั่นแล ท่าน
ประสงค์เอาว่าฤทธิ์ และว่าอำนาจในที่นี้. บทว่า ภยโภคา ได้แก่ จากการ
บริโภคด้วยความกลัว. บทว่า พลวิริยํ ได้แก่ วาโยธาตุที่พัดไปมา อธิบายว่า
วาโยธาตุ นั้นหายไป. บทว่า อุปนิสฺสาย อาสยํ กปฺเปยฺยาม ความว่า
เมื่อพวกเนื้อนอนกินในภายในก็ดี มาแต่ภายนอกเคี้ยวกินก็ดี ย่อมมีแต่ความ
กลัวเท่านั้น เนื้อเหล่านั้นคิดว่า ก็พวกเราอาศัยที่เพาะปลูกโน้น จึงอยู่อาศัย
ณ ที่แห่งหนึ่ง. บทว่า อุปนิสฺสาย อาสยํ กปฺปยึสุ ความว่า ขึ้นชื่อว่า
พวกพรานย่อมไม่มีความพลั้งเผลอทุก ๆ เวลา พวกเนื้ออาศัยที่เพาะปลูก (ไร่
ผักหญ้า) ด้วยตั้งใจว่า พวกเรานอนในสุมทุมพุ่มไม้ และเชิงรั้วในที่นั้น ๆ เมื่อ
พรานเหล่านั้นหลีกไปล้างหน้า หรือไปกินอาหาร จึงเข้าไปสู่ที่เพาะปลูก
พอกิน ดื่มเสร็จแล้วก็เข้าไปสู่ที่อยู่ของตน แล้วอาศัยอยู่ในที่รกชัฏมีพุ่มไม้และ
เชิงรั่วเป็นต้น. บทว่า ภุญฺชึสุ ได้แก่ รู้เวลาที่พวกพรานพลั้งเผลอโดยนัย
ดังกล่าวแล้ว ตะลีตะลานเข้าไปกิน. บทว่า เกฏุภิโน ได้แก่ เกราฏิกศาสตร์

ที่ศึกษามา. บทว่า อิทฺธิมนฺตา แปลว่า เหมือนผู้มีฤทธิ์. บทว่า ปรชนา
ได้แก่ ยักษ์ ยักษ์เหล่านี้ไม่ใช่เนื้อ. บทว่า อาคตึ วา คตึ วา ได้แก่
พวกเราไม่รู้ความคิดของพรานเหล่านั้นดังนี้ว่า พวกเนื้อเหล่านี้ย่อมมาทางที่
ชื่อนี้ ไปในที่โน้น. บทว่า ทณฺฑวาคุราหิ ได้แก่ ข่าย คือท่อนไม้และ
ไม้ค้อน. บทว่า สมนฺตาสปฺปเทสมนุปริวาเรสุํ ความว่า คนปลูกฝักมี
มายามาก คิดว่า เนื้อเหล่านี้ จักไม่ไปไกล จักนอนอยู่ในที่ไกล้นี่แหละ จึง
ล้อมถิ่นที่ของตนคือโอกาสที่ใหญ่รอบไร่ผัก บทว่า อทฺทสาสุํ ความว่า ล้อม
อย่างนี้แล้วก็เขย่าข่ายโดยรอบจ้องดู. บทว่า ยตฺถ เต ได้แก่ พวกพราน
เหล่านั้นได้ไปจับในที่ใด ได้เห็นที่นั้น. บทว่า ยนฺนูน มยํ ยตฺถ อคติ
ความว่า ได้ยินว่า พรานเหล่านั้นคิดอย่างนี้ว่า พวกเนื้อที่นอนกินอยู่ภายใน
ก็ดี มาจากภายนอกกินอยู่ก็ดี อยู่ในที่ใกล้กินอยู่ก็ดี ย่อมมีความกลัวทั้งนั้น
จริงอยู่ แม้เนื้อเหล่านั้นถูกล้อมจับด้วยข่าย เพราะฉะนั้น เนื้อเหล่านั้นจึงคิด
ดังนี้ว่า ถ้ากระไร เราจะพึงนอนในที่ที่พวกทำไร่และคนของพวกทำไร่ไม่ไปไม่
อยู่ บทว่า อญฺเญ ฆฏฺเฏสฺสนฺติ ได้แก่ เบียดเนื้ออื่น ๆ ที่อยู่ไกลแต่ที่
นั้น ๆ. บทว่า เต ฆฏฺฏิตา อญฺเญ ได้แก่ เนื้อที่ถูกเบียดเหล่านั้นก็จะ
ถูกเบียดตัวอื่น ๆ ที่อยู่ไกลกว่านั้น. บทว่า เอวํ อิมํ นิวาปํ นิวุตฺตํ
สพฺพโส มิคชาตา ริญฺจิสฺสนฺติ
ได้แก่ ชุมเนื้อหมู่เนื้อทั้งหมดจักละทิ้ง
ไร่ผักที่พวกเราปลูกไว้. บทว่า อชฺฌุเปกฺเขยฺยาม ได้แก่ พึงขวนขวาย
จับเนื้อเหล่านั้น. ก็เมื่อเนื้อทั้งหลายพากันมาด้วยอาการอย่างไรก็ตาม พวกเรา
ก็จะได้ลูกเนื้อบ้าง เนื้อแก่บ้าง เนื้อกำลังน้อยบ้าง เนื้อพลัดฝูงบ้าง เมื่อไม่มา
ย่อมไม่ได้อะไร ๆ. บทว่า อชฺฌุเปกฺขึสุ โข ภิกฺขเว ได้แก่ คิดอย่างนี้
แล้วจึงได้ขวนขวาย.

ในคำว่า อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ นี้
คำว่า นิวาปะก็ดี คำว่า โลกามิสานิก็ดี เป็นชื่อของกามคุณ 5 ที่เป็นเหยื่อ
ของวัฏฏะ. ก็มารมิได้เที่ยวหว่านกามคุณเหมือนพืช แต่แผ่อำนาจคลุมผู้ที่ยินดี
ในกามคุณ. ฉะนั้น กามคุณจึงชื่อว่า เป็นเหยื่อล่อของมาร. เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส ดังนี้. บทว่า น ปริมุจฺจึสุ
มารสฺส อิทฺธานุภาวา
ได้แก่ เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของมาร ถูกมารกระทำได้
ตามชอบใจ. นี้เป็นการเปรียบเทียบด้วยการบรรพชาพร้อมด้วยบุตรและภรรยา.
ชื่อว่า เจโตวิมุตติ ในคำว่า เจโตวิมุตติ ปริหายิ นั้น ได้แก่ อัธยาศัย
ที่เกิดขึ้นว่า พวกเราจักอยู่ในป่า อธิบายว่า อัธยาศัยนั้นเสื่อมแล้ว. ข้อว่า
ตถูปเม อหํ ภิกฺขเว อิเม ทุติเย นี้เป็นการเปรียบเทียบด้วยการบรรพชา
ประกอบด้วยธรรมของพราหมณ์. จริงอยู่ พราหมณ์ทั้งหลายประพฤติโกมาร
พรหมจรรย์ 48 ปี คิดว่าจักสืบประเพณี เพราะกลัววัฏฏะขาด แสวงหาทรัพย์
ได้ภรรยา ครองเรือน เมื่อเกิดบุตรคนหนึ่ง คิดว่า เรามีบุตรแล้ว วัฏฏะ
ไม่ขาดแล้ว สืบประเพณีแล้ว จึงออกบวชอีกหรือมีเมียตามเดิม. บทว่า เอวํ
หิ เต ภิกฺขเว ตติยา สมณพฺรหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ
ความว่า สมณ-
พราหมณ์แม้เหล่านั้นไม่พ้นจากฤทธิ์ และอำนาจของมารเหมือนก่อน ได้เป็น
ผู้ถูกมารกระทำตามชอบใจ. ถามว่า ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทำอย่างไร.
ตอบว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นไปยังบ้านนิคมและราชธานี ให้สร้างอาศรม
อยู่ในอารามและสวนนั้น ๆ ให้เด็กในตระกูลทั้งหลายศึกษาศิลปะมีประการต่างๆ
เช่น ศิลปะช้าง ม้า และรถเป็นต้น . ดังนั้น สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกข่าย
คือทิฏฐิของมารผู้มีบาปรวบรัด ถูกมารกระทำได้ตามชอบใจ เหมือนฝูงเนื้อ
ที่สามที่ถูกล้อมด้วยตาข่าย.

ข้อว่า ตถูปเม อหํ ภิกฺขเว อิเม จตุตฺเถ นี้ เป็นเครื่องนำมาเปรียบเทียบ
ศาสนานี้. บทว่า อนฺธมกาสิ มารํ ความว่า ไม่ทำลายนัยน์ตาของมาร
แต่จิตของภิกษุผู้เข้าฌานซึ่งเป็นบาทของวิปัสสนา ย่อมอาศัยอารมณ์นี้เป็นไป
ฉะนั้น มารจึงไม่สามารถจะเห็นได้ ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า อนฺธมกาสิ
มารํ ดังนี้. บทว่า อปทํ วธิตฺวา มารจกฺขุํ ความว่า โดยปริยายนี้เอง
เธอจึงฆ่าโดยประการที่จักษุของมารไม่มีทางหมดหนทาง ไม่มีที่พึ่ง ปราศจาก
อารมณ์. บทว่า อทสฺสนํ ตโต ปาปิมโต ได้แก่ โดยปริยายนั้นเอง มาร
ผู้มีบาปจึงมองไม่เห็น. จริงอยู่ มารนั้นไม่สามารถจะมองเห็นร่าง คือญาณ
ของภิกษุผู้เข้าฌานซึ่งเป็นบาทของวิปัสสนานั้น ด้วยมังสจักษุของตนได้. บท
ว่า ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ ความว่า เพราะเห็น
อริยสัจ 4 ด้วยมรรคปัญญา อาสวะ 4 จึงสิ้นไป. บทว่า ติณฺโณ โลเก
วิสตฺติกํ
ได้แก่ ถึงการนับอย่างนี้ว่า วิสตฺติกา เพราะข้องอยู่และซ่านไป
ในโลก. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า วิสตฺติกา ความว่า ที่ชื่อว่า วิสตฺติกา
เพราะอรรถว่าอะไร ชื่อว่า วิสตฺติกา เพราะอรรถว่า ซ่านไป แผ่ไป ขยาย
ไปไพบูลย์ กว้างขวาง ปราศจากความสามารถ นำสิ่งที่เป็นพิษมา มีวาทะ
เป็นพิษ มีรากเป็นพิษ มีผลเป็นพิษ มีเครื่องบริโภคเป็นพิษ ก็หรือว่า
ตัณหานั้นกว้างขวาง ในรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า วิสตฺติกา. ผู้ข้าม ข้ามออก ข้ามขึ้นซึ่งตัณหา ซึ่งนับว่า
วิสตฺติกา ด้วยประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ติณฺโณ
โลเก วิสตฺติกํ
ดังนี้.
จบอรรถกถานิวาปสูตรที่ 5

6. ปาสราสิสูตร


[312] ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงนุ่งสบงถือบาตรจีวร เสด็จเข้าไปยังกรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต. ครั้ง
นั้น ภิกษุหลายรูปเข้าไปหาท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านอานนท์ พวกข้าพเจ้า
ได้ฟังธรรมีกถา เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเวลานานมาแล้ว ขอ
ให้พวกข้าพเจ้าได้ฟังธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด.
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ขอพวกท่านจงไปสู่อาศรมของ
พราหมณ์ชื่อรัมมกะ จึงจะได้ฟังธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ภิกษุเหล่านั้น ได้รับคำท่านพระอานนท์แล้ว.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตที่กรุงสาวัตถี กลับ
จากบิณฑบาตในเวลาปัญจฉาภัตนี้แล้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า
อานนท์เราจะไปพักผ่อนกลางวันที่ปราสาทแห่งมิคารมารดา (นางวิสาขา) ที่
บุพพาราม. ท่านพระอานนท์ได้ทูลรับพระดำรัสแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้ากับ
ท่านพระอานนท์ได้เสด็จไปพักผ่อนกลางวันที่ปราสาทแห่งมิคารมารดาที่บุพ-
พาราม เวลาเย็นเสด็จออกจากที่พักผ่อนแล้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาตรัส
ว่า อานนท์ เรามาไปสรงน้ำที่ท่าบุพพโกฏฐกะ1 ท่านพระอานนท์ได้ทูลรับ
พระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้ากับท่านพระอานนท์ได้เสด็จไปสรงน้ำที่ท่า
บุพพโกฏฐกะ. สรงเสร็จแล้วจึงกลับขึ้นมาทรงจีวรผืนเดียวประทับยืนผึ่งพระองค์
อยู่. ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า พระเจ้าข้าอาศรมของพราหมณ์ชื่อรัมมกะอยู่
1. ท่าอาบน้ำตั้งอยู่ด้านปราจีน มีหาดทราบขาวสะอาดเป็นที่อาบน้ำ 4 ที่ สำหรับ
กษัตริย์ ชาวเมือง พวกภิกษุ และพระพุทธเจ้า ไม่อาบรวมกัน.