เมนู

แม้เพียงแต่จะตรัสถามเรา แล้วทรงแสดงธรรมเทศนาก็ไม่มี ทรงถาม
พระเถระที่ทรงเห็นเพียงครู่เดียวเท่านั้น แล้วก็ทรงแสดงธรรม.
โกรธเคืองพระเถระอย่างไร ?
โกรธเคืองพระเถระอย่างนี้ว่า พระแก่รูปนี้ นั่งตรงพระพักตร์
พระผู้มีพระภาคเจ้าเหมือนกับตอไม้ เมื่อไรนะพระเถระผู้เป็นธรรมกัมมิกะ
(ทำงานเกี่ยวกับธรรม) จักให้พระแก่รูปนี้ถึงฐานะแห่งอภัพพบุคคล
(ผู้ไม่ควรบรรลุมรรคผล ) แล้วขับออกไป (จากหมู่คณะ.) เพราะว่า
ถ้าไม่มีภิกษุรูปนี้ในวิหารนี้ไซร้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงเจรจากับเรา
แน่นอน.

พระโกรธ


[62] บทว่า ปุรกฺขตฺวา ปุรกฺขตฺวา (ทำไว้ข้างหน้า ทำไว้
ข้างหน้า) คือทำไว้ (ให้อยู่ ) ข้างหน้า มีคำอธิบายว่า ห้อมล้อม
(ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ).
แม้ภิกษุรูปนี้ก็เป็นผู้อยากได้ลาภเหมือนกัน. เพราะว่า ภิกษุรูปนี้
เห็นภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพหูสูตเข้าบ้านพร้อมกับภิกษุผู้เป็นบริวาร กำลัง
ไหว้เจดีย์ และเห็นอุบาสกทั้งหลายผู้เลื่อมใส ( ภิกษุเหล่านั้น ) เพราะ
เห็นคุณธรรมข้อนั้น ของท่านเหล่านั้น แสดง (ทำ) อาการของผู้เลื่อมใส
อยู่ เพราะฉะนั้น เธอจึงต้องการอย่างนี้.
บทว่า กุปิโต (โกรธเคืองแล้ว) หมายความว่า ภิกษุแม้รูปนี้
โกรธเคืองในเพราะเหตุ 2 สถาน คือ โกรธเคืองต่อภิกษุทั้งหลายและ
พระเถระ.

โกรธเคืองภิกษุทั้งหลายอย่างไร ?
โกรธเคืองภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านั้นถือเอาเฉพาะจีวร
หรือบิณฑบาตที่เกิดขึ้นแก่เรานั้นบริโภคอยู่ แต่ผู้จะมาข้างหลังรับบาตร
จีวรของเราก็ไม่มี.
โกรธเคืองพระเถระอย่างไร ?
โกรธเคืองพระเถระว่า พระเถระแก่รูปนี้ (ไป ) ปรากฏด้วยใน
ที่นั้น ๆ เมื่อไรนะ พระธรรมกัมมิกะ จักจับเขาออกไป เมื่อไม่มี
พระแก่รูปนี้ ภิกษุทั้งหลายก็จักห้อมล้อมเราคนเดียวเป็นแน่.
[63] บทว่า ภตฺตคฺเค (โรงฉัน) คือ สถานที่สำหรับฉัน
(หอฉัน).
บทว่า อคฺคาสนํ (ที่นั่งชั้นยอด ) คือ ที่นั่งสำหรับพระสังฆเถระ.
บทว่า อคฺโคทกํ ( น้ำที่เลิศ ) คือ ทักษิโณทก (น้ำที่ถวายด้วย
ความเคารพ ).
บทว่า อคฺคปิณฺฑํ (บิณฑบาตที่เลิศ) คือ บิณฑบาตสำหรับ
พระสังฆเถระ.
อีกอย่างหนึ่ง ในที่ทุกแห่ง คำว่า เลิศ นี้ เป็นคำใช้เรียกสิ่งของ
ที่ประณีต.
บรรดาความปรารถนาทั้ง 2 อย่างนี้ ความปรารถนาว่า เราคนเดียว
ควรได้
ดังนี้ ไม่มีโทษหมักมากเท่าไร. แต่ความปรารถนาว่า ภิกษุอื่น
ไม่ควรได้
ดังนี้ มีโทษหนักมาก.

ภิกษุผู้มีความต้องการลาภ รูปนี้เป็นผู้ที่น่าเลื่อมใส โดยการครอง
จีวรเป็นต้น บางครั้งก็บวช บางครั้งก็สึก เพราะเหตุนั้น เธอเมื่อภายหลัง
ไม่ได้ที่นั่งเป็นต้น ที่ตนเคยได้นั่งมาแล้วในตอนก่อน จึงคิดอย่างนี้ว่า
ภิกษุนั้นไม่ควรจะได้. ภิกษุรูปนั้นเมื่อที่นั่งชั้นยอดเป็นต้น ถึงแก่พระเถระ
ทั้งหลาย (พระเถระนั่งแล้ว ) สำหรับพระรุ่นกลาง และพระรุ่นไหน
เหล่าอื่น ก็ทำนองเดียวกันนั้น บางครั้งก็ได้ที่นั่งธรรมดาสามัญหรือที่นั่ง
ที่ต่ำกว่าที่นั่งทั้งหมด หรือไม่ได้เลย.
บทว่า กุปิโต (โกรธเคืองแล้ว) คือ ภิกษุรูปนี้เอง โกรธเคือง
ในเพราะเหตุ 2 สถาน คือ (โกรธเคือง ) คนทั้งหลายและพระเถระ
ทั้งหลาย.
โกรธเคืองคนทั้งหลายอย่างไร ?
(โกรธเคือง ) คนทั้งหลายอย่างนี้ว่า คนเหล่านี้อาศัยเรา จึงได้
ภิกษุทั้งหลาย (มา) ในงานมงคลเป็นต้น (เมื่อก่อน) เขาพากันพูดว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าได้กรุณาพาภิกษุจำนวนเท่านี้
(ไป ) ทำความอนุเคราะห์แก่กระผมทั้งหลายเถิด แต่เดี๋ยวนี้เขาได้พาเอา
พระเถระแก่ ผู้เพียงแต่ได้เห็นชั่วประเดี๋ยวเดียวไป เรื่องนี้ช่างเถิด ต่อไป
นี้เมื่อกิจของเขาเหล่านี้เกิดขึ้น เราจักรู้ ( แก้มือ ).
โกรธเคืองพระเถระอย่างไร ?
โกรธเคืองพระเถระอย่างนี้ว่า ถ้าธรรมดาไม่มีพระเถระเหล่านั้นไซร้
คนทั้งหลายต้องนิมนต์เฉพาะเราเท่านั้น.
บทว่า อนุโนเทยฺยํ ( ควรอนุโมทนา ) คือ ควรทำอนุโมทนา.
แม้ภิกษุรูปนี้เป็นผู้มีความต้องการลาภ รู้การอนุโมทนาเป็นตอน ๆ แบบ

ธรรมดา ๆ. เธอคิดปรารถนาอย่างนี้ว่า ณ สถานที่อนุโมทนา แม่บ้าน
จะพากันมามาก พวกเขาจำเราได้แล้ว ต่อไปจักถวายภักษาหารเป็นถาด ๆ.
บทว่า ฐานํ ( เหตุที่ตั้ง ) ความว่า การอนุโมทนา เป็นภาระ1
หน้าที่ของภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพหูสูต เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวอธิบาย
ไว้ว่า ภิกษุผู้เป็นพหูสูตควรอนุโมทนา.
บทว่า กุปิโต (โกรธเคืองแล้ว ) หมายความว่า ภิกษุรูปนี้เอง
จะโกรธเคือง ในเพราะเหตุ 3 สถาน คือ โกรธเคืองคนทั้งหลาย 1
โกรธเคืองพระเถระ 1 โกรธเคืองพระธรรมกถึก 1.
โกรธเคืองคนทั้งหลายอย่างไร ?
โกรธเคืองคนทั้งหลายอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนคนเหล่านี้เข้ามาหาเรา
คนเดียวแล้วขอร้องว่า ขอนิมนต์ท่านนาคเถระของเราทั้งหลายจง
อนุโมทนา ขอนิมนต์ท่านสุมนเถระของเราทั้งหลายจงอนุโมทนา แต่
วันนี้ไม่พูด (ไม่นิมนต์).
โกรธเคืองพระเถระอย่างไร ?
โกรธเคืองพระเถระอย่างนี้ว่า พระสังฆเถระรูปนี้ไม่กล่าวว่า ท่าน
ทั้งหลาย จงพากันเข้าไปหาพระนาคเถระ พระสุมนเถระ ผู้เป็นพระ
ประจำตระกูลของท่านทั้งหลาย ท่านผู้นี้จักอนุโมทนา.
โกรธเคืองพระธรรมกถึกอย่างไร ?
โกรธเคืองพระธรรมกถึกอย่างนี้ว่า พอท่านพระเถระพูดจบเท่านั้น
เห็น (ท่านพระธรรมกถึก) รนราน เหมือนไก่ถูกตี ผู้จะฉุดคร่า
1. ปาฐะเป็น อนุโมทนาภาโว แต่ฉบับพม่าเป็น อนุโมทนา ภาโร จึงแปลตามฉบับพม่า
ความดีกว่า.

พระรูปนี้ออกไปก็ไม่มี เพราะว่า เมื่อไม่มีพระรูปนี้ เราคนเดียวต้อง
อนุโมทนา.
[ 64 ] บทว่า อารามคตานํ (ผู้มาสู่อาราม) คือ ผู้ประชุม
กันอยู่ในวิหาร.
แม้ภิกษุรูปนี้ ผู้มีความต้องการลาภ รู้ธรรมกถาเป็นตอน ๆ แบบ
ธรรมดา ๆ เธอเห็นภิกษุทั้งหลาย ผู้นั่งประชุมกันฟังธรรมเนืองนิตย์
ตลอดทั้งคืนตั้ง 2-3 ร้อยโยชน์ในที่เช่นนั้น พากันพอใจทีเดียว หรือ
เห็นภิกษุหนุ่มหรือสามเณรกำลังให้สาธุการด้วยเสียงดังว่า สาธุ สาธุ
บาสกอุบาสิกาทั้งหลาย พากันถามภิกษุทั้งหลายที่ไปในบ้านในวันที่ 2
ต่อจากนั้นว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระพวกไหนแสดงธรรม
ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า รูปโน้น รูปโน้น คนทั้งหลายได้ยินดังนั้นแล้ว
เลื่อมใสจะพากันทำสักการะแก่พระธรรมกถึกมาก. ภิกษุรูปนั้นเมื่อ
ปรารถนาลาภนั้นย่อมคิดอย่างนี้.
[65] บทว่า ฐานํ (เหตุที่ตั้ง ) ความว่า การแสดงธรรม-
เทศนาเป็นภาระของ (ภิกษุทั้งหลาย ) ผู้เป็นพหูสูต ผู้ฉลาดในการ
วินิจฉัย เพราะเหตุนั้น จึงมีคำอธิบายไว้ว่า ภิกษุผู้เป็นพหูสูต ควร
แสดงธรรม.
บทว่า กุปิโต ( โกรธเคืองแล้ว) ความว่า เมื่อไม่ได้โอกาส
กล่าวเพียงคาถาที่ประกอบด้วยบท 8 บท ก็จะโกรธเคืองตัวเองที่เป็นคน
โง่ว่า เพราะเราเขลาเบาปัญญา ที่ไหนจักได้แสดงธรรม.
บทว่า ภิกฺขุนีนํ (ภิกษุณีทั้งหลาย) ความว่า แก่ภิกษุณีทั้งหลาย

ผู้มาสู่อารามแล้วประชุมกัน เพื่อรับโอวาท เพื่ออุทเทศ เพื่อการทดสอบ
หรือเพื่อทำการบูชา.
แม้ภิกษุรูปนี้ผู้มีความต้องการลาภ เธอจะมีความคิดอย่างนี้ว่า
ภิกษุณีเหล่านี้บวชจากตระกูลใหญ่ เมื่อพวกเธอเข้าไปนั่งในตระกูลทั้งหลาย
คนทั้งหลายจักพากันถามว่า ท่านทั้งหลายพากันรับโอวาทหรืออุทเทศหรือ
ทดสอบ ในสำนักของใคร จากการถามนั้น ภิกษุณีทั้งหลายจักบอกว่า
พระคุณเจ้าชื่อโน้น ผู้เป็นพหูสูต ท่านทั้งหลาย จงถวาย (ของ)
กระทำ ( สักการะ) แก่ท่าน เพราะเหตุนั้น ความต้องการอย่างนี้ จึง
เกิดขึ้นแก่เธอ.
บทว่า ฐานํ (เหตุที่ตั้ง ) ความว่า เป็นธรรมดากิจวัตรมีการ
โอวาทเป็นต้น เป็นภาระของภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพหูสูต เพราะฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวอธิบายไว้ว่า ภิกษุผู้เป็นพหูสูตควรแสดง.
บทว่า กุปิโต ( โกรธเคืองแล้ว ) มีอรรถาธิบายว่าภิกษุนี้โกรธเคือง
ในเพราะเหตุ 2 สถานคือ โกรธเคืองภิกษุณีเหล่านั้นว่า ภิกษุณีเหล่านี้
เมื่อก่อนอาศัยเรา จึงได้อุโบสถและปวารณาเป็นต้น แต่บัดนี้ภิกษุณี
เหล่านั้น ได้ไปสู่สำนักของพระเถระแก่ ผู้เพียงแต่ได้เห็นชั่วคราว และ
โกรธเคืองพระธรรมกถึกว่า พระธรรมกถึกรูปนั้น ได้ให้โอวาทแก่ภิกษุณี
เหล่านั้น เร็วไวเหมือนกัน.
บทว่า อุปาสกานํ ( แก่อุบาสกทั้งหลาย ) มีอรรถาธิบายว่า
ธรรมดาอุบาสกทั้งหลายผู้ไปวัด เป็นอุบาสกผู้ใหญ่ สละการงานกันแล้ว
เขาเหล่านั้นมอบงานให้ลูกน้องแล้วเที่ยวหาฟังธรรมกัน. ภิกษุรูปนี้ต้อง
การแสดงธรรมแก่อุบาสกเหล่านั้น. เพราะเหตุไร ? เพราะคนเหล่านี้

เลื่อมใสภิกษุเหล่านี้แล้ว จักบอกให้อุบาสิกาทั้งหลายทราบบ้าง ต่อไป
ก็จักพร้อมด้วยอุบาสิกาทั้งหลาย พากันนำลาภและสักการะมาถวายเรา
คนเดียว เพราะฉะนั้น ควรประกอบเหตุที่ตั้ง เข้ากับผู้อื่นเป็นพหูสูต
ด้วย.
บทว่า กุปิโต (โกรธเคืองแล้ว) มีเนื้อความว่า ภิกษุรูปนี้จะ
โกรธเคืองในเพราะเหตุ 2 สถาน คือ โกรธเคืองอุบาสกทั้งหลายว่า อุบาสก
เหล่านั้นฟัง ( ธรรม ) ที่อื่นไม่มาวัดเรา ด้วยความตั้งใจว่า พวกเราจะฟัง
(ธรรม ) ในสำนักของภิกษุประจำตระกูลของพวกเรา ข้อนั้น ช่างเถอะ
ต่อไปนี้ เราจักรู้ไว้ในเมื่อพวกเขามีกิจเกิดขึ้น และโกรธเคืองพระ
ธรรมกถึกว่า ท่านรูปนี้แสดงธรรมให้คนเหล่านี้ฟัง.
บทว่า อุปาสิกานํ ( แก่อุบาสิกาทั้งหลาย ) ความว่า ธรรมดา
อุบาสิกาทั้งหลายผู้มาวัด ได้ประชุมกันเพื่อปูอาสนะและทำการบูชา เป็น-
ต้น หรือเพื่อฟังธรรมในวันอุโบสถ.
คำที่เหลือจากที่ได้อธิบายแล้ว มีนัยเหมือนที่ได้กล่าวแล้วในตอน
ว่าด้วยอุบาสก.
[66-67 ] บทว่า สกฺกเรยฺยํ คือ ควรทำโดยเคารพด้วย
ทำให้ดีด้วย. ด้วยคำว่า ควรสักการะ นี้ เธอปรารถนาการที่ทำในตน
โดยเคารพและด้วยดี.
บทว่า ครุกเรยฺยุํ ( ควรตระหนัก ) คือ ควรทำให้หนัก. ด้วย
คำว่า ควรตระหนัก นี้ เธอปรารถนาจะให้ภิกษุทั้งหลายตั้งตัวเธอไว้ใน
ฐานะเป็นครู.

บทว่า มาเนยฺยํ (ควรนับถือ) คือ ควรรักใคร่.
บทว่า ปูเชยฺยุํ (ควรบูชา) ความว่า เธอปรารถนาการบูชา
ด้วยปัจจัยว่า คนทั้งหลายเมื่อสักการะเคารพนับถือเรา ก็ต้องบูชาเราด้วย
ปัจจัยทั้งหลายอย่างนี้.
บทว่า ฐานํ (เหตุที่ตั้ง) ความว่า ภิกษุผู้เป็นพหูสูตและเป็น
ผู้มีศีล มีประการดังที่กล่าวแล้วว่า เป็นที่รัก เป็นที่เคารพ เป็นที่นับถือ
สมควรกะวิธีนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงอธิบายไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ควร
ทำแบบนี้ คือ อย่างนี้.
บทว่า กุปิโต ( โกรธเคืองแล้ว ) ความว่า แม้ภิกษุรูปนี้
จะโกรธเคือง ในเพราะเหตุ 2 สถาน คือ โกรธเคืองภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุเหล่านี้สักการะภิกษุนั้น และโกรธเคืองพระเถระว่า เมื่อไม่มีพระ
เถระรูปนี้ ภิกษุทั้งหลายต้องสักการะเราคนเดียวเท่านั้น. ในวาระ (ตอน)
อื่น อีก 3 วาระต่อจากนี้ ก็มีนัยนี้.
[68] บทว่า ปณีตานํ จีวรานํ (จีวรประณีต) ได้แก่ ผ้าจีวร
ที่มีราคาแพง เนื้อละเอียด มีสัมผัสอ่อนนิ่ม (ห่มสบาย) มีผ้าธรรมดา
ผ้าเปลือกไม้ ผ้าไหมที่ฟอกแล้วและผ้าไหมธรรมดา เป็นต้น .
ความปรารถนาว่า เราเท่านั้นควรมีลาภ ไม่ชื่อว่ามีโทษมากมาย
ในที่นี้เลย. แต่มีโทษมากมายคือความต้องการว่า ขออย่าให้คนอื่นมีลาภ.
[69] บทว่า ปณีตานํ ปิณฺฑปาตานํ (บิณฑบาตประณีต)
คือบิณฑบาตที่ดีที่สุด เพียบพร้อมไปด้วยรสเนยใส รสน้ำมัน และรสเนื้อ

เป็นต้น 1
บทว่า ปณีตานํ เสนาสนานํ (เสนาสนะประณีต) คือ ที่นั่ง
ที่นอนมีเตียงและตั่งเป็นต้น ที่มีค่าหลายแสน.
บทว่า ปณีตานํ คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํ (บริขารคือยา
ที่เป็นปัจจัยแก่ผู้ป่วย) คือ ยาชั้นสูงมีเนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย
เป็นต้น. แม้ทุกวาระควรประกอบเหตุเป็นที่ตั้งเข้ากับด้วยผู้เป็นพหูสูต
และผู้มีบุญทั้งหลาย.
บทว่า กุปิโต ( ขุ่นเคืองแล้ว ) ได้แก่ขุ่นเคืองในเพราะเหตุ 2 สถาน
คือ ขุ่นเคืองคนทั้งหลายว่า ขึ้นชื่อว่า คนเหล่านี้ไม่มีการอบรมสั่งสม
(บุพพบารมี) เลย เราอยู่ร่วมกันนาตลอดกาลยาวนาน ถึงจะเดินไปตาม
ลำดับเรือนเพื่อต้องการผ้าบังสุกุล หรือว่าเพื่อต้องการบิณฑบาต
หรือเพราะเหตุแห่งเนยใสและน้ำมันเป็นต้น คนเหล่านี้ก็ไม่ถวายปัจจัย 4
ที่ประณีตอะไรแม้แต่วันเดียว แต่พอเห็นหลวงตา ผู้เป็นแขกมาเท่านั้น
ก็พากันถวายสิ่งที่ท่านต้องการ และขุ่นเคืองพระเถระอย่างนี้ว่า หลวงตา
รูปนี้เที่ยวแสดงตนให้คนเหล่านั้นเห็น เมื่อไรภิกษุผู้เป็นธรรมกัมมิกะ
จะฉุดคร่าแกออกไป เมื่อไม่มีหลวงตารูปนี้ เราคนเดียวต้องมีลาภ.
บทว่า อิเมสํ โข อาวุโส (เหล่านี้แล ) หมายความว่า
(อกุศลธรรมทั้งหลาย ) เหล่านั้นที่เป็นแดนของอิจฉาที่ได้กล่าวแต่หนหลัง
โดยวาระ 19 วาระ.
[70] บทว่า ทิสฺสนฺติ เจว สุยฺยนฺติ จ (ยังเห็นอยู่และ
ได้ยินอยู่ ) หมายความว่า บาปอกุศลที่เป็นอิจฉาวจร (เป็นแดงอิจฉา )
1. ฉบับพม่า เป็น สปฺปิเตลมธุสกฺกราทิปูริตานํ เพียบพร้อมไปด้วย เนยใส, น้ำมัน, น้ำผึ้ง
และน้ำตาลกรวดเป็นต้น

ไม่ใช่เห็นได้ด้วยจักษุ ไม่ใช่ได้ยินด้วยโสต. แต่ครั้นได้เห็นกายกรรมของ
บุคคลผู้ละบาปอกุศลที่เป็นอิจฉาวจรยังไม่ได้ ที่เป็นไปแล้วด้วยอำนาจ
ของอกุศลที่เป็นอิจฉาวจร ก็เป็นเหมือนกับได้เห็นแล้ว และครั้นได้ยิน
วจีกรรมของบุคคลผู้ละบาปอกุศลที่เป็นอิจฉาวจรยังไม่ได้ ที่เป็นไปด้วย
อำนาจกุศลที่เป็นอิจฉาวจร ก็เป็นเหมือนกับได้ยินแล้ว เพราะเป็นอารมณ์
ของมโนวิญญาณ. เพราะฉะนั้น ท่านะพระสารีบุตรเถระจึงได้กล่าวไว้ว่า
ยังเห็นอยู่และได้ยินอยู่. อธิบายว่า เห็นอยู่ตลอดกาลที่ยังประจักษ์อยู่
(ส่วน) ได้ยินในเวลาที่ผ่านมาแล้วว่า ได้ทราบว่า ภิกษุรูปโน้น ก็เช่น
รูปนี้.
บทว่า กิญฺจาปิ ( ถึงแม้ว่า ) เป็นต้น เป็นการกล่าวยกย่องและ
การตำหนิ. ด้วยคำนั้นท่านยกย่องการอยู่ป่าเป็นวัตร ( และ ) ตำหนิการ
ละบาปอกุศลที่เป็นอิจฉาวจรยังไม่ได้.
ในข้อนั้น มีการประกอบความดังนี้ว่า ภิกษุนั้นถึงแม้ว่า จะห้าม
เสนาสนะท้ายบ้านอยู่ป่าประจำ อยู่ในเสนาสนะอันสงบที่ชายแดน ก็จริง
แต่ว่าบาปอกุศลที่เป็นอิจฉาวจรเหล่านี้ คือประมาณเท่านี้ เธอยังละไม่ได้
ถึงเธอจะปฏิเสธลาภฟุ่มเฟือยถือบิณฑบาตเป็นประจำบ้าง จะเว้นการไป
บิณฑบาตไม่เป็นที่เป็นทางไปตามลำดับตรอกเป็นปกติบ้าง จะปฏิเสธ
จีวรที่ชาวบ้านถวายใช้สอยแต่ผ้าบังสุกุลเป็นประจำบ้าง ก็จริง ( แต่เธอ
ก็ยังละบาปอกุศลที่เป็นอิจฉาวจรเหล่านี้ยังไม่ได้).
ส่วนคำว่า เศร้าหมอง ในคำว่า ลูขจีวรธโร ( ครองจีวรเศร้า-
หมอง) นี้ พึงทราบว่า เศร้าหมอง เพราะเหตุ 3 ประการ คือ เศร้าหมอง
เพราะศัสตรา 1 เศร้าหมองเพราะด้าย 1 เศร้าหมองเพราะสีย้อม 1.

ในจำนวน 3 อย่างนี้ ผ้าตัดให้ขาดเป็นท่อนเล็กท่อนน้อยด้วยศัสตรา
ชื่อว่า เศร้าหมองเพราะศัสตรา ผ้านั้นจะเสื่อมราคา.
ผ้าที่ทอด้วยด้ายหยาบและยาว ชื่อว่า เศร้าหมองเพราะด้าย ผ้านั้น
ไม่น่าสัมผัส สัมผัสกระด้าง (ห่มสาก).
ผ้าที่ย้อมด้วยสีย้อมผ้า (น้ำฝาด ) ชื่อว่าเศร้าหมองเพราะสีย้อม ผ้า
นั้นจะเสียสี มีสีไม่สวย.
ถึงภิกษุนั้นจะครองจีวร เศร้าหมองเพราะศัสตรา เศร้าหมองเพราะ
ด้าย หรือเศร้าหมองเพราะสีย้อม ก็จริง. แต่ว่า อกุศลที่เป็นอิจฉาวจร
เหล่านี้ เธอยังละไม่ได้ คนยังเห็นอยู่และได้ยินอยู่ โดยที่แท้แล้ว ผู้
ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกัน ที่เป็นปัญญาชน (วิญญู) จะไม่สักการบูชา
เธอเลย.
คำว่า ตํ ในคำว่า ตํ กิสฺส เหตุ นี้เป็นเพียงนิบาต.
คำว่า กิสฺส เหตุ คือ กึการณา แปลว่า เพราะเหตุอะไร ?
มีคำอธิบายไว้ว่า เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นของเธอ ยังเห็นและได้ยินด้วยอยู่
คือ เพราะอกุศลธรรมที่ลามกเหล่านั้นของเธอ ยังเห็นกันอยู่และได้ยิน
กันอยู่. เพราะอกุศลธรรมเหล่านี้ ที่เป็นอิจฉาวจรเธอยังละไม่ได้ ที่ว่ามานี้
เป็นคำอธิบายว่า เพราะเหตุอะไร นี้.
ต่อไปนี้ท่านพระสารีบุตร เมื่อจะอธิบายเนื้อความนั้นให้ปรากฏ
(ให้ชัด ) ด้วย ข้ออุปมา จึงได้กล่าวคำมีอาทิว่า เสยฺยถาปิ (แม้ฉันใด ).
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุณปํ (ซากศพ) ได้แก่ ซากของ
สัตว์ที่ตายแล้ว ซากของงู ชื่อว่าซากศพงู. (ซากศพของสุนัขและของ

มนุษย์) นอกจากนี้ก็เหมือนกัน. และซากศพทั้ง 3 นี้นั้นแหละพึงทราบ
ว่า ท่านพระสารีบุตรกล่าวไว้แล้ว ในคำอุปมานี้ เพราะความเป็นของ
ปฎิกูลและน่าเกลียดเหลือเกิน. ความจริงซากศพของสัตว์เหล่าอื่นมีสัตว์
เลี้ยงและสุกรเป็นต้น คนทั้งหลายปรุงกับเครื่องเผ็ดร้อนเป็นต้น (เครื่อง
แกง ) รับประทานก็มี. แต่ซากศพของสุนัขและมนุษย์เหล่านี้ ถึงจะยัง
ใหม่ คนทั้งหลายก็ยังรังเกียจอยู่ จะกล่าวไปไยถึงซากศพที่ล่วงเลยเวลา
ไปแล้ว ที่เน่าแล้ว ไม่ต้องพูดถึง.
บทว่า รจยิตฺวา ( วางไว้ ) คือเพิ่มเข้าไป หมายความว่า บรรจุ
ให้เต็ม. มีคำอธิบายไว้ว่า เอาซากศพนั้นบรรจุไว้ในถาดทองสัมฤทธิ์.
บทว่า อญฺญิสฺสา แปลว่า (ด้วยถาดสัมฤทธิ์) ใบอื่น.
บทว่า ปฏิกุชฺชิตฺวา (ครอบ) คือ ปิด.
บทว่า อนฺตราปณํ (ระหว่างตลาด ) คือปากซอยที่มีนหาชน
หนาแน่นในท้องตลาด.
บทว่า ปฏิปชฺเชยฺยุํ (พึงดำเนินไป) คือพึงเดินไป.
บทว่า ชญฺญชญฺญํ วิย (เหมือนจะน่ารู้ น่าสนใจ) ความว่า
เหมือนจะเลอเลิศ คือ เหมือนจะน่าพออกพอใจ. อีกอย่างหนึ่ง มีคำ
อธิบายว่า เหมือนหญิงสาวนำเครื่องบรรณาการมา. ความจริงหญิงสาว
เขาเรียกว่า แม่หญิง. บรรณาการที่หญิงสาวนั้นกำลังนำมาเป็นสิ่งที่น่ารู้
ท่านจึงได้กล่าวไว้ในคำทั้งคู่ ด้วยอำนาจแห่งความเอื้อเฟื้อบ้าง ด้วย
อำนาจแห่งการสรรเสริญบ้าง. ปาฐะว่า ชญฺญํ ชญฺญํ วิย ดังนี้ก็มี.
บทว่า อปาปุริตฺวา (ไม่ปิด ) คือเปิด.

ข้อว่า ตสฺส สห ทสฺสเนน อมนาปตา จ สณฺฐเหยฺย (ความ
ที่เขาไม่พอใจพร้อมกับการได้เห็น พึงดำรงอยู่ ) ความว่า ความที่คนนั้น
ไม่พอใจพร้อมกับการได้เห็นซากศพนั้นนั่นเอง พึงดำรงอยู่. ก็คำว่า
อมนาปตา ความเป็นของไม่น่าพอใจนี้ เป็นชื่อของจิตและเจตสิกที่เกิด
ขึ้นแล้วว่า นี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ.
ในความปฏิกูลและน่าเกลียด ก็มีนัยนี้.
คำว่า ชฺฆจฺฉิตานมฺปิ (แม้ผู้หิวแล้ว) คือแม้ผู้หิวโหยแล้ว.
ข้อว่า น โภตฺตุกมฺยตา อสฺส (ความต้องการจะบริโภค คง
ไม่มี) ความว่า ความประสงค์จะบริโภค คงไม่มี.
ในคำว่า ปเคว สุหิตานํ ( จะป่วยกล่าวไปไยถึงผู้อิ่มแล้ว)
มีคำอธิบายไว้ว่า แต่สำหรับคนที่หิว ก็คงไม่มีความอยากกินก่อนทีเดียว.
ในเรื่องนั้นมีการเปรียบเทียบข้ออุปมาดังต่อไปนี้ (คือ) เพศบรรพชา
ของคนคนนี้ เช่นกับถาดทองสัมฤทธิ์ที่สะอาด การละอิจฉาวจรยังไม่
ได้ เหมือนกับการวางซากศพไว้ การกลบเกลื่อนอิจฉาวจรไว้ ด้วยการ
อยู่ป่าเป็นประจำเป็นต้น เหมือนกับการเอาถาดทองสัมฤทธิ์ใบอื่นครอบ
ไว้, การไม่ทำสักการะเป็นต้นของเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย เพราะเห็น
อิจฉาวจร (ของเธอ) โดยไม่เอื้อเฟื้อถึงธุดงค์มีอารัญญิกังคธุดงค์เป็นต้น
เหมือนกับความไม่พอใจของตนเพราะเปิดถาดทองสัมฤทธิ์แล้วเห็นซาก
ศพ.
ส่วนในธรรมฝ่ายขาว พึงทราบอรรถาธิบาย ดังต่อไปนี้. คำว่า
กิญฺจาปิ เป็นต้นเป็นทั้งคำส่งเสริมเป็นทั้งคำยกย่อง. ด้วยคำว่า กิญฺจาปิ

นั้น ท่านพระสารีบุตรส่งเสริมการอยู่ป่าเป็นประจำ ยกย่องการละ
อิจฉาวจร.
[71] บทว่า เนมนฺตนิโก (ผู้รับนิมนต์) คือปฏิคาหกผู้รับ
นิมนต์.
บทว่า วิจิตกาฬกํ ( ขาวสะอาด ) คือปราศจากดำเจือปน.
ในคำว่า กับข้าวหลายอย่าง แกงมากอย่าง นี้ สิ่งที่นำไปได้
ด้วยมือเรียกว่า "สูปะ" ( กับข้าว ) คำว่า แกง คือแกงอ่อม. ด้วยคำ
ทั้ง 2 นั้น ท่านได้กล่าวคำอธิบายไว้ว่า กับข้าวหลายอย่างมีกับข้าวคือ
ปลา เนื้อ และถั่วเขียวเป็นต้น แกงหลายชนิด มีแกงเนื้อนานาชนิด
เป็นต้น. คำที่เหลือพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นเทอญ. และควรทราบ
อรรถาธิบาย ในการเปรียบเทียบคำอุปไมยกับคำอุปมา (ต่อไป) การละ
อิจฉาวจรได้ เหมือนการจัดแจงข้าวสุกข้าวสาลีลงในถาดทองสัมฤทธิ์
การปิดคือการละอิจฉาวจรด้วยการอยู่วัดท้ายบ้านเป็นต้นที่เป็นสมุฏฐาน
แห่งความปรารถนาน้อย เหมือนการครอบด้วยถาดสัมฤทธิ์ใบอื่น ควร
ทราบการทำสักการะเป็นต้นของเพื่อนพรหมจารี เพราะไม่ยินดีการอยู่วัด
ภายในหมู่บ้านเป็นต้นแล้วละอิจฉาวจรได้ เหมือนความพอใจของคน
เพราะได้เปิดถาดทองสัมฤทธิ์เห็นข้าวสาลีหุงชั้นดี.
[72] ข้อว้า อุปมา มํ อาวุโส สารีปุตฺต ปฏิภาติ (ข้าแต่
ท่านพระสารีบุตรอุปมาแจ่มแจ้งแก็ผม ) ความว่า ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร
อุปมาปรากฏแก่กระผม มีอธิบายว่า กระผมประสงค์จะกล่าวอุปมาข้อหนึ่ง
( ถวาย ).

บทว่า ปฏิภาตุ ตํ ( จงแจ่มแจ้งแก่ท่านเถิด ) คือจงแจ่มแจ้ง
ได้แก่ ปรากฏแก่ท่านเถิด อธิบายว่า นิมนต์กล่าวเถิด.
คำว่า อิท ในคำว่า เอกมิทาหํ เป็นเพียงนิบาต. มีคำอธิบาย
ไว้ว่า สมัยหนึ่ง กระผม.
คำว่า เอกํ นี้เป็นทุติยาวิภัตติ ใช้ในความหมายของสัตตมีวิภัตติ.
บทว่า ราชคฤห์ ในคำว่า ราชคเห วิหรามิ คิริพฺพเช นี้ เป็นชื่อ
ของนครนั้น. นครราชคฤห์ คนเรียกว่า คิริพชะ เพราะตั้งอยู่เหมือน
ดอก โดยมีภูเขาล้อมรอบ. ท่านพระโมคคัลลานะกล่าวไว้ว่า กระผม
อยู่ที่นครนั้น คืออาศัยนครนั้นอยู่.
บทว่า อถขฺวาหํ ตัดบทเป็น อถโข อหํ ( แปลว่า ครั้งนั้นแล
กระผม ). และคำว่า อถ ในคำว่า อถขฺวาหํ นี้ เป็นนิบาต ใช้ในคำ
เริ่มต้นที่พูดเรื่องอื่น. ศัพท์ว่า โข ก็เป็นนิบาต ใช้ในความหมายเพียง
ยังบทให้เต็ม.
บทว่า ปุพฺพณฺหสมยํ ( ในเวลาเช้า ) มีอธิบายว่า เวลา ส่วน
ต้นของวัน คือในช่วงเช้า.
อีกอย่างหนึ่ง ตอนต้นของวันชื่อว่า ปุพพัณหสมัย มีคำอธิบายว่า
ชั่วขณะหนึ่งในตอนเช้า. โดยอาการอย่างนี้จะได้ทุติยาวิภัตติในอัจจันต-
สังโยค.
บทว่า นิวาเสตฺวา ( นุ่งแล้ว ) คือครองผ้าแล้ว คำว่า นุ่งแล้ว
นั้น พึงทราบด้วยสามารถแห่งการผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งในวัดนั้นเอง. อีก
อย่างหนึ่ง พึงทราบด้วยสามารถแห่งการยืนนุ่ง เพื่อต้องการจะเข้าบ้าน
มิใช่ว่าก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้นุ่งเลย.

บทว่า ปตฺตจีวรมาทาย ( ถือเอาบาตรและจีวร) หมายความว่า
มือถือบาตร ร่างกายครองจีวร.
บทว่า ปิณฺฑาย ( เพื่อบิณฑบาต) ความว่า เพื่อต้องการ
บิณฑบาต.
บทว่า สมิติ เป็นชื่อบุตรของช่างยานคนหนึ่ง.
บทว่า ยานการปุตฺโต ( บุตรของช่างยาน) คือลูกของช่างรถ.
บทว่า ปณฺฑุปุตฺโต (ปัณฑุบุตร) ได้แก่ลูกของนักบวชโล้น.
บทว่า อาชีวโก ได้แก่ ชีเปลือย.
บทว่า ปุราณยานการปุตฺโต ( บุตรของช่างยานเก่า) ได้แก่
ลูกของตระกูลช่างยานเก่า.
บทว่า ปจฺจุปฏฺฐิโต ( ปรากฏตัว) คือเข้าไปยืน (ให้เห็น).
โก่งข้างหนึ่งชื่อว่า งอ. คด เช่นกับทางงูเลื้อย ( คลองงู ).
บทว่า โทสํ ( โทษ) ได้แก่กระพี้และปมที่ขรุขระเป็นต้น.
บทว่า ยถา ยถา เป็นนิบาต ใช้ในความหมายถึงกาลเวลา มีคำ
อธิบายว่า เมื่อใด ๆ คือในกาลใด ๆ.
บทว่า ตถา ตถา นี้ ก็มีเนื้อความบ่งถึงกาลเหมือนกัน. มีคำ
อธิบายไว้ว่า ในกาลนั้น ๆ. อาชีวกนั้นคิดโดยอนุโลม ตามที่ได้ศึกษามา
แต่อีกคนหนึ่ง (นายสมิติ) ถากตรงที่อาชีวกคิดนั่นแหละ ในขณะที่
เขาคิด.
บทว่า อตฺตมโน (ชอบใจ) คือถูกใจคน ได้แก่ ดีใจ หมายความว่า
มีปีติและโสมนัสจับใจ.

บทว่า อตฺตมนวาจํ นิจฺฉาเรสิ ( เปล่งวาจาแสดงความชอบใจ )
คือเปล่ง ได้แก่กล่าว อธิบายว่า เผยวาจาด้วยความดีใจ หรือวาจา
ที่ควรแก่ความดีใจ.
ข้อว่า หทยา หทยํ มญฺเญ อญฺญาย (เหมือนรู้ใจ ด้วยใจ)
ความว่า เหมือนกับรู้ใจ ( เรา) ด้วยใจ ( เขา ).
บทว่า อสทฺธา (ไม่มีความเชื่อ ) คือปราศจากความเชื่อใน
พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์.
บทว่า ชีวิกตฺถา ( เป็นผู้ต้องการเลี้ยงชีพ) คือ ถูกภัยมีหนี้เป็น
ต้นบีบคั้นไม่สามารถดำรงชีพภายนอกได้ จึงต้องการเลี้ยงชีพในศาสนานี้.
บทว่า น สทฺธา (ไม่มีศรัทธา) คือไม่ได้บวชด้วยศรัทธา.
บทว่า สฐา มายาวิโน (เป็นคนโอ้อวดมีมารยา) คือประกอบ
ด้วยมารยาสาไถย ( เจ้าเล่ห์โอ้อวด).
บทว่า เกฏุภิโน ( ผู้หลอกลวง ) คือผู้ได้ศึกษากลโกงมาแล้ว
มีคำอธิบายว่า ผู้สำเร็จการโอ้อวดตามกำลัง. อธิบายว่า การโอ้อวด
เขาเรียกว่า เกราฏิยะ ( กลโกง ) เพราะทำพร้อมกันไปกับการแสดง
คุณค่าของสิ่งไม่จริง โดยการแสดงคุณวิเศษที่ไม่มีจริง.
บทว่า อุนฺนฬา ( ถือตัว) คือยกตนขึ้นไป มีคำอธิบายว่า
ยกมานะเปล่าขึ้น.
บทว่า จปลา (วุ่นวาย) คือประกอบด้วยความวุ่นวาย มีการ
ตกแต่งบาตรและจีวรเป็นต้น.
บทว่า มุขรา ( ปากกล้า) คือปากแข็ง มีอธิบายว่า มีคำพูดกร้าว.

บทว่า วิกิณฺณวาจา ( มีวาจาเลอะเทอะ) คือมีถ้อยคำไม่สำรวม
ได้แก่ การพูดกันทั้งวันก็มีแต่คำไร้ประโยชน์.
บทว่า อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารา ( มีทวารไม่ได้ควบคุมในอิน-
ทรีย์ทั้งหลาย ) คือ มีทวารสำหรับทำกรรม ไม่ได้ระมัดระวังแล้วใน
อินทรีย์ทั้ง 6.
บทว่า โภชเน อมตฺตญฺญุโน (ไม่รู้จักประมาณในการบริโภค)
คือไม่รู้จักประมาณในการบริโภค ที่พอให้ร่างกายอยู่ไปได้ คือความเป็น
ผู้มีความพอเหมาะ ในการแสวงหาการรับและการบริโภคที่ควรรู้.
บทว่า ชาคริยํ อนนุยุตฺตา ( ไม่ประกอบความเพียรเป็นเครื่อง
ตื่นอยู่ ) คือไม่ประกอบความเพียรที่ทำให้ตื่นตัว.
บทว่า สามญฺเญ อนเปกฺขวนฺโต ( ไม่มุ่งสมณภาวะ) มีอรรถา-
ธิบายว่า ไม่มุ่งสมณธรรม คือเว้นจากการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.
บทว่า สิกฺขาย น ติพฺพคารวา (ไม่เคารพอย่างแรงกล้าใน
สิกขา ) คือไม่มีความเคารพมากในสิกขาบททั้งหลาย ได้แก่มากไป
ด้วยการต้องอาบัติ.
บทว่า พาหุลฺลิกา (หมกมุ่นอยู่กับปัจจัยมาก) เป็นต้น ข้าพเจ้า
ได้กล่าวไว้แล้วใน ( อรรถกถา ) ธรรมทายาทสูตร.
บทว่า กุสีตา ( ผู้เกียจคร้าน ) เป็นต้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้ว
ใน ( อรรถกถา ) ภยเภรวสูตร.
บทว่า ธมฺมปริยาเยน ( ด้วยธรรมปริยาย ) คือด้วยธรรมเทศนา
บทว่า สทฺธา อคารสฺมา ( มีศรัทธา ออกบวช จากเรือน )
เป็นต้น มีเนื้อควานว่า ตามปกติแล้ว ผู้บวชด้วยศรัทธา ชื่อว่าเป็นผู้มี

ศรัทธาออกจากเรือนบวช เป็นอนาคาริยบุคคล ( ผู้ไม่มีเหย้าเรือน).
ข้อว่า ปิวนฺติ มญฺเญ ฆสนฺติ มญฺเญ (คงจะดื่ม คงจะกิน)
หมายความว่า เหมือนกับจะดื่มเหมือนกับจะกลืนกิน คือ เมื่อเปล่งวาจา
ด้วยความพอใจ ก็เหมือนกับดื่มด่ำด้วยวาจา เมื่ออนุโมทนายิ่งขึ้น ก็เหมือน
กับกินด้วยใจ.
บทว่า สาธุ วต (สาธุขอรับ) คือดีแล้วขอรับ.
บทว่า สพรหฺมจารี เป็นรัสสะก็ได้ เป็นทีฆะก็ได้ เมื่อเป็นรัสสะ
ข้างหน้าจะมี สารีปุตฺต อยู่ เมื่อเป็นทีฆะ ข้างหน้าจะมี สพฺรหฺมจารี
เมื่อใดข้างหน้ามี สารีปุตฺต เมื่อนั้นจะมีเนื้อความว่า ดูก่อนเพื่อน
พรหมจารี ท่านพระสารีบุตรให้เราทั้งหลายออกจากอกุศลแล้ว. เมื่อใดมี
สพฺรหฺมจารี อยู่ข้างหน้า เมื่อนั้นจะมีเนื้อความว่า ท่านพระสารีบุตร
ให้เพื่อนพรหมจารีทั้งหลายออกจากอกุศลแล้ว ( ดำรงอยู่ในธรรม ).
บทว่า ทหโร คือ ยังรุ่น.
บทว่า ยุวา คือ อยู่ในวัยหนุ่มสาว.
บทว่า มณฺฑนกชาติโก (ชอบแต่งตัว ) หมายความว่า มีสภาพ
ชอบเครื่องแต่งตัว ( ปกติชอบแต่งตัว ).
บรรดาทั้ง 2 ประเภทนั้น ลางคนถึงจะรุ่น แต่ก็ยังไม่เป็นหนุ่ม
เป็นสาวเหมือนคนหนุ่มสาว. แต่ลางคนถึงจะเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็ไม่ชอบ
แต่งตัวเหมือนผู้ที่มีความสงบเป็นสภาพ หรือถูกความเกียจคร้านหรือ
ความเสื่อมครอบงำ ส่วนในที่นี้ประสงค์เอาคนทั้งยังรุ่นทั้งเป็นหนุ่มเป็น
สาวและชอบแต่งตัว. เพราะฉะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าว
ไว้อย่างนี้. คำว่า ถือด้วย เป็นต้น ท่านกล่าวไว้ เพราะเป็นสมมติของโลก

บทว่า อิติห เต เท่ากับ เอวํ เต ( แปลว่าด้วยประการดังที่
กล่าวมาแล้วนั้น ท่านทั้ง 2 นั้น).
บทว่า อุโภ มหานาคา (ท่านมหานาคทั้งคู่ ) หมายถึงผู้ยิ่งใหญ่
ทั้ง 2 องค์. เพราะว่าท่านอัครสาวกทั้ง 2 องค์นี้ พุทธบริษัททั้งหลาย
เรียกว่า มหานาค.
ในคำว่า มหานาค นั้นมีอรรถพจน์ ดังต่อไปนี้
ผู้ไม่ลำเอียงด้วยอคติทั้งหลาย มีฉันทาคติเป็นต้นชื่อ นาคะ.
ผู้ไม่กลับมาสู่กิเลสที่ละได้ด้วยมรรคนั้น ๆ แล้วชื่อว่า นาคะ
ผู้ไม่ทำบาป ( ความชั่วที่เป็นเหตุให้กลับมา) มีประการต่าง ๆ
ชื่อว่า นาคะ.
นี้เป็นเนื้อความสังเขปในคำว่า นาคะ. ส่วนความพิสดารพึงทราบ
ตามนัยที่ได้กล่าวไว้ในมหานิเทศนั้นเทอญ. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบเนื้อ
ความในกถานี้อย่างนี้ว่า
ผู้ไม่ทำบาปอะไรไว้เลยในโลก สลัดกิเลสเครื่อง
ประกอบสัตว์ไว้ในภพทุกอย่าง และเครื่องผูกทั้งหลาย
ได้ ไม่ต้องอยู่ในภพทั้งมวล เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว
ผู้คงที่ ท่านเรียกว่า นาคะ เพราะความเป็นอย่างนั้น.

นาคใหญ่ ชื่อมหานาคะ. อธิบายว่า มหานาคนั้น ควรบูชากว่า
และควรสรรเสริญกว่านาคผู้ขีณาสพเหล่าอื่น.
บทว่า อญฺญมญฺญสฺส (ของกันและกัน) ความว่า องค์หนึ่ง
ชมเชยอีกองค์หนึ่ง.

บทว่า สมนุโมทึสุ (อนุโมทนาพร้อม) ตัดบทเป็น สมํ อนุโมทึ สุ
แปลว่า อนุโมทนาเท่า ๆ กัน. ในคำอนุโมทนานั้น พระธรรมเสนาบดี
กล่าวว่า พระมหาโมคคัลลานะ อนุโมทนาด้วยอุปมานี้ว่า ท่านครับ
ข้อนั้นจงแจ่มแจ้ง. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระเถระทั้ง 2
อนุโมทนาคำสุภาษิตของกันและกัน.
จบ อรรถกถาอนังคณสูตร
จบ สูตรที่ 5

6. อากังเขยยสูตร


[73] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล พระผู้มี
พระภาคเจ้า
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุ
เหล่านั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า. พระผู้มี
พระภาคเจ้า
ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอัน
สมบูรณ์ มีปาฏิโมกข์อันสมบูรณ์อยู่เถิด จงเป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวม
ในปาฏิโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่เถิด จงเป็นผู้เห็นภัยใน
โทษทั้งหลายมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด.

ความหวังที่ 1


[74] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า ขอเราพึงเป็น
ที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นที่เคารพ และเป็นผู้ควรยกย่องของเพื่อน
พรหมจรรย์ทั้งหลายเถิด ดังนี้ ภิกษุนั้นควรกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
ประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบ
ด้วยวิปัสสนาเพิ่มพูน ( การอยู่ใน) สุญญาคาร.

ความหวังที่ 2


[75] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า ขอเราพึงได้
จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารเถิด ดังนี้