เมนู

ตรัสเหตุเข้าไปอาศัยคนใดคนหนึ่งอยู่


[241] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เข้าไปอาศัย
บุคคลใดบุคคลหนึ่งอยู่ เมื่อเธอเข้าไปอาศัยบุคคลนั้นอยู่ สติที่ยังไม่ปรากฏ
ก็ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไปก็ถึงความสิ้นไป และ
ภิกษุนั้นได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่บรรลุด้วย ส่วน
ปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิต คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย
เภสัชบริขารเหล่าใด ที่บรรพชิตจำต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเกิด
ขึ้นได้โดยยาก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเข้า
มาอาศัยบุคคลนี้อยู่ เมื่อเรานั้นเข้ามาอาศัยบุคคลนี้อยู่ สติที่ยังไม่ปรากฏก็
ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไปก็ถึงความสิ้นไป และ
เราได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่บรรลุด้วย ส่วนปัจจัย
เครื่องอุดหนุนชีวิต คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัช
บริขารเหล่าใด ที่บรรพชิตจำต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้
โดยยาก แต่ว่าเราในได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เหตุจีวร เหตุบิณฑบาต
เหตุเสนาสนะ เหตุคิลานปัจจยเภสัชบริขาร ก็ครั้นเป็นเช่นนั้น เมื่อเราเข้ามา
อาศัยบุคคลนี้อยู่ สติที่ยังไม่ปรากฏก็ปรากฏ จิตที่ยิ่งไม่ตั้งมั่นก็ตั้งมั่น อาสวะ
ที่ยังไม่สิ้นไปก็ถึงความสิ้นไป และเราได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะ
อย่างสูงที่ยังไม่บรรลุด้วย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นแม้รู้แล้วก็ควรพัวพัน
กะบุคคลนั้น ไม่ควรหลีกไปเสีย.
[242] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เข้าไป
อาศัยบุคคลใดบุคคลหนึ่งอยู่ เมื่อเธอเข้าไปอาศัยบุคคลนั้นอยู่ สติที่ยังไม่
ปรากฏก็ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไปก็ถึงความสิ้นไป

และภิกษุนั้นได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่บรรลุด้วย
ส่วนปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิต คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลาน-
ปัจจยเภสัชบริขารเหล่าใด ที่บรรพชิตจำต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อม
เกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
เราเข้ามาอาศัยบุคคลนี้อยู่ เมื่อเรานั้นเข้ามาอาศัยบุคคลนี้อยู่ สติที่ยังไม่ปรากฏ
ก็ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไปก็ถึงความสิ้นไป และ
เราได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่บรรลุด้วย ส่วนปัจจัย
เครื่องอุดหนุนชีวิต คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัช
บริขารเหล่าใด ที่บรรพชิตจำต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้
โดยไม่ยาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นควรพัวพันอยู่กะบุคคลนั้นจนตลอด
ชีวิต ไม่ควรหลีกไปเสีย แม้จะถูกขับไล่ก็ตาม.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจ
ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแล.
จบ วนปัตถสูตร ที่ 7

อรรถกถาวนปัตถปริยายสูตร


วนปัตถปริยานสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ :-
บทว่า วนปตฺถปริยายํ ได้แก่ เหตุของการอยู่ป่าชัฏหรือ การแสดง
การอยู่ป่าชัฏ. บทว่า วนปตฺถํ นิสฺสาย วิหรติ ความว่า ภิกษุอาศัย
เสนาสนะในราวป่า อันพ้นจากสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ ประพฤติสมณธรรมอยู่.
ในบทว่า อนุปฏฺฐิตา เป็นต้น มีอธิบายว่า เมื่อเธอแม้เข้าไปอาศัยป่าชัฏ
นั้นอยู่ สติที่ยังไม่ปรากฏในกาลก่อน ก็ไม่ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นในกาลก่อน
ก็ไม่ตั้งมั่น อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่สิ้นไปในกาลก่อน ก็ไม่ถึงความสิ้นไป และ
ภิกษุนั้นไม่ได้บรรลุอรหัต กล่าวคือ ความปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่
บรรลุในกาลก่อน. บทว่า ชีวิตปริกฺขารา คือ เครื่องบำรุงชีวิต. บทว่า
สมุทาเนตพฺพา ได้แก่ อันพึงนำมาพร้อม. บทว่า กสิเรน สมุทาคจฺฉนฺติ
คือ เกิดขึ้นโดยยาก. บทว่า รตฺติภาคํ วา ทิวสภาคํ วา ได้แก่ ในส่วน
กลางคืน หรือในส่วนกลางวัน. ก็ในที่นั้น ภิกษุพิจารณาอยู่ในส่วนกลางคืน
รู้แล้วควรหลีกไปในกลางคืนนั้นเทียว ครั้นเมื่อทางเปลี่ยวแห่งสัตว์ดุร้ายเป็นต้น
ในกลางคืนมีอยู่ ควรรออรุณขึ้น รู้ในส่วนกลางวัน ควรหลีกไปในกลางวันเทียว
ครั้นเมื่อทางเปลี่ยวในกลางวันมีอยู่. ก็ควรรอพระอาทิตย์ตก. บทว่า สํขาปิ
ความว่า รู้ความที่สมณธรรมไม่สำเร็จอย่างนี้. บทว่า อนนฺตรวาเร ปน
สํขาปิ
ความว่า รู้ความที่สมณธรรมสำเร็จอย่างนี้. บทว่า ยาวชีวํ ความว่า
ชีวิตยังเป็นไปตราบใด ควรอยู่ตราบนั้นเทียว. บทว่า โส ปุคฺคโล เชื่อมกับ
บทนี้ว่า นานุพนฺธิตพฺโพ. ก็ในบทว่า อนาปุจฺฉา มีอธิบายว่า ภิกษุนั้น