เมนู

อรรถกถาวนปัตถปริยายสูตร


วนปัตถปริยานสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ :-
บทว่า วนปตฺถปริยายํ ได้แก่ เหตุของการอยู่ป่าชัฏหรือ การแสดง
การอยู่ป่าชัฏ. บทว่า วนปตฺถํ นิสฺสาย วิหรติ ความว่า ภิกษุอาศัย
เสนาสนะในราวป่า อันพ้นจากสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ ประพฤติสมณธรรมอยู่.
ในบทว่า อนุปฏฺฐิตา เป็นต้น มีอธิบายว่า เมื่อเธอแม้เข้าไปอาศัยป่าชัฏ
นั้นอยู่ สติที่ยังไม่ปรากฏในกาลก่อน ก็ไม่ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นในกาลก่อน
ก็ไม่ตั้งมั่น อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่สิ้นไปในกาลก่อน ก็ไม่ถึงความสิ้นไป และ
ภิกษุนั้นไม่ได้บรรลุอรหัต กล่าวคือ ความปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่
บรรลุในกาลก่อน. บทว่า ชีวิตปริกฺขารา คือ เครื่องบำรุงชีวิต. บทว่า
สมุทาเนตพฺพา ได้แก่ อันพึงนำมาพร้อม. บทว่า กสิเรน สมุทาคจฺฉนฺติ
คือ เกิดขึ้นโดยยาก. บทว่า รตฺติภาคํ วา ทิวสภาคํ วา ได้แก่ ในส่วน
กลางคืน หรือในส่วนกลางวัน. ก็ในที่นั้น ภิกษุพิจารณาอยู่ในส่วนกลางคืน
รู้แล้วควรหลีกไปในกลางคืนนั้นเทียว ครั้นเมื่อทางเปลี่ยวแห่งสัตว์ดุร้ายเป็นต้น
ในกลางคืนมีอยู่ ควรรออรุณขึ้น รู้ในส่วนกลางวัน ควรหลีกไปในกลางวันเทียว
ครั้นเมื่อทางเปลี่ยวในกลางวันมีอยู่. ก็ควรรอพระอาทิตย์ตก. บทว่า สํขาปิ
ความว่า รู้ความที่สมณธรรมไม่สำเร็จอย่างนี้. บทว่า อนนฺตรวาเร ปน
สํขาปิ
ความว่า รู้ความที่สมณธรรมสำเร็จอย่างนี้. บทว่า ยาวชีวํ ความว่า
ชีวิตยังเป็นไปตราบใด ควรอยู่ตราบนั้นเทียว. บทว่า โส ปุคฺคโล เชื่อมกับ
บทนี้ว่า นานุพนฺธิตพฺโพ. ก็ในบทว่า อนาปุจฺฉา มีอธิบายว่า ภิกษุนั้น

ไม่ต้องบอกบุคคลนั้น ควรหลีกไปเสีย. บทว่า สํขาปิ ความว่า ภิกษุรู้ความ
ที่สมณธรรมไม่สำเร็จอย่างนี้ ไม่ควรพัวพันกับบุคคลนั้น ควรบอกบุคคลนั้น
หลีกไปเสีย. บทว่า อปิ สมุชฺชมาเนนปิ ได้แก่ แม้จะถูกฉุดคร่าก็ตาม. ก็บุคคล
เห็นปานนี้ แม้ถ้าจะให้นำไม้ร้อยกำ น้ำร้อยหม้อ หรือทราบร้อยถุง หรือให้
ฉุดคร่าว่า เจ้าอย่าอยู่ในที่นี้ ก็ควรให้บุคคลนั้นขอโทษ พึงอยู่ตลอดชีพนั้น
เทียวแล.
จบ อรรถกถาวนปัตถปริยายสูตร ที่ 7

8. มธุปิณฑิกสูตร


[243] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขต-
พระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท. ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปสู่พระนครกบิลพัสดุ์ เพื่อ
บิณฑบาต. ครั้นเสร็จจากการเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตแล้ว เสด็จเข้าไปยังป่า
มหาวัน เพื่อทรงพักในเวลากลางวัน ครั้นถึงแล้ว จึงประทับนั่งพักกลางวัน
ณ โคนต้นมะตูมหนุ่ม. แม้ทัณฑปาณิศากยะ กำลังเสด็จเที่ยวเดินเล่น ได้
เสด็จเข้าไปยังป่ามหาวัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังต้นมะตูมหนุ่ม ได้
ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
ได้ยืนยันไม้เท้า ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลถามว่า พระสมณะมีปรกติ
กล่าวอย่างไร มีปกติบอกอย่างไร.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนผู้มีอายุ บุคคลมีปกติกล่าว
อย่างไร จึงจะไม่โต้เถียงกันกับผู้ใดผู้หนึ่งในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก
พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ดำรง
อยู่ในโลก และสัญญาทั้งหลายจะไม่ครอบงำพราหมณ์ผู้อยู่ปราศจากกามทั้งหลาย
นั้น ผู้ไม่ลังเล ผู้ตัดความคะนองได้แล้ว ผู้ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่
ได้อย่างไร เรามีปกติกล่าวอย่างนั้น มีปรกติบอกอย่างนั้น. เมื่อพระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ทัณฑปาณิศากยะได้สั่นศีรษะ แลบลิ้น ทำ
หน้าผากย่นเป็น 3 รอย ถือไม้เท้ายันหลีกไป.