เมนู

ของตน ข้าพเจ้าไปบังเกิดในเหล่าอสูรชื่อกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่า
อสูรกายทุกชนิดดังนี้ แล้วล้มลงนอนหงาย อยู่ ณ ที่นั่นเอง.
ดูก่อนภัคควะ ครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อ สุนักขัตตะได้เข้า
มาหาเราถึงที่อยู่ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. เราได้กล่าวกะ
โอรสเจ้าลิวฉวีชื่อสุนักขัตตะผู้นั่งเรียบร้อยว่า ดูก่อนสุนักขัตตะ
เธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน วิบากนั้นได้มีขึ้นเช่นดังที่เราพยา-
กรณ์ปรารภโกรักขัตติยะไว้ต่อเธอมิใช่มีโดยประการอื่น.
สุนักขัตตะ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิบากนั้นได้มี
ขึ้น ดังที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงพยากรณ์ โกรักขัตติยะไว้ แก่ข้าพระ
องค์มิใช่มี โดยประการอื่น.
เรากล่าวว่า เธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้
อิทธิปฏิหารย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ชื่อว่าเป็นสิ่งที่เราได้แสดง
แล้วหรือยัง.
สุนักขัตตะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์แสดงไว้
แล้วแน่นอน มิใช่จะไม่ทรงแสดงก็หาไม่.
เรากล่าวว่า แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอยังจะกว่ากะเราผู้แสดงอิทธิ
ปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรม ของมนุษย์อย่างนี้ว่าข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงแสดงอิทธิปฏิหาริย์ที่ยอดเยี่ยมกว่า
ธรรมของมนุษย์แก่ข้าพระองค์ ดูก่อนโมฆบุรุษ เธอจงเห็นว่า การ
กระทำเช่นนี้เป็นความผิดของเธอเพียงใด. ดูก่อนภัคคะ โอรส
เจ้าลิจฉวีสุนักขัตตะ เมื่อเรากล่าวอย่างนี้ได้หนีจากพระธรรมวินัย
นี้ เหมือนสัตว์ผู้เกิดในอบายและนรกฉะนั้น

กถาว่าด้วยเรื่องอเจลกกฬารมัชฌกะ



[5] ดูก่อนภัคควะ สมัยหนึ่งเราอยู่ที่กูฏาคารศาลาในป่า

มหาวัน ในเมืองเวสาลี สมัยนั้น นักบวชเปลือยคนหนึ่งชื่อกฬาร-
มัชฌกะอยู่ที่วัชชีคามในเมืองเวสาลี. เป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ. เขาได้
สมาทานข้อวัตร 7 ข้อ คือ
1. เราพึงเปลือยกาย ไม่นุ่งห่มผ้าตลอดชีวิต.
2. เราพึงประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เสพเมถุนตลอดชีวิต
3. เราพึงดื่มสุราและบริโภคเนื้อสัตว์ดำรงชีพอยู่ ไม่
บริโภคข้าวและขนมตลอดชีวิต.
4. เราไม่พึงล่วงเกินอุเทนเจดีย์ ซึ่งอยู่ทางทิศบูรพรเมือง
เวสาลี.
5. เราไม่พึงล่วงเกินโคตมเจดีย์ ซึ่งอยู่ทางทิศทักษิณ
เมืองเวสาลี.
6. เราไม่พึงล่วงเกินสัตตัมพเจดีย์ ซึ่งอยู่ทางทิศปัจฉิม
เมืองเวสาลี.
7. เราไม่พึงล่วงเกินพหุปุตตกเจดีย์ อยู่ทางทิศอุดร
เมืองเวสาลี.

เพราะการสมาทานข้อวัตรทั้ง 7 นี้ เขาจึงเป็นผู้เลิศด้วยลาภ
และยศ อยู่ที่วัชชีคาม. ครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวีสุนักขัตตะ ได้เข้าไป
หานักบวชเปลือยชื่อกฬารมัชฌกะ แล้วถามปัญหากะเขา. เขาถูก
ถามปัญหาแล้ว ไม่สามารถแก้ปัญหาของโอรสเจ้าลิจฉวีสุนักขัตตะให้
ถูกต้องได้ จึงแสดงความโกรธ โทสะ และความไม่แช่มชื่นให้ปรากฏ
ออกมา. ครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะได้คิดว่า ตนได้รุกราน
สมณะผู้เป็นพระอรหันต์ที่ดี การกระทำเช่นนั้นอย่าได้มีแก่เรา เพื่อ
ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลและทุกข์ชั่วกาลนาน. ครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวี
ชื่อสุนักขัตตะได้เข้ามาหาเรา ถวายอภิวาท แล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง

เราได้กล่าวกะเธอผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ แม้คนเช่น
เธอ ก็ยังปฏิญาณตนเป็นศากยบุตรอยู่หรือ.
สุนักขัตตะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไฉนพระผู้มีพระภาค
จึงตรัสกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า โมฆบุรุษ แม้คนเช่นเธอ ก็ยังปฏิ-
ญาณตนเป็นศากบุตรอยู่หรือ.
เรากล่าวว่า สุนักขัตตะ เธอได้เข้าไปหานักบวชเปลือยชื่อ
กฬารมัชฌกะแล้ว ถามปัญหากะเขา เขาถูกถามปัญหากลัวไม่
สามารถแก้ปัญหาของเธอให้ถูกต้องได้ จึงได้แสดงความโกรธ โทสะ
และความไม่แช่มชื่นออกมา เธอจึงได้คิดว่า ตนได้รุกรานสมณะผู้
เป็นพระอรหันต์ การรุกรานนั้นอย่าได้มีแก่เรา เพื่อไม่เป็นประโยชน์
เกื้อกูลและเพื่อทุกข์ชั่วกาลนาน ดังนี้ มิใช่หรือ.
สุนักขัตตะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ พระ
ผู้มีพระภาคก็ยังหวงแหนความเป็นพระอรหันต์อยู่หรือ.
เรากล่าวว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ เรามิได้หวงแหนความเป็นพระ-
อรหันต์ แต่ว่าเธอได้เกิดทิฏฐิเลวทราม เธอจงละมันเสีย ทิฏฐิเลว
ทรามนี้ อย่าได้เกิดขึ้น เพื่อไม่เป็นประโยชน์และความทุกข์แก่เธอ
ชั่วกาลนาน.
อนึ่ง นักบวชเปลือยชื่อว่ากฬารมัชฌกะ ที่เธอสำคัญว่าเป็น
สมณะผู้เป็นพระอรหันต์ที่ดีนั้น ต่อไปไม่นาน เขาจักกลับนุ่งห่มผ้า
มัภรรยากินข้าวและขนม ล่วงเกินเจดีย์ที่มีอยู่ในเมืองเวสาลีทั้งหมด
กลายเป็นคนเสื่อมยศ แล้วตายไป. ดูก่อนภัคควะ ต่อมาไม่นาน
อเจลกกฬารมัชฌกะ ก็กลับนุ่งหุ่มผ้ามีภรรยา กินข้าวและขนม
ล่วงเกินเจดีย์ที่มีอยู่ในเมืองเวสาลีทั้งหมด กลายเป็นคนเสื่อมยศ
แล้วตายไป. โอรสเจ้าลิจฉวีสุนักขัตตะได้ทราบข่าวว่า อเจลกชื่อ

กฬารมัชฌกะ กลับนุ่งห่มผ้า มีภรรยา กินข้าวและขนม ล่วงเกิน
เจดีย์ที่มีอยู่ในเมืองเวลาลีทั้งหมด กลายเป็นคนเสื่อมยศ แล้วตายไป จึงได้
เข้ามาหาเรา ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. เราจึงกล่าว
กะเขาผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า ดูก่อนสุนักขัตตะเธอสำคัญความข้อนั้นเป็น
ไฉน วิบากนั้น ได้มีขึ้นเช่นดังที่เราได้พยากรณ์อเจลกชื่อกฬารมัชฌกะ
ไว้แก่เธอ มิใช่มีโดยประการอื่น.

สุนักขัตตะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิบากนั้นได้มีขึ้นดังที่
พระผู้มีพระภาคได้ทรัพยากรณ์อเจลกชื่อว่ากฬารมัชฌกะไว้แก่ข้าพระองค์
มิใช่มีโดยประการอื่น.
เรากล่าวว่า เธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้
อิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์ ชื่อว่าเป็นสิ่งที่เราได้แสดงไว้
แล้วหรือยัง.
สุนักขัตตะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงแสดง
แล้วแน่นอน มิใช่จะไม่ทรงแสดงก็หาไม่.
เรากล่าวว่า แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอยังจะกล่าวกะเราผู้แสดง
อิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรมของมนุษย์อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ พระผู้มีพระภาคมิได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดกว่าธรรม
ของมนุษย์แก่ข้าพระองค์ ดูก่อนโฆษบุรุษ เธอจงเห็นว่า การกระทำ
เช่นนี้เป็นความผิดของเธอเพียงใด. ดูก่อนภัคควะ โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนัก-
ขัตตะ ถูกเรากล่าวอยู่อย่างนี้ ได้หนีไปจากธรรมวินัยนี้ เหมือนสัตว์ผู้
เกิดในอบายและนรกฉะนั้น.

กถาว่าด้วยเรื่องอเจลกปาฏิกบุตร



[6] ภัคควะ สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่ภูฏาคารศาลาในป่ามหาวันใน
เมืองเวสาลีนั่นเอง. สมัยนั้นนักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร อาศัยอยู่ที่วัชชีคาม