เมนู

อรรถกถาวิตักกสัณฐานสูตร


วิตักกสัณฐานสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในบทเหล่านั้น บทว่า อธิจิตฺตมนุยุตฺเตน ความว่า
จิตที่เกิดขึ้น ด้วยกุศลกรรมบถ 10 อย่าง เป็นจิตเท่านั้น จิตในสมาบัติ 8 มี
วิปัสสนาเป็นบาท เป็นจิตยิ่งกว่าจิตนั้น เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสเรียกจิตนั้นว่า อธิจิต.
บทว่า อนุยุตฺเตน ได้แก่ หมั่นประกอบอธิจิตนั้น อธิบายว่า
ประกอบแล้ว ขวนขวายแล้วในอธิจิต. ในข้อนั้นภิกษุเที่ยวไปบิณฑบาตใน
เวลาปุเรภัต กลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต แล้วถือเอาผ้านิสีทนะออก
ไปด้วยคิดว่า เราจักทำสมณธรรมที่โคนต้นไม้โน้น หรือที่ไพรสณฑ์ หรือว่า
ที่เชิงเขา หรือว่าที่เงื้อมเขา ดังนี้ แล้วก็นำหญ้าใบไม้ออกจากที่สำหรับ
ประกอบอธิจิต ก็ครั้นเธอล้างมือและเท้าแล้วก็มานั่งคู้บัลลังก์ ถือเอามูลกรรม
ฐาน ประกอบเนือง ๆ อยู่ซึ่งอธิจิตนั่นแหละ.
คำว่า นิมิต ได้แก่ การณะ (คือ เหตุ).
คำว่า ตามกาลเวลาอันสมควร ได้แก่ ตามสมัยอันสมควร.
ถามว่า ก็ธรรมดาว่า กรรมฐานนั้นพระโยคีมิได้ทอดทิ้งแม้สักครู่
หนึ่ง คือ มนสิการติดต่อกัน ไป มิใช่หรือ เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสคำว่า ตามกาลเวลาอันสมควร ดังนี้.
ตอบว่า ก็เพราะพระบาลีจำแนกกรรมฐานไว้ 38 ในกรรมฐานเหล่า
นั้น ภิกษุผู้นั่งปฏิบัติกรรมฐาน จำเดิมแต่อุปกิเลสอะไร ๆ ยังมิได้เกิดขึ้น
กิจที่จะต้องมนสิการด้วยนิมิตอื่น ๆ ยังมิได้มีก่อน แต่เมื่อใดกิเลสเกิดขึ้น เธอ

ก็พึงถือเอานิมิตทั้งหลาย นำกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตออกไป พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
เห็นเหตุนั้น จึงตรัสอย่างนี้.

ว่าด้วยเขตแดน และอารมณ์ของอกุศลวิตก


พึงทราบเขตแดน และ อารมณ์ของวิตกเหล่านี้ คือ :-
วิตกที่ประกอบด้วย ฉันทะ
วิตกที่สหรคตด้วย ฉันทะ
วิตกที่สัมปยุตด้วย ราคะ
ในสามอย่างนั้น จิตอันสหรคตด้วยโลภะ 8 ดวง เป็นเขตแดนของ
วิตกที่ประกอบด้วยฉันทะ จิตที่สหรคตด้วยโทสะ 2 ดวง เป็นเขตแดนของ
วิตกที่ประกอบด้วยโทสะ อกุศลจิต 12 ดวง เป็นเขตแดนของวิตกที่ประกอบ
ด้วยโมหะ. แต่ว่าจิตที่สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉาและอุทธัจจะ เป็นเขตแดนเฉพาะ
บุคคลผู้มีวิตกอันสัมปยุตด้วยวิจิกิจฉาและอุทธัจจะเท่านั้น. สัตว์ทั้งหลายและ
สังขารทั้งหลาย แม้ทั้งหมด ก็เป็นอารมณ์ของวิตกได้ทั้งนั้น เพราะว่า เมื่อ
ภิกษุไม่เพ่งดูอารมณ์ที่ชอบและที่ไม่ชอบแล้ว วิตกในสัตว์และสังขารเหล่านั้น
ก็ไม่เกิดขึ้น.

ว่าด้วยมนสิการนิมิตอื่น ๆ


คำว่า ภิกษุนั้น ควรมนสิการนิมิตอื่นอันประกอบด้วยกุศล
ได้แก่ ควรมนสิการนิมิตอันอาศัยกุศลอื่น โดยเว้นจากอกุศลนิมิตนั้น.
ในข้อนั้น ชื่อว่า นิมิตอื่น คือเมื่อวิตกประถอบด้วยฉันทะเกิดขึ้นใน
สัตว์ทั้งหลาย การเจริญอสุภะ (อสุภสัญญา) ชื่อว่า นิมิตอื่น เมื่อวิตกเกิด
ขึ้นพอใจในสังขารทั้งหลาย (มีจีวรเป็นต้น ) มนสิการถึงความเป็นของไม่เที่ยง
(อนิจจสัญญา) ชื่อว่า นิมิตอื่น. ก็เมื่อวิตกประกอบด้วยโทสะในสัตว์ทั้งหลาย
เกิดขึ้น การเจริญเมตตา ชื่อว่า นิมิตอื่น. เมื่อวิตกในสังขารทั้งหลายเกิดขึ้น