เมนู

ตถาคตได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ฯลฯ เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาโดย
ประการทั้งปวง เพราะได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะอย่างนี้ พระตถาคตจึงไม่
สำคัญปฐวีธาตุ ฯลฯ ไม่ยินดี. ก็ในที่ใด ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่
ได้ตรัส ยสฺมา (เพราะเหตุใด) ไว้ ตรัสไว้แต่ ตสฺมา (เพราะเหตุ
นั้น) ในที่นั้น ๆ ต้องนำ ยสฺมา มาประกอบเข้าด้วย. วิธีนี้เป็นวิธีที่ยุติ
กันแล้วในทางศาสนา. ในทุกบทก็มีนัยอย่างเดียวกันนี้.

เหตุที่พระไม่ชื่นชมภาษิตของพระพุทธเจ้า


บทว่า อิทมโวจ ภควา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะ
ทรงแสดงพระสัพพัญญุตญาณอันลึกซึ้งอย่างยิ่ง มีการหยั่งถึง ไม่พึง
ได้ด้วยปัญญาของคนเหล่าอื่น (ปัญญาคนอื่นหยั่งรู้ไม่ถึง) จึงทรง
ประดับด้วยวาระของปุถุชน 1 วาระ ด้วยวาระของเสขบุคคล 1 วาระ
ด้วยวาระของพระขีณาสพ 4 วาระ (และ) ด้วยวาระของพระตถาคต
2 วาระ รวมเป็นประดับด้วยวาระใหญ่ (สำคัญ) 8 วาระ และ
ในวาระ (ใหญ่) แต่ละวาระทรงประดับด้วยวาระในระหว่าง (วาระ
ย่อย) 24 วาระ มีวาระว่าด้วยปฐวีธาตุเป็นต้น แล้วในตรัสพระสูตร
ทั้งหมด ซึ่งเริ่มต้นแต่ตอนจบคำเริ่มต้นจนกระทั้งถึงคำว่า ยาว อภิสมฺ-
พุทฺโธ วทามิ
ด้วยปริยัติจำนวน 2 ภาณวาร.
ก็แล พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้จะตรัสพระสูตรนี้อันประกอบด้วยนัย
อันวิจิต และความวิลาสแห่งเทศนาด้วยพระสุรเสียงดุจเสียงพรม ซึ่ง
ไพเราะดุจเสียงของนกการเวก (และ) เป็นเช่นกับได้ทรงราดรดหทัย
ของชนด้วยน้ำอมฤต เพราะระรื่นหูอยู่อย่างนี้ (ภิกษุเหล่านั้นก็ยังมิได้

ชื่นชมพระภาษิต).
บทว่า น เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุํ ความว่า ภิกษุ
500 รูปเหล่านั้นมิได้อนุโมทนาพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้เลย.
ถามว่า เพราะเหตุไร?
ตอบว่า เพราะไม่เข้าใจ. ว่ากันว่า ภิกษุเหล่านั้นไม่เข้าใจเนื้อหา
ของสูตรนี้ ฉะนั้นจึงไม่ชื่นชม. จริงอยู่ ในสมัยนั้นพระสูตรนั่นแม้จะ
ประกอบด้วยนัยอันวิจิตร และความวิลาสแห่งเทศนาอย่างนี้ สำหรับ
ภิกษุเหล่านั้นได้เป็นเหมือนคนที่เขาเอาผืนผ้าหนา ๆ ผูกปากไว้แล้วเอาของ
กินที่ถูกใจมาวางตรงหน้า (ไม่สามารถจะกินได้) ฉะนั้น.
ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีมาถึง 4 อสง-
ไขย แล้วได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณก็เพื่อสอนคนอื่นให้เข้าใจธรรมที่
พระองค์ทรงแสดงมิใช่หรือ ไฉนพระองค์จึงทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่า
นั้น โดยที่ภิกษุเหล่านั้นไม่เข้าใจ ( เนื้อหา) เล่า?
ตอบว่า คำตอบนี้ ท่านกล่าวไว้แล้วในการวิจารณ์บทตั้งของสูตร
นี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มเทศนาไว้อย่างนี้ว่า สพฺพธมฺมมูล-
ปริยายํ
ก็เพื่อหักรานมานะ (ของภิกษุเหล่านั้น) ฉะนั้น ในที่นี้ จึงไม่มี
อะไรที่ต้องกล่าวซ้ำอีก.
ก็แล ครั้นได้ฟังสูตรนี้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เพื่อหักราน
มานะอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นจึงคิดกันว่า ได้ยินว่า ปุถุชนมี (มิจฉา -
ทิฏฐิ) ทิฏฐิเป็นแนวดำเนิน ย่อมหมายรู้ปฐวีนั้นนั่นแล ฝ่ายพระเสขะ
พระอรหันต์ และพระตถาคตย่อมทราบอย่างแน่ชัดว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่ง
นี้เป็นอย่างไร ดังนี้ เป็นผู้หมดมานะ เหมือนอสรพิษที่ถูกถอนเขี้ยวแล้ว

ฉะนั้น ด้วยระลึกได้ว่า เมื่อก่อนพวกเราย่อมรู้ทั่วถึงพระดำรัสอย่างใด
อย่างหนึ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างเร็วพลันทีเดียว แต่มาบัดนี้
กลับไม่รู้ไม่เห็นที่สุดหรือเงื่อนแห่งมูลปริยายสุตรนี้เลย น่าอัศจรรย์จริง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรง (มีพระปัญญา) ที่ใคร ๆ ประมาณไม่ได้
ทรง (มีพระปัญญาที่ใคร ๆ ชั่งไม่ได้) ดังนี้แล้วได้พากันไปสู่ที่บำรุง
พระพุทธเจ้า และไปฟังธรรมโดยเคารพ.

ภิกษุ 500 รูปได้บรรลุอรหัตตผล


ก็แลสมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันในธรรมสภาสนทนากันถึง
เรื่องนี้ว่า น่าอัศจรรย์จริง อานุภาพของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พราหมณ์
บรรพชิตเหล่านั้นมัวเมาแล้วด้วยความเมาในมานะ ยังถูกทำให้หมดมานะ
ได้ด้วยมูลปริยายเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า. แต่บัดนี้ ภิกษุเหล่านั้น
ยังพูดคุยกันค้างอยู่. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากพระ
คันธกุฎีไปประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้ในธรรมสภา ด้วยปาฏิ-
หาริย์ที่เหมาะสมกับขณะนั้น แล้วได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นว่า ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ. ภิกษุเหล่านั้นได้ทูลบอกเนื้อ
ความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เราตถาคต
ก็ได้ทำภิกษุเหล่านี้ซึ่งเที่ยวลำพองอยู่ด้วยมานะให้หมดมานะแล้ว
เหมือนกัน.
จากนั้น เพราะเกิดเรื่องนี้เป็นเหตุ พระผู้มีพระภาณจ้า
จึงทรงนำอดีตนิพานนี้มาเล่าว่า:-
ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พราหมณ์ทิศาปาโมกข์คนหนึ่ง